ตอนที่ 18 คำถาม โดย Ink Stone_Fantasy
ตอนนี้จอมมารและเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงจะขยับก็มิอาจขยับได้ หูก็มิอาจได้ยินเสียงใดๆ เห็นเพียงแค่ว่าบรรพชนกู่ที่อยู่ไกลออกไปเผชิญหน้ากับเจ้าเมืองหลัว คล้ายจะมีท่าทีที่นอบน้อมลงมาไม่น้อย พวกเขาต่างก็รู้ว่าพลังยุทธ์ของเจ้าเมืองหลัวแข็งแกร่งกว่าบรรพชนกู่อยู่มากมาย แข็งแกร่งยิ่งกว่าบรรพชนเทียนอวี๋และบรรพชนห้วงอากาศเสียอีก
เพียงแต่ดีร้ายอย่างไรก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอด เอาชนะมิได้ก็ยังสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ จำเป็นจะต้องมาระมัดระวังเช่นนี้ทำไมกัน
ดีร้ายอย่างไรพวกเขาสองคนก็ยังสามารถเห็นสถานการณ์ได้ ส่วนตรงที่ตงป๋อเสวี่ยอิงและหลัวไห่อยู่นั้น เวลาได้หยุดชะงักไปโดยสมบูรณ์แล้ว
……
บรรพชนกู่ลุกจากบัลลังก์กระดูกขึ้นยืนพลางพยายามฝืนยิ้ม “ฮ่าฮ่า เจ้าเมืองหลัว ช่างบังเอิญเสียจริง คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเจ้าเมืองหลัวในสถานที่อันไกลโพ้นเช่นนี้ด้วย ที่แท้แล้วเป็นเรื่องอันใดกันแน่หนอที่ดึงดูดท่านเจ้าเมืองหลัวมา เป็นจอมมารหรือ เป็นเจ้าเด็กสองคนนั่นหรือ คงมิได้เจาะจงมาจ้องมองข้ากับสวรรค์กันแสงโดยเฉพาะหรอกกระมัง”
“ข้ากำลังถามเจ้าว่า จะอธิบายกับข้าเช่นไร!” เจ้าเมืองหลัวมองเขา
บรรพชนกู่มีสีหน้าไม่น่าดูอยู่บ้าง
“ตอนแรกข้ารับปากจะให้เจ้าเข้าสู่โลกทิพย์กิเลนบูรพา รับการคุ้มกันจากโลกทิพย์กิเลนบูรพา แต่ก็ทำข้อตกลงกันเอาไว้ก่อนแล้ว” เจ้าเมืองหลัวพูดต่อไป “หากมิใช่หยวนขอให้ข้าช่วยเหลือ เจ้าจะสามารถเข้าสู่โลกทิพย์กิเลนบูรพาได้หรือ ตอนนี้เข้ามายังโลกทิพย์กิเลนบูรพาแล้ว แต่กลับไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ที่ข้าบัญญัติขึ้นอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าเมืองหลัว” บรรพชนกู่เอื้อนเอ่ย “ก่อนอื่นเลย ข้ามิได้ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ที่ท่านบัญญัติ แผ่นดินอลหม่านสองร้อยกว่าแห่งที่ประสบเคราะห์ถูกสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศยึดครอง กลืนกินค่ายสังหารก่อให้เกิดความหวาดกลัว ความคับแค้นและอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้าเลย! ท่านจะไปตรวจสอบผ่านห้วงมิติเวลาดูเลยก็ได้ ข้าไม่ได้รู้มาก่อนเลยจริงๆ เป็นความคิดของเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเองทั้งสิ้น”
