DND.726 – มิติวิญญาณ
“มิติวิญญาณ!”
ซือหยูตะโกนเบาๆมีพลังดูดกลืนอันเข้มข้นปะทุออกมาจากเนตรสีเงินของเขา
ฟู่กุยที่กำลังจะผ่านผนึกใบไผ่ทองคำถูกดูดกลับมาราวกับใบไม้ร่วงที่ปลิวตามแรงลม
“อ๊าาา!นี่มันอะไรกัน?”
ฟู่กุยตกใจมากแม้ว่าวิญญาณของเขาจะแข็งแกร่ง เขาก็ถูกดูดเข้ามาอย่างรุนแรง ความเกลียดชังในดวงตาที่เคยมีผันแปรเป็นความตื่นตระหนก
“ข้าจะส่งเจ้าลงนรกไปซะ!”
ซือหยูตะโกนอย่างเย็นชาขณะที่เนตรสีเงินเปล่งแสงจ้ายิ่งกว่าเดิม
เสียงวายุดั่งลั่นไปทั่ววิญญาณของฟู่กุยมิอาจต้านทานได้และถูกดูดกลืนเข้าไป
“ซือหยู!อย่าได้ใจไปหน่อยเลย อย่างไรเจ้ากับทุกคนในเฉินหลงก็ต้องตายอยู่ดี! ไม่มีใครหนีพ้น!”
ก่อนที่จะถูกดูดฟู่กุยได้ตะโกนใส่ซือหยูอย่างโกรธแค้น
แต่ใบหน้าซือหยูมิได้เปลี่ยนแปลง
“เจ้าไม่ต้องห่วงแค่ตายไปก็พอแล้ว”
ฟึ่บ!
วิญญาณของฟู่กุยถูกดูดเข้าไปในมิติหนึ่งในวิญญาณของซือหยูมันว่างเปล่าไร้ขอบเขตและไม่มีใครอยู่เลย มันเงียบราวกับป่าช้า
“มิติที่สร้างจากวิญญาณของเขารึ?เป็นไปได้ยังไง? อสูรเนรมิตรยังทำไม่ได้เลย มันถูกสร้างด้วยกึ่งภูตินี่เรอะ!”
ฟู่กุยตัวแข็งทื่อ
เสียงแหบพร่าอันชั่วร้ายได้ดังขึ้นในโลกกันเงียบเชียบนี้
“หึหึหน้าใหม่รึ? เมื่อก่อนข้าก็พูดเหมือนเจ้า”
โลหิตหยดหนึ่งค่อยๆลอยมาหาเขาในความมืด
“นั่นใครน่ะ?”
ฟู่กุยขนลุกซู่พลังอันชั่วร้ายได้ทำให้เขากลัว
หยดโลหิตลอยนิ่งๆที่หน้าฟู่กุย
“ข้าก็ศิษย์พี่ของเจ้ากระมังอย่างไรเจ้ากับข้าก็ถูกจับมาอยู่ในมิติวิญญาณของเจ้าหนูนี่”
ฟู่กุยเบิกตากว้างเขามองหยดโลหิตและกลอกตาไปมา ผ่านไปนานกว่าสีหน้าของเขาจะกลับมาเยือกเย็นอีกครั้ง
เขาถาม
“ใต้เท้าท่านก็มีเรื่องบาดหมางกับไอ้เด็กนี่รึ?”
หยดโลหิตหัวเราะเบาๆ
“บาดหมางเรอะ?จะพูดแบบนั้นก็ได้ เพราะข้าเกือบจะได้ยึดร่างของไอ้เด็กนี่”
ฟู่กุยคลายใจขึ้นมาบ้าง
“ใต้เท้าถ้าท่านติดอยู่ที่นี่มานานและหนีไปไม่ได้ เหตุใดไม่ร่วมมือกับข้าหาทางออกด้วยกันเล่า?”
หยดโลหิตตอบเขาอย่างมีเลศนัย
“ทาวงออกรึ?ต่อให้เจ้าหาเจอแล้วจะยังไง? เจ้าคิดจะทำอะไรรึ?”
ความชิงชังฉาบแววตาฟู่กุย
“ข้าจะไปหาร่างใหม่และเริ่มบ่เมพาะอีกครั้งก่อนจะมาเผาไอ้เด็กนี่ให้เป็นจุณ!”
