ตอนที่ 16 ท่านมาถึงแล้วหรือ โดย Ink Stone_Fantasy
เดิมทีเพราะไม่มีผู้จัดการดูแล ค่ายกลจึงกระจัดกระจายหายไป นั่นก็คือค่ายกลที่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงมอบให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ตอนนี้เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงลงมือด้วยตัวเอง ก็ย่อมไม่แยแสค่ายกลอยู่แล้ว!
“จอมมาร ได้ยินมานานแล้วว่าเจ้าโอหังจองหอง แล้วก็เป็นเช่นนี้จริงๆ เสียด้วย เจ้าเพิ่งจะบำเพ็ญจนเป็นขั้นอลวนกำเนิดใหม่ได้นานสักเท่าใดกันเชียว ถึงได้กล้ามายุแหย่ข้าเช่นนี้” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงโมโหจริงๆ เสียแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่แยแส แต่ถึงอย่างไรก็เป็นลูกมือขั้นรวมเป็นเอกภาพห้าคนที่ถูกสังหารต่อหน้าต่อตาเขา นี่เป็นการดูแคลนเขาอย่างสมบูรณ์
มาถึงระดับขั้นนี้อย่างเขาย่อมมิอาจดูแคลนได้ ห้วงอากาศอันกว้างใหญ่โดยรอบถล่มทลายลงตามโทสะของเขา แต่รอบกายจอมมารกลับเต็มไปด้วยความนิ่งสงัด เขามองเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงที่อยู่ไกลออกไปอย่างเย็นชาเช่นเดิม
จากหัวจรดเท้าของจอมมารมีเพียงความเย็นชา การเย้ยหยันสักเล็กน้อยก็ไม่มี
“จอมมาร…” ในจิตของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงปรากฏข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับจอมมาร
จอมมาร เป็นผู้ที่จองหองอย่างที่สุด
ว่ากันว่าตอนนั้นที่เขามายังวังทวีสูญ ไม่เห็นผู้ร่วมสำนักโดยทั่วไปอยู่ในสายตา หรือแม้กระทั่งเรียกตัวเองว่า ‘จอมมาร’ ต้องรู้ว่าสมญานามเช่นนี้ ในตอนแรกยังเป็นเพียงการอยู่ภายใต้สถานการณ์ขั้นสุดยอดที่รวมเป็นเอกภาพ สมญานามเช่นนี้ออกจะโอหังอยู่บ้าง ถึงจะเป็นสถานที่อย่างวังทวีสูญก็มีไม่กี่คนที่กล้าใช้เรียกบรรพชน!
ถึงแม้ว่าตอนตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ที่จักรวาลภูมิลำเนาจะถูกเรียกหาอย่างเคารพว่าจ้าวตงป๋อ แต่หากไปถึงวังทวีสูญ เขาก็คงไม่กล้าเอ่ยนามว่า ‘จ้าวตงป๋อ’ อย่างเย่อหยิ่งเช่นนี้
ยามที่พลังยุทธ์อ่อนแอก็ควรถ่อมตนสักหน่อย
แต่มิใช่กับจอมมาร!
ตอนนั้นเขาก็ยั่วยุท้าทายผู้แกร่งกล้าขั้นรวมเป็นเอกภาพกลุ่มหนึ่งของวังทวีสูญ ผู้แกร่งกล้าของวังทวีสูญกับโลกภายนอกนั้นไม่เหมือนกัน ก่อนอื่น พลังยุทธ์โดยทั่วไปของ ‘เหล่าความเร้นลับของกฎเกณฑ์’ ต่างก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง บรรดาชนชั้นสูงก็ยิ่งล้ำเลิศ! แต่พวกเขาท้าทายจอมมาร กลับไม่มีผู้ใดชนะเลยแม้แต่คนเดียว!