“ประการถัดมา ถึงแม้ว่าเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงจะทำเรื่องเหล่านี้ แต่แผ่นดินอลหม่านเหล่านี้ก็อยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่าน มิได้อยู่ในอาณาบริเวณของโลกทิพย์กิเลนบูรพาเสียหน่อย! ท่านสามารถห้ามปรามไม่ให้พวกเขาสังหารหมู่อย่างหยาบช้าป่าเถื่อนในโลกทิพย์กิเลนบูรพาได้ก็จริง แต่ในโลกทิพย์แห่งอื่นๆ และแม้กระทั่งในอากาศอันสับสนอลหม่าน…นี่ก็ยากยิ่งที่จะห้ามปราม”
เจ้าเมืองหลัวมองบรรพชนกู่พลางเอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “ก็ได้ ข้ายอมรับว่าเจ้าไม่รู้เรื่องมาก่อน แต่เมื่อครู่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงขอความช่วยเหลือจากเจ้า พอร่างแปรของเจ้ามาถึง ก็ควรจะรู้เรื่องนี้แล้วกระมัง”
“พอรู้แล้ว เจ้าไม่เพียงแต่ไม่จัดการอะไรเท่านั้น แต่ยังช่วยเหลือสวรรค์กันแสงอีกมิใช่หรือ” เจ้าเมืองหลัวมีแววหนาวเหน็บในดวงตา “ในเมื่อได้รับการคุ้มกันจากโลกทิพย์กิเลนบูรพา เจ้าก็ต้องทำตัวให้ดีสักหน่อยสิ ลืมๆ วิธีการชั่วร้ายในอดีตเหล่านั้นของเจ้าไปเสียบ้าง”
บรรพชนกู่กระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
ต่อให้เป็นเทพจักรวาลก็มิใช่ว่าจะปลอดภัยอย่างสิ้นเชิง
ตอนนั้นที่ผู้ท่องอากาศกู่ฉีถูกไล่ล่าสังหารจนไม่มีที่ไป แม้กระทั่ง ‘บรรพชนห้วงอากาศ’ ก็ยังคุ้มกันให้ไม่ได้! ต้องรู้ไว้ว่าโลกทิพย์โบราณที่ดั้งเดิมที่สุดในตอนนั้นก็คือแหล่งกำเนิดของทุกสิ่งทั้งมวล โลกทิพย์โบราณในตอนนี้ยิ่งใหญ่เหลือเกินแล้ว แต่ก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในร้อยส่วนของโลกทิพย์โบราณที่ดั้งเดิมที่สุดเท่านั้นเอง
โลกทิพย์โบราณเช่นนั้นมีเสถียรภาพปานใด กฎเกณฑ์แกร่งกล้าปานใด ในท้ายที่สุดก็ยังถูกตีจนแตกพ่ายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้!
บรรพบุรุษสายหนึ่งของความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็พากันตายไปจนสิ้น
เช่นบรรพชนกู่ที่นับเป็นระดับล่างในบรรดาเทพจักรวาล ตอนนั้นสามารถหนีจากศัตรูเข้ามารับการคุ้มกันในโลกทิพย์กิเลนบูรพาได้ ช่างโชคดีอย่างแท้จริง
“ข้าเองก็เพิ่งรู้นี่แหละ” บรรพชนกู่พูด
เขาเองก็ไม่พอใจอยู่บ้าง
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงช่างเป็นตัวโง่งมโดยแท้ ลูกน้องฆ่าเด็กสองคนไม่สำเร็จ เขาก็จำเป็นต้องปรากฏตัวด้วยหรือ ก็ปล่อยเจ้าเด็กสองคนนั่นให้หนีไปเสียก็สิ้นเรื่อง! แต่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงกลับต้องปรากฏตัวมาลงมือด้วยตนเอง ถ้าหากปรากฏตัวลงมือแล้วเรื่องราวคลี่คลายก็แล้วไปเถิด แต่กลับไปยุแหย่เอาจอมมารแห่งวังทวีสูญเข้าเสียนี่!
