บทที่ 507 การเปลี่ยนแปลงในฤดูร้อน

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 507 การเปลี่ยนแปลงในฤดูร้อน
ไม่ไกลจากหุบเขามรณะซึ่งพังทลายไปแล้ว เฟอร์นันโด และเบิร์กเนอร์เหาะลอยอยู่กลางอากาศมองดูความเสียหาย พลางคะเนอุณหภูมิและพลังของการระเบิดจากร่องรอยที่น่าพิศวงและหลุมขนาดมหึมา

“ถ้านี่เป็นเวทระเบิดจริงๆ ดวงอาทิตย์จะไม่ใช่ดาวที่ระเบิดตลอดเวลาเลยเหรอเนี่ย?” เบิร์กเนอร์ถามอย่างพูดไม่ออก

ไม่ใช่เพราะว่าเขาต่อต้าน ‘ระเบิดฟิวชัน’ แต่เพราะเขาแค่รู้สึกพ่ายแพ้ในฐานะศาสดาพยากรณ์ เมื่อดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นดาวที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญทางดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ ได้เผยความลับส่วนหนึ่งในที่สุด

หลังจากเฟอร์นันโดสังหารเทพอสูรจอมเวท-ลิช เบิร์กเนอร์ไม่ได้จากมาด้วยความโกรธจัด จากเหตุผลของคอนกัส เห็นได้ชัดว่ามหาจอมเวทที่ยังมีชีวิตสองคนนั้นมีความสำคัญมากกว่านักเวทชั้นตำนานที่ตายไปแล้ว ถ้าไม่สนใจเรื่องการป้องกันตัวเองของคอนกัสและทำตามกฎของสภาเวทมนตร์ สิ่งที่เฟอร์นันโดทำก็ไม่ผิดเช่นกัน

อาจเป็นเพราะว่า ‘เจ้าแห่งวายุ’ มักจะปฏิบัติตามกฎของสภาเวทมนตร์ ผู้คนจึงลืมว่าเขาหัวเสียได้ง่าย ไม่เพียงแต่กับคำถามวิชาการ หรือวิธีที่เขาได้ระดับชั้นตำนานและฉายาของเขา วันที่เขาโจมตีอย่างกะทันหันที่เบิร์กเนอร์รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลและเป็นไปตามคาดของ ‘เจ้าแห่งวายุ’ ดังนั้น เขาจึงยอมรับผลด้วยรอยยิ้มขมขื่น

เฟอร์นันโดส่ายศีรษะ “พูดในทางเทคนิคก็คือ มันไม่ใช่เวทมนตร์ระเบิด ข้าไม่เจอร่องรอยที่มีลักษณะเฉพาะใดๆ ที่เกิดจากเวทมนตร์ระเบิดแบบดั้งเดิมเลย”

เขาตั้งใจเพิ่มคำว่า ‘แบบดั้งเดิม’ เข้าไปเมื่อกล่าวถึงเวทมนตร์ระเบิดของสำนักธาตุ เห็นได้ชัดว่าเขามองว่าสิ่งที่มาก่อนเขาเป็นวิธีใหม่ในการใช้เวทมนตร์ระเบิดซึ่งใกล้เคียงกับความลับของดวงอาทิตย์ ขณะเดินไปตามทาง กลุ่มแสงและแม่เหล็กไฟฟ้าบางส่วนสามารถรวมเข้ากับสาขาธาตุได้

“ถูกต้อง” แฮททาเวย์พยักหน้าเบาๆ และเห็นด้วยกับข้อสรุปของเฟอร์นันโด

เบิร์กเนอร์ ศาสดาพยากรณ์ผู้ไม่เก่งเรื่องธาตุ ถอนหายใจ “ข้านึกภาพไม่ออกเลยว่าลูเซียน อีวานส์ ได้สร้างเวทมนตร์อย่างนั้นขึ้นมา ยังไงก็ตาม ข้ามีความรู้สึกว่าเวลาได้เปลี่ยนไปแล้ว อาจจะเริ่มจากตอนนี้ก็ได้ ไม่สิ เพราะลูเซียนเสนอ ‘ทฤษฎีพลังงานควอนตัม’ อาร์คานาและเวทมนตร์จึงได้เข้าสู่ยุคน่าอัศจรรย์และน่าทึ่ง”

