ภาคที่ 26 ศาสตร์ลับประจำวัง ตอนที่ 17 เจ้าเมืองหลัว

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 17 เจ้าเมืองหลัว โดย Ink Stone_Fantasy

หลัวไห่พลันผ่อนลมหายใจออกจากปาก ผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่ชมดูเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยจิตใจที่มีชีวิตชีวา “หึๆ เจ้าสำนักสวรรค์กันแสง ปล่อยให้เจ้าได้ใจไปก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวเจ้า เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงผู้นี้ก็จะกลายเป็น ‘ตัวเองกันแสง’ แล้ว”

ทว่าตงป๋อเสวี่ยอิงกลับผ่อนคลายไม่ลง ถึงแม้ว่าจอมมารจะร้ายกาจ แต่ฝั่งตรงข้ามกลับเป็นผู้แกร่งกล้าขั้นอลวน ‘เจ้าสำนักสวรรค์กันแสง’ และร่างแปรหนึ่งของบรรพชนกู่ที่เล่าลือกัน

……

ขณะนี้จอมมารซึ่งมาพร้อมกับร่างแปรทั้งหกก็มีแววอาฆาตสูงเทียมฟ้า

ชายชราในอาภรณ์ขาวอันวิจิตรเห็นเช่นนี้แล้วกลับส่ายหน้าแล้วแย้มยิ้ม ก่อนจะนั่งลงตามสบาย กระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนด้านหลังรวมตัวกันเป็นบัลลังก์ เขานั่งลงบนบัลลังก์ มือซ้ายวางเท้าลงบนท่อนกระดูกที่เปล่งประกาย พลางมองจอมมารที่อยู่ไกลออกไปอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “จอมมารแห่งวังทวีสูญ ข้ากับเทียนอวี๋แห่งวังทวีสูญของพวกเจ้ารู้จักกันมานมนาน ข้ามาไกล่เกลี่ยด้วยตนเอง มิใช่ว่าเจ้าควรทำความเคารพตาเฒ่าเช่นข้าผู้นี้สักคราหนึ่งหรอกหรือ ไม่ใช่ว่ารวบรวมเอาความหวาดกลัวและความคับแค้นมาฟูมฟักสมบัติล้ำค่า ผู้แกร่งกล้ารอดชีวิต ผู้อ่อนแอตาย พวกเขาอ่อนแอ พวกเขาก็สมควรตายน่ะสิ”

“เฮอะ ถ้าหากไม่มีกฎเกณฑ์ ข้าก็คร้านจะมายุ่งเรื่องนี้เหมือนกัน” เสียงของจอมมารสั่นสะเทือนท่อนกระดูกจำนวนมหาศาลที่อยู่รอบบริเวณ ในใจจริงของเขาเชื่อมั่นว่าผู้ที่อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง ดังนั้นจึงได้สร้างหุบเหวลึกดำมืดออกมา เขาเอ่ยอย่างเย็นชาต่อไปว่า “แต่วังทวีสูญของข้าและตำหนักเทพอากาศกับขุมอำนาจอีกหลายแห่งได้บัญญัติกฎเกณฑ์เอาไว้ก่อนแล้ว ข้าเป็นประมุขวังลงทัณฑ์แห่งวังทวีสูญก็ย่อมต้องทำตามกฎเกณฑ์ อ้างอิงจากกฎเกณฑ์ เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงจะต้องได้รับโทษทัณฑ์!”

“กฎเกณฑ์ นั่นมันเป็นกฎเกณฑ์ที่พวกเจ้าบัญญัติขึ้น ข้ามิได้เคยเห็นชอบด้วยเสียหน่อย” ชายชราในอาภรณ์ขาวอันวิจิตรยิ้มน้อยๆ “นอกจากนี้ ข้าก็ไว้หน้าวังทวีสูญของพวกเจ้าแล้ว ให้เจ้าพาคนของเจ้าจากไป มิฉะนั้นแล้ว เจ้ามาถึงที่ของข้า มาก่อเรื่องวุ่นวายใต้ชายคาของข้า แล้วเจ้าจะรอดไปได้อย่างนั้นหรือ”

“ไปมิรอดหรือ” จอมมารกวาดสายตามองเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงปราดหนึ่ง

เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็ยิ้มหยัน “ใช่แล้ว หากเจ้ายังไม่ไปอีกก็จะไปมิรอดแล้วนะ ข้ายังขอเตือนให้เจ้าจากไปโดยเร็วที่สุดเสียดีกว่า เช่นนี้ก็จะยังสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้”

“ให้โอกาสเจ้าอีกรอบหนึ่งเป็นครั้งสุดท้าย พาคนของเจ้าไสหัวไปให้ไกลๆ เสีย” ชายชราในอาภรณ์ขาวอันวิจิตรออกคำสั่งด้วยรอยยิ้มหยัน

แววตาของจอมมารก็เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง “หืม อาศัยพวกเจ้าน่ะหรือ”

“ช่างรนหาที่ตายโดยแท้”

มือซ้ายของชายชราในอาภรณ์ขาวอันวิจิตรเคาะที่วางแขน ทว่าร่างกายกลับพลันแปรเปลี่ยนแล้วรวมตัวกันขึ้นมาใหม่ กลิ่นอายของเขาเริ่มพุ่งทะยานขึ้น กระดูกจำนวนมหาศาลที่อยู่โดยรอบค่อยๆ เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น กระดูกสีขาวทุกท่อนล้วนกลายเป็นหยก บริเวณโดยรอบเริ่มปรากฏการเคลื่อนไหวของกฎเกณฑ์ที่ใหญ่โตมโหฬารจนสามารถสัมผัสรับรู้ได้อย่างแจ่มชัด นี่ช่างเยียบเย็นและเหิมเกริมอย่างยิ่ง นี่คือการเคลื่อนไหวของกฎเกณฑ์ที่เยียบเย็นอหังการที่สุด กฎเกณฑ์สูงส่งล้ำเลิศอย่างที่สุด ไม่ด้อยไปกว่ากฎการสัญจรจักรวาลเลย

จอมมารมองไปทางชายชราในอาภรณ์ขาวอันวิจิตรด้วยสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง “ร่างจริงหรือ”

ด้วยระดับขั้นของเขา ในเวลานี้ก็ค้นพบว่ากลิ่นอายของบรรพชนกู่ได้แปรเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์แล้ว มิใช่ร่างแปรอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นร่างจริง!

“สายไปแล้วล่ะ!” บรรพชนกู่ยื่นมือออกมาอย่างไม่แยแส ในมือก็มีขวานใหญ่สีดำที่ดูโหดเหี้ยมปื้นหนึ่งปรากฏขึ้น บนขวานใหญ่มีพื้นผิวสีทองอันเรียบง่ายอย่างยิ่ง อากาศจางๆ บริเวณคมขวานสับลงอย่างไม่หยุดหย่อน เขาสะบัดมือขว้างคราหนึ่ง ขวานใหญ่สีดำก็ลอยตรงไปยังเจ้าสำนักสวรรค์กันแสง

“ร่างจริงของบรรพชนกู่อยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ” ถึงแม้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงจะมีพลังยุทธ์อ่อนแอแต่ก็สามารถคาดเดาได้แล้ว

ในข้อมูลของท่านอาจารย์ผู้ท่องอากาศกู่ฉีมีบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดทุกคนเอาไว้ บรรพชนกู่เคยใช้กระดูกซี่โครงของตนเองสองซี่เป็นแก่นกลาง แล้วใช้วัสดุล้ำค่านานาชนิดหลอมขึ้นมาเป็นศาสตราวุธที่น่าหวาดหวั่นชิ้นหนึ่งขึ้นมาในที่สุด…ขวานหวายดำ ดูเหมือนจะโอหัง แต่ความจริงแล้วเป็นอาวุธเทพขั้นสุดยอดที่ร้ายกาจที่สุดชิ้นหนึ่ง

อาวุธเทพขั้นสุดยอด ก็คืออาวุธเทพขั้นจักรวาล! ซึ่งก็คือสมบัติล้ำค่าขั้นสูงที่สุด

พูดถึงพลังยุทธ์ บรรพชนกู่จัดเป็นพวกระดับล่างในบรรดาสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอด แต่ ‘ขวานหวายดำ’ ปื้นนี้ของเขากลับมีชื่อเสียงลือลั่น สามารถจัดเป็นแถวหน้าในบรรดาอาวุธเทพขั้นสุดยอดจำนวนมากมายได้ เพราะหนึ่งในส่วนที่เป็นแก่นก็คือกระดูกสองซี่ของตัวเขาเอง ดังนั้นจึงสามารถสำแดงพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้ในยามที่อยู่ในมือของเขาเท่านั้น

ศาสตราวุธที่สำคัญที่สุดของบรรพชนกู่ก็ปรากฏขึ้นแล้ว ร่างจริงย่อมต้องอยู่ที่นี่แน่!