ให้จอมมารไป จอมมารก็ไม่อยากไป! สุดท้ายเขาขอร้องบรรพชนกู่ สถานที่ที่บรรพชนกู่ปลีกวิเวกเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญก็คือในอากาศอันสับสนอลหม่านนอกโลกทิพย์กิเลนบูรพาไม่ไกลจากที่นี่นัก นี่ก็เป็นเหตุผลที่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเลือกพื้นที่แห่งนี้
บรรพชนกู่เองก็ให้ค่ากับลูกน้องของตนมาก ในขณะเดียวกันก็คิดในใจว่าตนโชคดี คิดว่าเจ้าเมืองหลัวจะไปรู้เรื่องทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างไรกัน เขาก็แค่ปิดบังเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่ พอเรื่องราวผ่านพ้นไปแล้ว เช่นนั้นผู้ใดก็มิอาจหาหลักฐานได้พบ
แต่ว่า…
เจ้าเมืองหลัวกลับปรากฏตัวขึ้นเสียเฉยๆ เช่นนี้ได้!
โลกทิพย์กิเลนบูรพากว้างใหญ่ไพศาลเช่นนั้น เหตุใดเจ้าเมืองหลัวจึงได้เก่งกาจเช่นนี้ เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ครู่เดียวก็มาถึงที่นี่ได้
“เพิ่งได้รู้ จึงยังไม่ได้คิดอะไรมาก ย่อมต้องปกป้องลูกน้องของข้าอยู่แล้ว” บรรพชนกู่พูดต่อ
“เจ้าคิดว่าควรทำเช่นไรดีเล่า” เจ้าเมืองหลัวมองเขา
บรรพชนกู่มองดูเจ้าเมืองหลัว ความทรงจำในห้วงสมองฉายภาพที่ ‘หยวน’ เคยฝากฝังเอาไว้กับเขา “เจ้าอย่าเป็นศัตรูกับเจ้าเมืองหลัวจะเป็นการดีที่สุด แต่ก็ไม่ต้องหวาดกลัวจนเกินไปนัก เขาไม่มีทางสังหารใครโดยง่าย เขามีพลังยุทธ์ที่สามารถสังหารเทพจักรวาลได้ แต่เมื่อลงมือสังหารแล้วเขาก็ต้องชดใช้! ขอเพียงแค่อย่าทำให้เขาเดือดดาลจริงๆ เท่านั้น เขาก็ไม่มีทางลงมือกับเจ้าหรอก”
สำหรับหยวน…
บรรพชนกู่เชื่อมั่นในตัวเขาเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าจะจ่ายให้หนึ่งพันศิลาปฐมโลกา ยังมี ยังมีอาภรณ์ชุดนั้นที่เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงหลอมขึ้นมาด้วย” บรรพชนกู่เอ่ย
“ห้าพันศิลาปฐมโลกา รวมถึงอาภรณ์ชุดนั้นของเขา แล้วก็ปล่อยเรื่องนี้ให้แล้วๆ กันไป” เจ้าเมืองหลัวพูด
บรรพชนกู่เจ็บปวดใจนัก
ศิลาปฐมโลกา ตอนนั้นหลังจากมหาสงครามอันน่าหวาดหวั่นครานั้น ทำให้โลกทิพย์โบราณที่ดั้งเดิมที่สุดระเบิดออก พลังดั้งเดิมของโลกทิพย์โบราณที่ดั้งเดิมที่สุดกระจัดกระจายไปทั่ว มีบางส่วนที่เปลี่ยนแปรกลายเป็นศิลาปฐมโลกา ศิลาปฐมโลกาทุกก้อนจึงล้วนล้ำค่าเป็นที่สุด! สมบัติพิทักษ์วิถีเฉกเช่นน้ำเต้าสีดำของตงป๋อเสวี่ยอิง มีมูลค่าเหนือกว่าเรือบินอลวนธรรมดาๆ ลำหนึ่งอยู่มากโข ใช้ศิลาปฐมโลกาห้าร้อยก้อนก็เพียงพอแล้ว!