ในขณะที่เฟอร์นันโดและแฮททาเวย์ไม่ได้ตอบอะไรเบิร์กเนอร์ สีหน้าและความเงียบของพวกเขาก็บ่งบอกว่าพวกเขากำลังใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่ สิ่งที่ศาสดาพยากรณ์พูดต้องไม่ถูกเมินเฉยง่ายๆ

ในตอนนั้นเอง มีคนสองคนเหาะเข้ามาใกล้ มือของเฟอร์นันโดที่กำหมัดแน่นมาตลอดคลายออก และเขาวิจารณ์อย่างรุนแรง “คราวนี้เจ้าโง่เง่าจริงๆ! เจ้าไม่รู้ว่ามีคนตบตาเจ้าอยู่ และเจ้าถูกบีบให้เข้าประตูมิติไปยังดินแดนใหม่แบบนั้น! ถ้าคราวหน้าเจ้าสะเพร่าแบบนี้อีก ข้าคิดว่าข้าคงต้องไปเก็บศพเจ้าแล้วละ ถ้าหาเจอนะ!”

ลูเซียนแทบจะมาไม่ถึงเมื่อได้รับการทักทายเป็นพายุแห่งเสียงคำรามที่เขาคิดถึง เขารู้สึกค่อนข้างอบอุ่นที่ได้เห็นอาจารย์ของเขาโกรธ จึงรีบยอมรับผิด

“ท่านย่า เหตุใดท่านมาเร็วเช่นนี้? เราคิดว่าต้องรอจนค่ำหรือเช้าวันพรุ่งนี้เสียอีก” นาตาชามักได้ยินลูเซียนพูดถึงเสียงคำรามของอาจารย์ของเขาเสมอ นางสังเกตเสียงอย่างสนุกและคิดจะบันทึกเสียงเอาไว้เผื่อแกล้งลูเซียนคราวหลัง อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางก็เปลี่ยนเรื่องคุยเพราะเหตุผลบางอย่าง

แฮททาเวย์ดูอ่อนโยนมากขึ้นขณะที่นางจ้องมองนาตาชา และเอ่ยอย่างสบายๆ ว่า “เราสังหารคอนกัสและมาจากประตูมิติไปยังดินแดนใหม่ที่เขาสร้างขึ้น”

“ท่านฆ่าคอนกัสหรือ” ลูเซียนทั้งแปลกใจระคนดีใจ เขากังวลว่า ‘เวทเปลวไฟนิรันดร์’ จะไม่สามารถสังหารคอนกัสผู้ซึ่งมีเครื่องรางกักพลังได้ และกังวลว่ามันจะมีปัญหาไม่รู้จบถ้าหมอนั่นหลบหนีไป เขาไม่ได้คาดหวังว่าอาจารย์ของเขาจะสนใจปัญหานี้

พวกเขาจะต้องควบคุมความรู้สึกกดดันเอาไว้มากใช่ไหม?

“มันสมควรตาย!” เฟอร์นันโดไม่เปลี่ยนความคิดตน จากนั้น เขาข่ม ‘ความโกรธ’ ไว้ แล้วฝืนยิ้มถาม “เวทมนตร์ของเจ้าเป็นไงบ้างล่ะ? ดวงอาทิตย์มายาที่เราเห็นวันก่อนนั่นเป็นฝีมือเจ้าด้วยใช่ไหม? แล้ว ‘จันทราสีเงิน’ กับ ‘สิ่งมีชีวิตของโลกแห่งวิญญาณล่ะ’?”