หยดโลหิตไม่ตอบอะไรและฟู่กุยก็คิดว่าหยดโลหิตนั้นเห็นด้วยกับเขาจึงพูดต่อ
“ถ้าท่านร่วมมือกับข้าหลังเสร็จเรื่องแล้วท่านจะได้ผลประโยชน์มากมายแน่ เพราะข้าเป็นหนึ่งในองครักษ์แสงกระจ่างของราชาเขตกลาง ข้ามีราชาเขตกลางหนุนหลังอยู่ ข้าหาร่างใหม่ให้ท่านได้ง่ายดายนัก มาร่วมมือกับข้าเถอะ”
หยดโลหิตดูลังเลแม้จะมีข้อเสนอเช่นนั้นฟู่กุยเริ่มคาดหวัง เพราะไม่ว่าหยดโลหิตนี้จะโหดเหี้ยมเพียงใด เขาก็น่าจะรู้ว่าควรร่วมมือกันเมื่อต้องกำจัดศัตรูคนเดียวกัน
แต่หยดโลหิตกับหัวเราะบอกได้เลยว่ามันปฏิเสธข้อเสนอของเขา
ฟู่กุยหน้าถอดสีเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากหยดโลหิต
“ท่านไม่อยากจะแก้แค้นรึ?ข้าไม่เชื่อว่าท่านไม่เสียใจที่ต้องติดอยู่ที่นี่ ข้าก็สัญญาแล้วว่าจะให้ร่างใหม่กับท่าน อย่างเจ้ามันก็ต้องมีพลังระดับภูติ เป็นไปได้ว่าข้าจะหาร่างจ้าวเทวะให้ได้ด้วยซ้ำ”
“หึหึเกลียดเด็กนี่รึ? อาจารย์ของเด็กนี่เป็นคนที่สุดยอด แม้ข้าอยากจะเกลียดเขา ข้าก็ต้องไตร่ตรองเสียก่อนว่าข้ากล้าพอจะเกลียดเขาหรือไม่…”
หยดโลหิตตอบ
“แล้วเจ้าก็ให้ร่างที่ข้าพอใจไม่ได้มีแค่อาจารย์ของเด็กนี่เท่านั้นที่จะช่วยข้าได้”
ฟู่กุยตกตะลึงและสงสัย…อาจารย์งั้นรึ?เด็กนี่มีอาจารย์ลึกลับอยู่ด้วยรึ?
ฟู่กุยได้แต่ทำใจเมื่อล้มเหลวในการต่อรองกับหยดโลหิต
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่พูดอะไรต่อแล้ว ข้าจะหาทางออกจากที่นี่เอง ถ้าท่านไม่ช่วยก็อย่ามาขวางข้าก็แล้วกัน ถ้าข้าเจอทางออกแล้ว ท่านจะออกไปด้วยก็ได้”
เมื่อได้ฟังแผนหยดโลหิตได้ระเบิดเสียงหัวเราะที่แปลกประหลาดและน่ากลัวออกมา
“หนีออกไปรึ?ข้าจะหนีออกไปทำไมกันเล่า? ข้ามีทั้งคนคอยปกป้องแล้วจะได้ร่างใหม่ในอนาคตอีก แถมยังมีเครื่องบำรุงวิญญาณมาหาข้าถึงที่ ข้าจะหนีไปทำไม?”
เครื่องบำรุงวิญญาณรึ?ฟู่กุยเริ่มรู้ตัวแล้ว…
หยดโลหิตนี้คิดว่าข้าเป็นแค่ยาชูกำลัง!
“ใต้เท้าจะพูดอะไร?คิดว่าจะข่มเหงข้าได้ง่ายขนาดนั้นเชียวรึ?”
ฟู่กุยใจดีสู้เสือแม้ในใจจะเต็มไปด้วยความกลัว
หยดโลหิตหัวเราะ
“ข้าจะพูดอะไรน่ะรึ?วิญญาณข้าเสียหายมาหนัก ตอนนี้ข้าต้องการฟื้นฟูมัน…และเจ้าก็มาถึงที่นี่พอดี ข้าคงจะยอมไม่ได้ถ้าไม่ได้กินเจ้า”
“ฝันไปเถอะ!”