“หยุดมือนะ” จอมมารตะโกนขึ้นทันควัน

เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงที่เพิ่งคว้าขวานหวายดำเอาไว้กลับค่อนข้างตื่นเต้น เขารู้สึกว่าในขวานหวายดำเปี่ยมไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่มหาศาลอย่างมิอาจคาดคิดได้ ดูเหมือนว่าเขาจับศาสตราวุธเอาไว้ก็จริง แต่ความจริงแล้วพลานุภาพของศาสตราวุธนั้นล้วนเป็นบรรพชนกู่ควบคุมทั้งสิ้น เพียงแค่อาศัยมือของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงมาสำแดงเท่านั้น

“ก่อนหน้านี้ให้เจ้าไป เจ้าก็ไม่ไป ตอนนี้นึกอยากจะไปก็ไปไม่ได้แล้ว เจ้ายังจะให้ข้าหยุดมืออีกหรือ” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงยิ้มเยาะ

จอมมารไม่ยั้งมือ ทั้งยังส่งสารให้ตงป๋อเสวี่ยอิงไปพร้อมกันด้วย “ตงป๋อเสวี่ยอิง ข้ารู้ว่าเจ้าก็มาจากจักรวาลแรกเริ่ม ทั้งยังเป็นเพื่อนร่วมบ้านเกิดของข้าด้วย ดังนั้นข้าจึงตอบรับภารกิจนี้แล้วมาดูเด็กรุ่นหลังอย่างเจ้าสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะมาพบแผนการลับของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเข้า ตอนนี้ก็วุ่นวายไปกันใหญ่แล้ว ร่างจริงของบรรพชนกู่อยู่ที่นี่ ข้าก็ย่อมหนีไม่รอดอย่างแน่นอนแล้ว! อีกประเดี๋ยวข้าจะสำแดงเคล็ดวิชาลับส่งเจ้าจากไป บรรพชนกู่อาจลงมือกับข้า แต่เขาไม่สนใจที่จะลงมือกับเจ้าหรอก”

“ผู้อาวุโสจอมมาร” ตงป๋อเสวี่ยอิงกระวนกระวายใจอยู่บ้าง

“วางใจเถิด ต่อให้ถูกเขาจับตัว อย่างมากที่สุดก็แค่ทนทุกข์ทรมานหน่อย ต่อให้เจ้าเฒ่าโครงกระดูกผู้นั้นกล้ากว่านี้ เขาก็ไม่กล้าสังหารผู้แกร่งกล้าขั้นอลวนของวังทวีสูญของข้าหรอก” จอมมารถ่ายเสียงพูด “ตอนนี้ข้าเบนความสนใจของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงแล้ว หลังจากนั้นจะส่งเจ้าจากไป! บรรพชนกู่ถือศักดิ์ศรี รังเกียจที่จะลงมือ เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงจะต้องขัดขวางข้าอย่างแน่นอน”

“เข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจถึงความเร่งร้อนของสถานการณ์

“สหายตัวน้อยผู้นี้ ข้าจะส่งเจ้ากับตงป๋อเสวี่ยอิงไปพร้อมกันนะ” จอมมารมองไปทางหลัวไห่

“ไม่ต้องมายุ่งกับข้า ข้ามีวิธีรักษาชีวิตของตัวเองได้” หลัวไห่ถ่ายเสียงพูดอย่างมั่นใจในตนเอง