“อาจารย์ ท่านก็มองเห็นด้วยหรือครับ?” ลูเซียนไม่ได้คาดหวังว่าอาจารย์ของเขาจะมองเห็นมันจากที่ไกลๆ จากนั้น เห็นได้ชัดว่าบางสิ่งที่สำคัญที่สุดได้หายไปจากห้วงความคิดของเขาในตอนนั้น โลกใบนี้ซับซ้อนเกินกว่าที่เขาคิด

แฮททาเวย์ซึ่งยืนอยู่เงียบๆ มาตลอดพูดแทรกขึ้น “ทุกคนมองเห็นมัน มันเป็นเวทมนตร์ในตำนานที่มาจากการเล่นแร่แปรธาตุใหม่ใช่ไหม?”

นางกระตือรือร้นมากกว่าคนอื่นๆ ราวกับว่ากำลังศึกษา ‘การเล่นแร่แปรธาตุใหม่’

“ใช่ครับ ข้าสังเกตปรากฏการณ์บางอย่างเมื่อตอนที่ข้าศึกษาการสลายของอะตอมและได้ข้อสรุปมากมาย หลังจากที่ข้าสังหารคอนกัสเป็นครั้งที่สอง ความรู้นั้นก็ผสมผสานกัน ประสานเข้าด้วยกันและโลกนี้ก็ให้ผลตอบรับแก่ข้า ข้าประสบความสำเร็จเรื่องต้นแบบของเวทมนตร์ในตำนานสองเวทมนตร์ที่มีปฏิกิริยากับสิ่งที่เราเห็น หลังจากนั้น ด้วยความช่วยเหลือของ ‘จันทราสีเงิน’ ข้าสร้างโครงเวท ‘เปลวเพลิงนิรันดร์’ ได้เสร็จสมบูรณ์ หรือ ‘พลังงานฟิวชันอะตอม’ ได้เสร็จสมบูรณ์และใช้มัน” ลูเซียนไม่ได้เผยทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษหรือสูตรมวล-พลังงาน แต่อธิบายจากปรากฏการณ์การทดลองที่จะเห็นได้ในการเล่นแร่แปรธาตุใหม่

การอนุมาน ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษนั้นไม่ยาก หากพิจารณาความรู้และผลงานของสภาเวทมนตร์ ใครก็ตามที่เอาชนะอคติของตนก็จะทำได้ภายในไม่กี่ปี อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพราะอคตินี่แหละที่ทำให้ลูเซียนไม่กล้าเอางานวิจัยให้อาจารย์ของเขาดูในทันที

ในขณะที่ทฤษฎีคลื่นและทฤษฎีอนุภาคของแสงนั้นเป็นพื้นฐานของกลุ่มย่อยต่างๆ และโลกแห่งปัญญา ความคิดเห็นเรื่องเวลาและอวกาศนั้นเป็น ‘สามัญสำนึก’ พื้นฐานที่จอมเวททุกคนใช้เพื่อทำความเข้าใจโลกนี้ ความคิดเห็นเหล่านี้มาจากความรู้สึกโดยสัญชาตญาณและไม่ผิดพลาดในแต่ละวัน ตัวอย่างก็คือ แม้แต่คนธรรมดาก็ยังมีความรู้สึกว่าเวลาแห่งความสุขมักจะไหลไปอย่างเงียบเชียบ

ดังนั้น สำหรับจอมเวทแล้ว เวลาสัมบูรณ์ เวลาอิสระนั้นเป็นสิ่งสำคัญพื้นฐานสำหรับโลกทัศน์ของพวกเขา เชื่อกันว่า ‘เวทหยุดเวลา’ เวทมนตร์ระดับเก้า เพียงแค่ทำให้พื้นที่หยุดนิ่งและชะลอการเคลื่อนไหว และเชื่อกันว่าเวทนี้ไม่ได้ทำให้เวลาเปลี่ยนแปลง เวทมนตร์นี้เหมือน ‘เวทยืดเวลา’ ฉบับปรับปรุง

ส่วนที่ทำให้เกิดความวุ่นวายของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษนั้นไม่ใช่สูตรมวล-พลังงาน แต่เป็นแนวความคิดว่าที่เวลาและที่ว่างมีความสัมพันธ์กัน โดยกล่าวว่าเวลาสัมพันธ์กับความเร็วและขึ้นอยู่กับสสารซึ่งเป็นพายุขนาดที่ไม่เล็กกว่าพายุที่เกิดจาก ‘ทฤษฎีควอนตัมพลังงาน’ ในขณะเดียวกัน มันก็แสดงว่าให้เห็นว่า ‘ทฤษฎีอีเธอร์’ นั้นล้าสมัย