ตอนนั้นที่กู่ฉีหลอมสมบัติพิทักษ์วิถีขึ้นมาก็ไม่ง่ายเลย พลังขับเคลื่อนภายในต่างก็เทียบเคียงได้กับพลังเทหวัตถุของดวงอาทิตย์เลยทีเดียว
แต่ตอนนี้เจ้าเมืองหลัวพูดตรงๆ ว่า…ต้องการขอห้าพันศิลาปฐมโลกา! นั่นเทียบเท่ากับสมบัติพิทักษ์วิถีสิบชิ้นแล้ว เป็นถึงเทพจักรวาล แต่บรรพชนกู่ก็ยังเจ็บปวดใจ
“ก็ได้” บรรพชนกู่รับคำ
……
เพียงไม่นานการหยุดชะงักของเวลาก็ถูกถอนไป
ตงป๋อเสวี่ยอิง หลัวไห่ จอมมาร และเจ้าสำนักสวรรค์กันแสงต่างก็ฟื้นฟูการควบคุมตนเองกลับมาได้
“มอบอาภรณ์ทิพย์สวรรค์กันแสงของเจ้าให้กับเจ้าเมืองหลัวเสีย” บรรพชนกู่เอ่ยกำชับ สำหรับเรื่องการให้ศิลาปฐมโลกาห้าพันก้อนนั้นเป็นการให้อย่างลับๆ มิอาจมอบให้ซึ่งๆหน้าได้ มิฉะนั้นก็จะเสียหน้ามากเกินไป
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงถลึงตาเอ่ยอย่างร้อนรน “ท่านบรรพชน!”
เขาถ่ายเสียงถามอย่างร้อนรน “ท่านบรรพชน ไยต้องกลัวเจ้าเมืองหลัวด้วยเล่า มีท่านอยู่ทั้งคน แม้มิอาจสู้ได้ หากพวกเราหนีก็ยังหนีรอดได้”
“ข้าสามารถหนีรอดได้ แต่การที่เขาจะสังหารเจ้านั้นกลับเป็นเรื่องง่ายดายเพียงความนึกคิดเดียว ข้าจะช่วยเจ้าก็ไม่ทัน! ไม่ฆ่าเจ้า เพียงแค่ให้เจ้าหยิบเอาอาภรณ์ทิพย์สวรรค์กันแสงที่เจ้าหลอมขึ้นออกมา ก็นับว่าข้ายอมเสียหน้าไปขอร้องแล้ว” บรรพชนกู่ถ่ายเสียงพูด
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงเองก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ถึงอย่างไรยามอยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองหลัว แม้แต่จะขยับเขยื้อนสักคราหนึ่งเขาก็ยังทำมิได้เลย
“แต่ว่า แต่ว่าข้าทุ่มเท…” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงไม่ยอมจำนน
“ข้าเคยเตือนเจ้าตั้งนานแล้วว่าให้เจ้าไปทำเรื่องเหล่านี้ไกลๆ โลกทิพย์กิเลนบูรพาหน่อย ใครใช้ให้เจ้ามาใกล้ถึงเพียงนี้เล่า” บรรพชนกู่ถ่ายเสียงพูด “ให้เจ้าเมืองหลัวพบเข้า ก็ได้แต่โทษที่เจ้าโชคร้ายเองแล้วล่ะ”
เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงจนใจ
พบเข้าได้อย่างไรกัน
เขาส่งลูกน้องไปจัดการเรื่องนี้ เขาซ่อนเร้นอยู่ในความมืดไม่มีผู้ใดล่วงรู้! จอมมารเองก็สืบหาอยู่นานจึงค้นพบ
คราวนี้เพิ่งปรากฏตัว เจ้าเมืองหลัวก็ค้นพบแล้วหรือ
“เอาเถอะ รักษาชีวิตก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนี้ข้าจะช่วยเจ้าหลอมสมบัติล้ำค่า ต่อจากนี้ไปหากจะทำเรื่องพรรค์นี้อีก ก็ให้ห่างจากโลกทิพย์กิเลนบูรพายิ่งไกลก็ยิ่งดี” บรรพชนกู่ถ่ายเสียงเตือน