ยิ่งไปกว่านั้น เพียงไม่นานจอมมารก็ก้าวย่างเข้าสู่ขั้นอลวนแล้ว เขาจิตใจทะเยอทะยานหมายจะท้าทายจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบ! แต่สิ่งที่ทำให้จอมมารจนใจก็คือ จอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบที่ปลีกวิเวกฝึกฝนเป็นระยะเวลายาวนาน ยามที่ออกจากการปลีกวิเวกแล้วกลับไปถึงระดับขั้นสุดยอดของการบำเพ็ญ…กลายเป็นเทพจักรวาลเสียแล้ว!
ถ้าหากบอกว่าจอมมารเป็นผู้มีพรสวรรค์สูงส่งอย่างที่สุด ยามอยู่ที่จักรวาลภูมิลำเนาก็ไปถึงระดับสุดยอดของขั้นรวมเป็นเอกภาพแล้ว พอเข้าสู่วังทวีสูญแล้วได้รับทรัพยากร ก็สามารถเปลี่ยนแปรแล้วก้าวเข้าสู่ขั้นอลวนได้อย่างรวดเร็วยิ่ง
จอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบผู้นั้น…ในสายตาของมหาโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านล้วนเห็นเป็นบุคคลที่สุดยอดไร้เทียมทาน ระหว่างที่เขาอ่านตำราจำนวนมากในวังทวีสูญ จู่ๆ ก็พลันกระจ่างแจ้งและก้าวเข้าสู่ขั้นเทพจักรวาลได้
“เขาคือประมุขวังลงทัณฑ์แห่งวังทวีสูญ ได้ยินว่าสามารถเอาชนะประมุขวังวารีสวรรค์แห่งวังทวีสูญได้ ต่อมาถูกประมุขวังปุจฉาสวรรค์เอาชนะได้อย่างง่ายดาย” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงลอบคิดใคร่ครวญ “เขาบรรลุขั้นอลวนได้ในระยะเวลาค่อนข้างสั้น มีความแตกต่างระหว่างพลังยุทธ์กับประมุขวังปุจฉาสวรรค์อย่างเห็นได้ชัด เอ่อ…”
ความจริงจอมมารมาถึงขั้นอลวนเป็นเวลานานมากแล้ว แต่ในสายตาของบุคคลที่มีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานหาใดเปรียบอย่างเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงแล้ว ก็ยังสั้นยิ่งนัก
……
พูดมาเสียยืดยาว อันที่จริงในใจก็มีเพียงความคิดเดียวที่วาบขึ้นมา
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็ตัดสินใจลงมือ เขาไม่เชื่อว่าเขาที่บำเพ็ญมาเป็นเวลาเนิ่นนานจะไม่สามารถเอาชนะชนรุ่นหลังที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาใหม่คนหนึ่งได้
“ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็แค่มีลูกเล่นมากหน่อยเท่านั้นเอง ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ถึงความโง่เง่าของตัวเอง!” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงน้ำเสียงเปี่ยมพลัง ทันใดนั้นอากาศอันสับสนอลหม่านอันไร้ที่สิ้นสุดโดยรอบก็มีหยาดฝนจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น พายุฝนใหญ่กระหน่ำลงมา หยาดฝนสีดำเทลงมาอย่างบ้าคลั่ง
ตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่ต่างก็รู้สึกว่าสายฝนโดยรอบนั้นน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก
ทว่าจอมมารก็ยังคงยืนอยู่ที่นั่นเช่นเดิม รอบด้านมีไอหนาวเหน็บเย็นเยียบอันไร้ที่สิ้นสุดปรากฏขึ้น ไอหนาวเหน็บกวาดไปทั่วทุกหนแห่ง บริเวณโดยรอบกลายเป็นดินแดนอันหนาวเหน็บที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งหนึ่ง หยาดฝนโปรยปรายเหล่านั้นล้วนถูกแช่แข็ง