จอมมารฟังแล้วก็ตกตะลึงอยู่บ้าง

ในเวลานี้ ยังมีความมั่นใจในตนเองถึงเพียงนี้ มีความเป็นมาเช่นไรกัน

อันที่จริงด้วยความหลักแหลมของจอมมารก็ค้นพบอยู่ก่อนแล้วว่าหลัวไห่ดูเหมือนจะสงบนิ่งยิ่งกว่าตงป๋อเสวี่ยอิงเสียอีก ในเวลาเช่นนี้ยังสามารถสงบนิ่งเช่นนี้ได้ หรือว่าจะเตรียมตัวรับความตายเอาไว้แล้วจริงๆ ถึงได้มีความมั่นใจอย่างยิ่งยวด

……

จอมมารลอบถ่ายเสียงพูดกับตงป๋อเสวี่ยอิงไปพลาง พูดด้วยรอยยิ้มเย็นกับเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงไปพลาง “สวรรค์กันแสง ต่อให้เจ้าถือขวานหวายดำ ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของข้าเช่นกัน! เอาชนะร่างแปรทั้งหกของข้าให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด!” เอ่ยวาจาออกไปแล้ว ร่างแปรทั้งหกที่อยู่ล้อมรอบจอมมารก็พลันแปรเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงแล้วไปล้อมรอบเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงแทบจะในทันที

เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงถือขวานหวายดำไว้ในมือ มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย็นไม่แยแส เขาเพียงแค่แกว่งขวานกวาดไปคราหนึ่งในทันใด

พรึ่บ

แสงเงาสีดำอันอ่อนจางยิ่งสายหนึ่งพลันกวาดผ่านร่างแปรทั้งหกของจอมมาร ยามที่แสงเงาสีดำสับผ่านไปราวกับพัดนี้ จอมมารค้นพบด้วยความพรั่นพรึงว่าร่างแปรทั้งหกของเขา แต่ละร่างต่างก็ถูกพันธนาการเอาไว้อย่างแปลกประหลาด พันธนาการอันไร้รูปร่างนี้ราวกับเชือกเส้นแล้วเส้นเล่ามัดพันเอาร่างแปรทั้งหกของเขาเอาไว้ การเคลื่อนไหวอย่างสุดกำลังของเขาล้วนเปลี่ยนไปเป็นความเชื่องช้าอย่างยิ่ง

ขวับ…ร่างแปรหกร่างในที่นั้นมีสี่ร่างแปรที่ถูกตัดผ่านแล้วหายวับไปในทันใด มีร่างแปรเพียงสองร่างที่ถูกตัดจนขาดแยกจากกันแล้วสามารถกลับไปรวมร่างกันใหม่ได้สำเร็จ

ร่างหนึ่งคือร่างแปรที่มีเงาสีแดงโลหิต ส่วนอีกร่างก็คือร่างที่เป็นของเหลวสีดำ ซึ่งก็คือสองร่างแปรที่รักษาชีวิตเอาไว้ได้อย่างแข็งแกร่งที่สุด

“อะไรกันนี่” จอมมารพรั่นพรึง

ถึงแม้ว่าวังทวีสูญก็มีอาวุธเทพขั้นสุดยอด แต่ยามที่บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบสนทนากับจอมมารเป็นครั้งคราวนั้นต่างก็ควบคุมพลังยุทธ์อยู่เสมอ ยิ่งไม่สามารถใช้อาวุธเทพขั้นสุดยอดได้

ถึงแม้ว่าจอมมารจะเคยมีโอกาสได้ลิ้มรสอาวุธเทพขั้นสุดยอดมาก่อนแล้ว แต่ ‘ขวานหวายดำ’ ก็ยังน่าหวาดหวั่นกว่าที่เขาคาดคิดไว้มากมายนัก

“เจ้าหนีไม่รอด เจ้าเด็กสองคนที่อยู่ด้านหลังเจ้านั่นก็หนีไม่รอดเช่นเดียวกัน” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงถือขวานหวายดำไว้ในมือ เขาคร้านที่จะไปใส่ใจร่างแปรทั้งสองของจอมมาร จึงโจมตีเข้าใส่ร่างจริงของจอมมารโดยตรง “อีกไม่นานเจ้ากับเด็กสองคนที่อยู่ด้านหลังเจ้าก็จะได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่”