“ขอรับ” เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงได้แต่พยักหน้า ก่อนหน้านี้เขาก็กลัวว่าจะมีคนทำเสียเรื่อง รู้สึกว่าอยู่ให้ใกล้สถานที่ที่ท่านบรรพชนปลีกวิเวกสักหน่อยก็นับว่ามีภูผาคุ้มกัน ไหนเลยจะคิดว่าเจ้าเมืองหลัวจะโผล่มา ถึงแม้ว่าบรรพชนกู่จะปกป้องชีวิตของเขาเอาไว้ แต่ก็ต้องชดใช้อย่างใหญ่หลวงเช่นกัน
……
เพียงไม่นาน เจ้าสำนักสวรรค์กันแสงก็หยิบเอาอาภรณ์สีเทาที่รวมเอากลิ่นอายของความคับแค้นและความหวาดหวั่นอันไร้ที่สิ้นสุดเอาไว้ แล้วจากไปพร้อมกับบรรพชนกู่อย่างรวดเร็ว
เจ้าเมืองหลัวหยิบอาภรณ์ชุดนี้มาแล้วเก็บไปอย่างลวกๆ
“เจ้าเด็กนี่ มาขอให้ข้าลงมือเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เจ้าเมืองหลัวมองหลัวไห่ยิ้มๆ ปราดหนึ่ง “ไปเถิด ตามข้ากลับไปได้แล้ว”
“ที่แท้แล้วเขาก็เป็นชนรุ่นหลังของเจ้าเมืองหลัวนี่เอง” จอมมารค่อยเอ่ยขึ้น “มิน่าเล่าเจ้าเมืองหลัวจึงบังเอิญมาที่นี่ได้”
หลัวไห่หันไปยิ้มกับตงป๋อเสวี่ยอิง “ข้ามิได้โกหกเสียหน่อย เขาคือบิดาของข้า! ข้าถ่ายเสียงบอกเขาไว้ก่อนแล้ว เขาเองก็มาถึงก่อนแล้ว เพียงแต่มิได้รีบลงมือเท่านั้นเอง”
“เดิมทีอยากจะดูพลังยุทธ์ของประมุขวังลงทัณฑ์แห่งวังทวีสูญคนใหม่เสียหน่อย ไหนเลยจะคิดว่าบรรพชนกู่จะถึงกับเอาขวานหวายดำให้กับลูกน้องของเขา” เจ้าเมืองหลัวส่ายหน้า “คราวก่อนที่จอมกระบี่แห่งวังทวีสูญมาหาข้าที่นี่ ก็ยังชมเชยเจ้ากับข้าอยู่เลย”
จอมมารเพียงแค่เผยรอยยิ้มน้อยๆ แต่มิได้เอ่ยวาจาอันใด
จอมกระบี่หรือ
นี่คือผู้ที่เขาถือเป็นศัตรูชั่วชีวิต
“ตงป๋อเสวี่ยอิง พวกเรากลับวังทวีสูญกันเถิด” จอมมารเอ่ย
“ผู้อาวุโสจอมมาร ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากถามเจ้าเมืองหลัว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
เจ้าเมืองหลัวสะดุ้งคราหนึ่งพลางมองชายหนุ่มอาภรณ์ขาวตรงหน้า
“หืม มีเรื่องอันใดหรือ” เจ้าเมืองหลัวถาม
“ข้าอยากถามสักหน่อยว่ามีสมบัติล้ำค่าที่สามารถทำให้เทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นบรรลุได้อยู่บ้างหรือไม่!” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามขึ้น สถานะของเจ้าเมืองหลัวไม่ธรรมดา ระดับขั้นก็สูงส่งเป็นที่สุด มีโลกทัศน์ที่ตนย่อมมิอาจเทียบได้! เขามิได้หน้าหนาพอที่จะไปขอสมบัติล้ำค่า เพียงแค่ถามหาข้อมูลเท่านั้น… มีพี่หลัวไห่อยู่ เจ้าเมืองหลัวก็น่าจะตอบคำถามของตน
ถึงแม้ว่าจะรังเกียจที่จะตอบ ตนก็มิได้เสียหายอะไร
“บรรลุหรือ” เจ้าเมืองหลัวสะดุ้งเล็กน้อยแล้วเผยรอยยิ้มพลางมองตงป๋อเสวี่ยอิง “เพื่อคนใกล้ชิดหรือ”
“อืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
……………………………..