“จักรวาลอันเล็กจ้อยของเจ้า สู้ข้ามิได้หรอก” จอมมารเอ่ยปาก
“เฮอะ”
แต่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็ยื่นมือตรงออกมา ผิวหนังบริเวณฝ่ามือของเขาแห้งเหี่ยว ฝ่ามือใหญ่ที่มีกรงเล็บราวกับโครงกระดูกเอื้อมคว้ามา บริเวณที่ผ่านก็ปกติธรรมดาไม่เกิดระลอกคลื่นใดเลยแม้แต่น้อย ทว่าจอมมารกลับเคร่งขรึมขึ้นมาเสียแล้ว เขารู้ว่าเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเข้าสู่ขั้นอลวนมาเนิ่นนาน เนิ่นนานเหลือเกินแล้ว บางทีระดับความลึกลับของการต่อสู้คงจะธรรมดาเป็นอย่างยิ่งจึงสามารถถูกตนยั่วยุได้โดยง่าย แต่พลังการโจมตีนั้นกลับแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
จอมมารเพียงแค่ซัดฝ่ามือออกมาคราหนึ่ง ฝ่ามือของเขาขาวกระจ่างราวแก้วผลึก เรืองแสงจางๆ ภายในร่างของเขาวิวัฒน์เป็นจักรวาลขนาดย่อมอยู่ก่อนแล้ว ขณะนี้พลังของจักรวาลขนาดย่อมทั้งหมดทั้งมวลมารวมเข้าด้วยกันอยู่ที่ฝ่ามือ แม้กระทั่งพลังของร่างแท้หมื่นมารที่เขาพาไปถึงขั้นอลวนด้วยตนเองก็ปะทุออกมาด้วย
พลั่ก!
ฝ่ามือของทั้งสองปะทะกัน รอบด้านมีรอยแยกสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น บริเวณที่มีรอยแยกสีดำอยู่ พลังงานและห้วงมิติทั้งหมดก็หายวับไป
ตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่เพียงแค่ชมดู ถึงแม้จะมีจอมมารคุ้มกันอยู่ข้างๆ พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าวิญญาณพลันสั่นสะท้านคราหนึ่ง
ร่างกายของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงและจอมมารต่างก็สั่นสะท้านน้อยๆ คราหนึ่ง แล้วทั้งคู่ต่างก็ถอยร่นไปหนึ่งก้าวเล็กๆ
“อะไรกัน” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงตกตะลึง “พละกำลังของร่างกายเขาไม่ด้อยไปกว่าข้าเลยหรือ ร่างกายนี้ของข้าบำเพ็ญมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว ไม่คิดเลย ไม่คิดเลย…” เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายต่อกรกับเขาโดยใช้พลังอันบริสุทธิ์ มิได้เล่นลูกไม้เล่ห์กลเช่นอิสตรี
พละกำลังของเขาอยู่ในระดับสุดยอดของขั้นอลวน นับได้ว่าค่อนข้างแข็งแกร่ง สามารถจัดอันดับค่อนไปทางด้านบนที่ล้ำเลิศได้ ถึงอย่างไรขั้นอลวนทุกคนต่างก็เหนือกว่าธรรมดาด้วยกันทั้งนั้น
“ร่างแท้หมื่นมารของข้านั้นยังอ่อนแอเกินไป แต่เมื่อผนวกรวมกับพลังของจักรวาลขนาดย่อมภายในกายแล้ว แม้กระทั่งเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็ไม่สามารถกดให้จมได้” จอมมารไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว “เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงผู้นี้มีฝีมือที่ร้ายกาจอยู่ไม่น้อย ถึงแม้ว่าข้าจะถือครองความได้เปรียบ ความได้เปรียบนั้นก็คงมิได้เด่นชัดนัก”