อย่างไรก็ตาม การศึกษาเรื่องปฏิกิริยาฟิชชันและฟิวชันในเบื้องต้นนั้นไม่จำเป็นต้องใช้สูตรมวล-พลังงาน ตอนนี้ลูเซียนจึงยังไม่บอกอะไรเพื่อให้อาจารย์ของเขาค่อยๆ เข้าใจมัน

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ลูเซียนก็ขออภัยอยู่ในใจ “อาจารย์ของข้ามักเป็นคนแรกที่ได้รับผลกระทบจากทฤษฎีใหม่ๆ ข้ารู้สึกขอโทษเขาจริงๆ ว่าแต่ฟิชชันและฟิวชันจะช่วยให้เขาได้ระดับสูงขึ้นได้ไหมนะ?”

เฟอร์นันโดถามอย่างจริงจัง “ปฏิกิริยาฟิวชันงั้นหรือ? อีกอันคือปฏิกิริยาฟิชชันงั้นหรือ?”

การสลายของธาตุต่างๆ ที่เห็นนั้นคือปฏิกิริยาฟิชชันอย่างแน่นอน นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดเขาจึงถามอย่างตื่นเต้น

“ปฏิกิริยาฟิวชันปลดปล่อยพลังงานเหมือนกับปฏิกิริยาฟิชชันไหม?” แฮททาเวย์ถามคำถามสำคัญ ดวงตาสีเทาฉายแววความกระตือรือร้น

พวกเขาลืมเสียสนิทว่าพื้นที่นี้อยู่ภายใต้การควบคุมของศาสนจักร หรือลืมไปว่าการระเบิดอย่างบ้าคลั่งของ ‘เวทพี่ใหญ่ไอวาน’ เกิดขึ้นหมาดๆ ทุกคนต่างเหาะไปเรื่อยๆ พลางถกกันเรื่องปฏิกิริยาฟิชชันและฟิวชันของอะตอม

ลูเซียนสอนนาตาชามาล่วงหน้าแล้ว นางจึงฟังอย่างเพลิดเพลินและพูดแทรกบ้างบางครั้ง เบิร์กเนอร์ ผู้ซึ่งไม่เก่งเรื่องธาตุรู้สึกอึดอัดจนออกจากการสนทนาแล้วคอยระแวดระวังแทน

หลังจากสรุปให้ฟัง ลูเซียนก็เอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ ท่านแฮททาเวย์ขอรับ วารันไทน์ต้องเห็นการระเบิดครั้งนี้ก่อนแล้ว”

“วารันไทน์น่ะนะ? มันจะกล้ามาที่นี่หรือ?” เจ้าแห่งวายุจ้องมองลูเซียน มีมหาจอมเวทสองคน มีศาสดาพยากรณ์ชั้นตำนานระดับสองหนึ่งคน เหตุใดพวกเขาจะต้องกลัวผู้นำนักพรตที่ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งนักบุญด้วยล่ะ?

ถึงแม้พระสันตะปาปาจะมาที่นี่ด้วยตนเอง เฟอร์นันโดก็ยังคงเชื่อในสมรรถภาพของพวกตน ตราบใดที่ไม่มี ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ ถึงแม้พวกเขาจะเอาชนะเขาไม่ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะหนี นักเวทชั้นตำนานนั้นฆ่ายากกว่าในระดับอื่นๆ ยกเว้นพวกเขาจะถูกล้อมและมิติถูกปิดกั้น ทว่าตั้งแต่ศาสดาพยากรณ์มาอยู่ที่นี่ มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะซุ่มโจมตีและล้อมกรอบพวกเขา