ฟู่กุยตะโกนก่อนจะรีบบินหนีเพราะหยดโลหิตนี้ชั่วร้ายและแปลกประหลาดเกินไป เขาไม่กล้าจะสู้กับมัน!
หยดโลหิตหัวเราะและตะโกน
“อยู่นิ่งๆ!”
ฟู่กุยตกตะลึงเมื่อพบว่าตัวเองขยับไม่ได้!เขาขยับตัวไม่ได้แม้แต่น้อยเพราะคำพูดของหยดโลหิตครั้งเดียว ร่างวิญญาณของเขายังเริ่มแหลกสลายไปหลอมรวมกับหยดโลหิต
“อ๊ากก!อย่านะ…”
ฟู่กุยร้องด้วยความกลัวสุดขีดก่อนเสียงจะหายไปร่างวิญญาณของเขาแหลกสลายหายไปจากโลกตลอดกาล
“จ้าวเทวะขั้นต้น…ก็ถือว่าดีล่ะนะ…”
หยดโลหิตเริ่มเปล่งแสงขึ้นมาและได้พลังกลับมาบ้าง
“เจ้าเด็กนี่จะไปได้สักกี่น้ำกัน?จ้าวเทวะขั้นต้นคงจะเป็นขีดจำกัดแล้ว ถ้ามีคนที่แข็งแกร่งกว่ามาอีกคงตายแน่ ถ้าเขาตายก็เลิกพูดถึงเรื่องร่างที่ผู้เฒ่าสัญญากับข้าได้เลย ข้าจะติดอยู่ในนี้ไปตลอดกาล”
หยดโลหิตเป็นกังวลและตกอยู่ในห้วงความคิด
ที่โลกภายนอกคนในก้นบึ้งมังกรส่งเสียงดังลั่น พวกเขาคิดว่าซือหยูจะต้องจากไปในการต่อสู้นี้…และเขาต้องตายราวกับแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟเสียด้วย
ไม่มีใครสักคนที่คิดว่าซือหยูที่เพิ่งได้พลังกลับมาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!เขาสังหารเหล่าทวยเทพที่มาขวางทางเขาจนหมด!
แม้แต่จ้าวเทวะและหนึ่งในสิบองครักษ์แสงกระจ่างก็ตายด้วยน้ำมือของเขา!
ทุกคนรวมถึงผู้เฒ่าจิวตกตะลึงเขาพูดออกมา
“ซือหยูยังเป็นมนุษย์อยู่อีกรึ?”
เพราะกึ่งภูติที่ใช้เพียงสายตามองทุกสิ่งตรงหน้าและสังหารได้แม้กระทั่งจ้าวเทวะนั้นเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ!ถ้าเขาไม่เห็นกับตาก็คงต้องค้นหาความจริงในเรื่องนี้ไปอีกนาน!
อู๋หยางที่ยืนด้านหลังซือหยูมาที่นี่เพื่อที่จะเอาชีวิตซือหยูในทีแรกแต่ตอนนี้นางไม่กล้าแม้จะขยับตัวสักก้าวเพราะความกลัวถึงขีดสุด คนที่แข็งแกร่งอย่างฟู่กุยยังถูกเขาฆ่า นอกจากกายเนื้อจะหนีไม่รอด…วิญญาณของเขาก็ยังไม่รอดไปอีก
อู๋หยางมองซือหยูราวกับเทพปีศาจที่ไล่ล่าสังหารเหล่าจ้าวเทวะด้วยความคิดเดียวยากที่นางจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไปตลอดชีวิต
แต่อย่างไรก็ตามซือหยูไม่ได้ดีใจที่เขาฆ่าเหล่าจ้าวเทวะไปแม้แต่น้อย เขาแตะเส้นไหมเบาๆและสะบัดเลือดออกไป
“เซี่ยนเอ๋อ…”
เซี่ยนเอ๋อเป็นสิ่งเดียวที่ยังทำให้เขามีหัวใจเขาไม่ได้รู้สึกถึงชัยชนะเลยเมื่อไม่ได้เจอเซี่ยนเอ๋อหลังจากฆ่าฟู่กุย
เขาหลับตาช้าๆและมองทั้งโลกด้วยเนตรสวรรค์บนชั้นนภาทุกสิ่งบนโลกรู้สึกว่าถูกสวรรค์พิโรธมองผ่าน และไม่มีสิ่งใดตั้งแต่มดน้อยหรือภูติที่จะซ่อนตัวได้
เขาสัมผัสได้ว่านางมิได้อยู่ในท้องทะเลผืนนี้หรือว่าทวีปเหนือนางมิได้อยู่ทวีปกลาง ตะวันออก ตะวันตก และทางใต้ เซี่ยจิงหยูพาเซี่ยนเอ๋อไปในที่ที่เขามิอาจมองเห็นได้ ราวกับว่านางสองคนได้หายไปเฉยๆ
“เซี่ยจิงหยู!”