“เขาเชี่ยวชาญความเร้นลับของกฎเกณฑ์ ข้าคงไม่ได้เปรียบในด้านพละกำลัง ต่อให้มีฝีมือเหนือกว่าก็คงมิอาจเอาชนะได้อยู่ดี” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงไม่อยากยอมรับผลลัพธ์นี้ แต่นี่คือเรื่องจริง
……
“พวกเจ้าไปเสียเถิด” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเอ่ยเสียงเยียบเย็น
“ไปหรือ” จอมมารเอ่ยเสียงเย็นดุจน้ำแข็ง “ข้าบอกไปแล้วว่าต้องฆ่าสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศทั้งหมดในแผ่นดินอลหม่านสองร้อยแปดสิบเก้าแห่งอย่างไม่ปรานี”
“ข้าจะถ่ายทอดคำสั่งให้พวกเขาจากไปเดี๋ยวนี้แหละ” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเอ่ยอย่างไม่แยแส “สำหรับที่ว่าเจ้าจะสังหารได้เท่าไหร่ ก็ต้องดูพลังยุทธ์ของเจ้าแล้วล่ะนะ” แผ่นดินอลหม่านมากมายถึงเพียงนี้กระจัดกระจายไปทั่ว สิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศที่มีอยู่ทั้งหมดต่างก็หลบหนีไป ร่างแยกของจอมมารที่ขาดทักษะจะสามารถสังหารได้สักเท่าใดกันเชียว
“สังหารพวกเขาให้สิ้นซากนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ เท่านั้น อาภรณ์ที่เจ้าหล่อหลอมมาโดยตลอดชุดนั้นก็ต้องถูกทำลายด้วย” จอมมารพูดต่อไป
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง
อาภรณ์หรือ
เขาสิ้นเปลืองระยะเวลายาวนานเพื่อเก็บรวบรวมวัสดุและหล่อหลอมมันขึ้นมา ตอนนี้กำลังรวบรวมความหวาดกลัวและความคับแค้นจากแผ่นดินอลหม่านสองร้อยกว่าแห่ง หลอมรวมเข้าไปในอาภรณ์ ก็เพื่อหลอมเป็นอาภรณ์ชุดหนึ่งที่เขาอยากได้มาโดยตลอด กระทั่งตัวเขาเองได้ตั้งชื่ออย่างคาดหวังรอคอยเอาไว้แล้ว เรียกว่า ‘อาภรณ์ทิพย์สวรรค์กันแสง’ ตั้งชื่อล้อกับชื่อของตัวเขาเอง ผนวกรวมกับพลังยุทธ์ของตัวเขา ก็สามารถทำให้พลังยุทธ์ของเขาเพิ่มพูนได้กว่าห้าส่วน
ตอนนี้อาภรณ์ชุดนี้หลอมสำเร็จไปเก้าส่วนแล้ว ยังต้องการความคับแค้นและความหวาดกลัวที่เพียงพออีกจำนวนหนึ่งจึงจะสำเร็จเสร็จสิ้น
“เจ้าก็รู้ด้วยหรือนี่” สีหน้าของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงมีความดุร้ายอยู่บ้าง “ดูท่าทางเจ้าคงจะสืบพบมาก่อนแล้ว”
“ข้าลอบสืบค้นมานานพอดูแล้ว” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเอ่ยเสียงเยียบเย็น “ด้วยอารมณ์ของข้า เจ้าหลอมอาภรณ์ชุดนั้นไปก็มิอาจนับเป็นอะไรได้ แต่วังทวีสูญของข้าคุมกฎอยู่ที่นั่น วัตถุที่หล่อหลอมขึ้นจากความหวาดกลัวและความคับแค้นของสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นจะต้องถูกทำลายทิ้งเสีย!”
“อาศัยเจ้าน่ะหรือ” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงยิ้มเยาะ
ให้เขาละทิ้งดินแดนกว่าสองร้อยแห่งเขาก็ไม่แยแส ลูกน้องจำนวนหนึ่งตายไปเขาก็ไม่สนใจ แต่เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจไปกับ ‘อาภรณ์ทิพย์สวรรค์กันแสง’ ไปมากมายเหลือเกินแล้ว ต่อให้เป็นบรรพชนกู่ออกหน้าให้เขาละทิ้งเขาก็ไม่มีทางละทิ้งหรอก! เพราะสำหรับผู้แกร่งกล้าแล้ว พลังยุทธ์ของตนเองจึงจะเป็นสิ่งพื้นฐาน!