ทั้งๆ ที่พูดอย่างนั้น เฟอร์นันโดก็ยังคงซ่อนความปรารถนาในการสำรวจอาร์คานา เขาพูดต่อ “กลับไปอัลลินกันเถอะ เจ้าเขียนรายงานประสบการณ์เรื่องจันทราสีเงินกับสิ่งมีชีวิตในโลกแห่งวิญญาณได้นะ บอกผู้คนเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับมาสเกลีนด้วยถ้าเจ้าอยากบอก เจ้าไม่สามารถเผชิญหน้ากับโลกแห่งวิญญาณคนเดียวได้หรอก”

คอนกัสมีข้อมูลทิ้งไว้อยู่บ้างที่ปราสาทของเขา ที่ทำให้เฟอร์นันโดรู้ว่าทำไมพวกเขาไล่ตามลูเซียน

นาตาชาใช้โอกาสนี้กล่าวลา นางพร้อมที่จะกลับไปหากลุ่มอัศวินที่ราชรัฐไวโอเล็ตส่งมา

“ไว้คุยกัน” นาตาไม่ได้รู้สึกเศร้าที่ต้องไป และแสดงท่าทางว่าให้ส่งข้อความคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าให้ลูเซียนพร้อมรอยยิ้ม นางเหาะออกไปอย่างสบายใจหลังจากแอบกระซิบอะไรบางอย่างแก่แฮททาเวย์

เมื่อเฟอร์นันโดเห็นว่านางไปแล้ว เขาก็ยิ้มออกมาอย่างน่ากลัวในทันที “ลูเซียน การไล่ตามความรักของเจ้าดูจะยากเย็นเสียเหลือเกิน”

มองออกหรือนี่? ลูเซียนถามอย่างเขินๆ “พูดอะไรน่ะขอรับ ท่านอาจารย์?”

“ฮ่าๆ ไม่ต้องอายหรอก ข้ามีประสบการณ์เรื่องความรักมาเยอะ มีอะไรที่ข้ายังไม่เจออีกล่ะ? เหตุผลเดียวที่ตอนนี้ข้ายังโสดเพราะข้าไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่น่ะสิ ถ้าเจ้าอยากถามข้าเรื่องพวกนี้ ถามมาได้เลย” เฟอร์นันโดแหย่ลูกศิษย์ของเขาอย่างชัดเจน

….

ในพระราชวังเนคโซ นครเรนทาโต เมืองหลวงของอาณาจักรโฮล์ม

เทียนสีขาวกำลังส่องแสงอยู่บนเชิงเทียนสีเงิน แสงสลัวสร้างบรรยากาศเงียบเหงาและโดดเดี่ยวตรงข้ามของพายุและฟ้าแลบแปลบปลาบด้านนอก

ซาร์ด ซึ่งสวมหมวกสีขาว มองกษัตริย์เฟลติสซึ่งนอนอยู่บนเตียง แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ชีวิตของพระองค์มาจนสุดทางเมื่อสองสามเดือนก่อน ทว่ามีพลังของเทพประคับประคองไว้ตั้งแต่ตอนนั้น อย่างไรก็ตามแม้แต่พลังของเทพก็ไม่อาจยื้อชีวิตของพระองค์ได้อีกต่อไป ทุกสิ่งถูกจัดสรรไว้แล้ว ฝ่าบาทต้องกลับคืนสู่อ้อมกอดของพระผู้เป็นเจ้าอย่างสงบ ความตายไม่ใช่ชะตากรรม ฝ่าบาทจะได้พบความสุขนิรันดร์และได้รับการไถ่บาปบนหุบเขาวิมานนั้น”

ดวงตาขุ่นมัวของเฟลติสใสขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่ความรู้สึกผิดของเขาถูกแทนที่ด้วยความรับผิดชอบต่อหน้าที่และการตัดสินใจแน่วแน่ เขาพูดตะกุกตะกัก “ท่านนักบุญซาร์ด… เร็กซ์ สิ่งทั้งหลาย… จะอยู่ในมือท่าน โฮล์มเป็นอาณาจักรที่พระเจ้าช่วยเหลือเสมอ… และมันจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป”