ทันใดนั้นเวลาก็หยุดชะงักลง

เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงที่ถือขวานหวายดำเอาไว้ในมือก็หยุดค้างอยู่กลางเวหา จอมมารที่ลอบสำแดงเคล็ดวิชาเองก็มิได้ขยับแม้แต่น้อย หลัวไห่ยังมองดูพร้อมมุมปากแย้มยิ้ม สีหน้าแข็งค้าง ตงป๋อเสวี่ยอิงที่ยังคงมีสีหน้าตื่นตระหนกก็แข็งค้างไปเช่นเดียวกัน

ความจริงแล้วด้วยระดับขั้นของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงและจอมมารนั้น คิดจะทำอะไรที่กระทบต่อความเร็วในการเคลื่อนของเวลาล้วนเป็นเรื่องยากเย็นอย่างยิ่งสำหรับพวกเขา  การทำให้เวลาของพวกเขาหยุดชะงักลงก็เป็นเรื่องยากยิ่งกว่า

ตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่นั้นหยุดชะงักลงแม้กระทั่งความคิดอ่าน ในขณะนี้เวลาของพวกเขาได้หยุดนิ่งลงโดยสมบูรณ์แบบแล้ว

ส่วนเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงและจอมมารดีกว่าเล็กน้อย วิญญาณของพวกเขายังสามารถรักษาความนึกคิดที่ค่อนข้างเชื่องช้าเอาไว้ได้!

“ใคร ที่แท้เป็นใครกัน”

พวกเขาทั้งสองต่างก็ตื่นตระหนกและพรั่นพรึงอยู่บ้าง

ต่อให้เป็นเทพจักรวาล ถ้าหากเป็นเพียงร่างแปรพวกเขาก็ไม่กลัว ถ้าหากร่างจริงของเทพจักรวาลมาเยือนก็ชนะเพียงเพราะความแตกต่างของพลังยุทธ์ตามระดับขั้นและความสามารถในการบดขยี้เท่านั้น ย่อมไม่มีทางควบคุมเวลาจนทำให้พวกเขามิอาจเคลื่อนไหวได้ นี่ช่างน่าหวาดกลัวเกินไปแล้วจริงๆ

เห็นเพียงว่ามีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางแผ่นดินกระดูก บุรุษหนุ่มสวมอาภรณ์สีฟ้าเข้มหลวมโพรกผู้หนึ่งก้าวเดินมาอย่างช้าๆ

“เจ้าเมืองหลัวหรือ” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงและจอมมารกระจ่างแจ้งในทันใด

เทพจักรวาลที่ครอบครองพละกำลังของทั้งจักรวาลแห่งหนึ่งจึงไร้พ่ายเช่นนั้นได้ ทว่าเห็นกันอยู่ชัดๆ ว่า ‘เจ้าเมืองหลัว’ กลับเป็นเพียงแค่ขั้นอลวนเท่านั้น แต่ระดับขั้นของเขาสูงส่งเหลือเกิน เขาควบคุมความเร้นลับของกฎเกณฑ์… แต่กลับน่าหวั่นเกรงยิ่งกว่าบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่แห่งเกาะใจกลางทะเลสาบผู้เป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดแห่งความเร้นลับของกฎเกณฑ์เสียอีก! ระดับขั้นของเขาไปถึงระดับที่เหนือจินตนาการแล้ว

พูดถึงระดับขั้น ต่อให้เป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกทิพย์โบราณและมหาโลกทิพย์ทั้งห้าผู้นั้น และบุคคลอันน่าหวั่นเกรงที่มืดบ้างสว่างบ้างท่านอื่นๆ แต่ละท่าน หรือแม้แต่ในความคิดของผู้ท่องอากาศกู่ฉี ระดับขั้นของเจ้าเมืองหลัวก็แข็งแกร่งเป็นที่สุด

“เฒ่าโครงกระดูก” บุรุษหนุ่มอาภรณ์สีฟ้าเข้มหลวมโพรก ‘เจ้าเมืองหลัว’ มองไปทางบรรพชนกู่ผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์กระดูกที่อยู่ไกลออกไป

สีหน้าของบรรพชนกู่ไม่น่าดูอยู่บ้าง เขาลุกจากบัลลังก์กระดูกขึ้นยืนอย่างกระอักกระอ่วนใจ

“ว่ามาสิ ควรจะอธิบายกับข้าเช่นไร” เจ้าเมืองหลัวมองบรรพชนกู่

…………………………………