“ใช่แล้ว อาศัยข้านี่แหละ!” นัยน์ตาของจอมมารยิ่งทวีความเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง แววสังหารล้นฟ้า ถึงแม้จะไม่มั่นใจ แต่เขาก็ยังต้องสู้ ต้องสังหารเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงผู้นี้ให้ตายกันไปข้าง
“ปัง…”
กลิ่นอายแปลกประหลาดสายหนึ่งเคลื่อนมา โดยรอบมีท่อนกระดูกมากมายไร้ที่สิ้นสุดปรากฏขึ้น ดินแดนอันหนาวเหน็บที่อยู่โดยรอบ และหยาดฝนสีดำหายวับไปจนสิ้น เหลือเอาไว้เพียงแผ่นดินกระดูกอันกว้างใหญ่ไพศาลมองไม่เห็นขอบเขต
ตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่ต่างก็มองดูแผ่นดินกระดูกอันไร้ขอบเขตแห่งนี้แล้วต่างก็กลืนน้ำลายลงคอ พวกเขาต่างก็คาดเดาไว้ลางๆ
เห็นเพียงว่าตรงบริเวณไกลออกไปมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏออกมา
เขามีผมสีขาวยาวประบ่า ถึงแม้ว่าจะค่อนข้างแก่ชรา แต่ก็ยังสามารถเห็นความหล่อเหลาอย่างยิ่งจากองคาพยพทั้งห้าได้อยู่ อีกทั้งบนร่างยังสวมใส่อาภรณ์สีขาวงดงามหรูหรา
ชายชราผมขาวในอาภรณ์สีขาวงดงามหรูหราตลอดร่างมองจอมมารจากที่ไกลๆ “จอมมารแห่งวังทวีสูญ พาคนของเจ้าไปเสียเถิด”
“หืม”
จอมมารมีแววต่อสู้ฉายชัดในดวงตา “บรรพชนกู่ ร่างแปรร่างเดียวของท่านขู่ให้ข้ากลัวมิได้หรอก เป็นหนึ่งไม่มีสอง ฮ่าฮ่าฮ่า ยิ่งมาก็ยิ่งมีความหมายแล้ว!” พูดแล้วรอบกายของจอมมารก็มีเงาร่างสายแล้วสายเล่าเดินออกมา เป็นเงาร่างที่มีเงาสีแดงโลหิต มีเงาร่างที่กำยำล่ำสัน มีเงาร่างที่เต็มไปด้วยเกล็ดเกราะ มีเงาร่างที่มีเสน่ห์ร้ายกาจ…
ร่างแปรทั้งหก กระจายไปแต่ละทิศ
ร่างจริงอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง!
เสียงหัวเราะของจอมมารมีความบ้าคลั่งอยู่บ้าง “ร่างแปรร่างแท้หมื่นมารทั้งหกของข้า ถึงแม้ว่าจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง แต่ก็สามารถต่อสู้ได้แล้ว มาสิ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่ที่อยู่ด้านหลังจอมมารต่างก็กลั้นหายใจ
เด็กอย่างพวกเขาสองคนยุแหย่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็แล้วไปเถิด แต่จอมมารปรากฏกาย ตอนนี้แม้กระทั่งบุคคลขั้นสุดยอดอย่างบรรพชนกู่ก็ถึงกับส่งร่างแปรร่างหนึ่งมาด้วยแล้ว
“ท่านพ่อ ท่านมาถึงแล้วหรือ ตอนนี้ความเคลื่อนไหวของการต่อสู้ ยิ่งมาก็ยิ่งใหญ่โตแล้ว หากไม่ระวัง ข้าก็จะถูกผลกระทบไปด้วยแล้ว” หลัวไห่ถ่ายเสียงส่งไปยังบิดาของตน ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงยื่นมือมาจับพวกเขา เขาก็ส่งสารขอความช่วยเหลือไปในทันทีแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า มาถึงก่อนแล้วล่ะ จอมมารแห่งวังทวีสูญก็มีความหมายอยู่บ้าง มาดูความครึกครื้นก่อนดีกว่า” เสียงหนึ่งดังขึ้นในห้วงสมองของหลัวไห่
……………………………………