เร็กซ์ ดยุกแห่งเฟรนเบิร์ก และประธานรัฐสภาแห่งขุนนางเศร้าโศกเสียใจอยู่ตรงหน้าองค์ราชาที่เขารับใช้มาเป็นเวลาหลายปี เขาจับมือเฟลติสวางบนเข่าข้างหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมจะทำตามความหวังของพระองค์”

“มันเป็นภารกิจของกระหม่อมที่ต้องเพิ่มความรุ่งโรจน์ให้แก่พระผู้เป็นเจ้า ฝ่าบาท ขอพระองค์มั่นใจได้ เจ้าชายจะไม่ตกนรกอย่างแน่นอน” ซาร์ดดึงไม้กางเขนตรงหน้าอกออกมา

เปรี้ยง สายฟ้าขนาดมหึมาฟาดลงมาจนห้องสว่างไสว เฟลติสหลับตาพลางยิ้ม มือขวาของเขาเลื่อนหล่นลงไป

….

ณ ที่พักของรัฐมนตรีการคลัง เคานต์เฮนสันตื่นจากความฝัน

“อะไรนะ? ฝ่าบาทกลับคืนสู่พระเจ้าแล้วงั้นหรือ? เตรียมรถม้าเดี๋ยวนี้!” เคานต์เฮนสันลุกพรวดขึ้นจากเตียงแล้วเดินออกไปทั้งชุดนอน คู่รักของเขารีบตามไปแล้วสวมเสื้อคลุมสีดำให้แล้วส่งไม้ค้ำให้เขา

เคานต์เฮนสันผู้ไร้ความสง่างามเดินกึ่งวิ่งไปยังรถม้าที่ประตูคฤหาสน์ จากนั้นตะโกนว่า “เร็ว! ไปพระราชวังเนคโซ!”

เมื่อไม่ได้เปิดใช้พลังสายเลือด เขาจึงวิ่งช้ากว่ารถม้าที่ลากด้วยม้าเกล็ดมังกร แต่ในอีกด้านหนึ่ง การนั่งรถม้าไปที่พระราชวัง จะแสดงว่าเขาตื่นตระหนก ดังนั้นเขาจึงทำความสะอาดเสื้อผ้าในรถม้าเพื่อให้เห็นว่าเขาสงบเพื่อสร้างความมั่นใจแก่พวกขุนนาง ทั้งที่เขาเองก็วิตกกังวล

เปรี้ยง ฟ้าแลบปลาบ เสียงฟ้าร้องลั่นกึกก้อง อันส่งผลต่อหัวใจของเคานต์เฮนสัน รถม้าแล่นไปอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่คนบังคับม้าจะทำได้ ทำให้โคลนกระเซ็นไปทั่ว

ล้อทั้งสี่หมุนอย่างรวดเร็วจนรถทั้งคันเกือบล้มตอนเลี้ยว

ผลก็คือหน้าต่างของรถเปิดออก ลมแรงพัดเข้ามา เม็ดฝนขนาดเท่าเมล็ดถั่วสาดเข้ารถ ค่ำคืนด้านนอกมืดมิดราวกับหมึกดำและดูเหมือนเต็มไปด้วยความน่ากลัวไม่สิ้นสุด

รถม้าหยุดอยู่นอกพระราชวังเนคโซ เคานต์เฮนสันฝ่าพายุรุดเข้าไปในพระราชวัง จากนั้น เขาเห็นดยุกเจมส์กับดยุกรัสเซลผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ประตูทางเข้า

“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าชายอยู่ที่ไหน?” เคานต์เอนสันหายใจแรง เขาอายุมากแล้ว

เจมส์ตอบด้วยเสียงแหบแห้ง ใบหน้าเศร้าหมอง “เจ้าชายกลับคืนสู่พระเจ้าเช่นกัน เพราะความเศร้าโศกเสียพระทัย”

“ฮะ?”

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

เสียงอุทานของเคานต์เฮนสันถูกกลบโดยสายฟ้าฟาดต่อเนื่อง เขายื่นนิ่งตากฝน ตรงหน้าเขาไม่มีอะไรนอกจากความเลือนรางและแสงแปลบปลาบเท่านั้น