ซือหยูลืมตาและตะโกน
เสียงของเขามีพลังของวิชาคลื่นเสียงระดับตำนานและมันก็สั่นสะเทือนไปทั้งโลกทุกสิ่งในท้องสมุทรถึงชั้นฟ้าสัมผัสได้ถึงคลื่นเสียงนี้ แม้แต่คนในทวีปเหนือที่ห่างไกลก็ได้ยินเสียงตะโกนของเขา ทุกคนอึดอัดใจและตื่นตระหนก
พวกเขาสงสัยอย่างเดียวกัน…ว่าผู้ใดที่ตะโกนดังไปได้ทั้งโลกเช่นนี้?
ซือหยูมองไปยังส่วนลึกสุดของนภาในตอนนั้นเองได้มีความตื่นเต้นในดวงตาของเขา เขาพูดออกมา
“จงอยู่ที่นี่เจ้าจะตายถ้าหากขยับไปไหน”
ซือหยูไม่หันกลับไปมองอู๋หยางด้วยซ้ำเขาหายตัวไปเฉยๆ นอกจากนางจะไม่รู้สึกไม่พอใจกับคำขู่แล้วนางยังโล่งใจอีกด้วยที่ซือหยูสั่งนางเช่นนั้น
เพราะนั่นหมายความว่าซือหยูจะไม่เอาชีวิตนางด้วยพลังที่เขา เขาสามารถเอาชีวิตนางกลับไปได้ในพริบตาเดียว
อู๋หยางยืนสงบนิ่งไม่กล้าขัดในตอนนั้น ซือหยูได้ลงไปในส่วนลึกสุดของท้องทะเล เขาหยุดบินบนน่านฟ้าของเกาะเฉินยี่พอดิบพอดี หากจะกล่าวลงลึกไปอีกก็คงบอกได้ว่าเขาอยู่ในตำแหน่งที่เริ่มการผจญภัยพอดิบพอดี มันยังเป็นสถานที่ที่เขาได้รู้จักกับเซี่ยจิงหยูและฉินเซี่ยนเอ๋อ
ซือหยูสายตาเยือกเย็นเมื่อตามรอยพลังที่เขาพบเขาตามมันอย่างรวดเร็วและร่อนลงพื้น เขาตกตะลึงอย่างมากที่พบว่าพลังนี้มาจากสวนในตำหนักดยุคเซี่ยนหยู
ตำหนักนี้มีสวนที่เต็มไปด้วยต้นท้อยามใบไม้ร่วงโรย เหล่าแมกไม้ได้เหี่ยวเฉา และบุพผาขาวกระจ่างได้บานสะพรั่งออกมา มันเป็นภาพอันน่าจดจำ แต่บุพผาที่งดงามที่สุดหาใช่บุพผาในสวนแห่งนี้ แต่เป็นสตรีที่อยู่ภายใน
นางดูราวกับนางไม้ที่งดงามเกินมนุษย์แผ่นหลังของนางดูคุ้นเคย สถานที่แห่งนี้ช่างคุ้นตาต่อเขา แต่ผู้คนได้เปลี่ยนไปแล้ว
“เจ้ามาแล้วสินะ”
นางที่หันกลับมามองได้เผยใบหน้าอันสุขุมที่งดงามเหนือสิ่งอื่นใด
นางยกชายผ้าขึ้นและนั่งอย่างสง่างามก่อนจะเริ่มจิบสุราเหล่าอาหารถัดจากแก้วสุรานั้นมีควันลอยอ่อนๆราวกับเพิ่งปรุงเสร็จ
นางมีฎีกาสวรรค์ที่รู้ถึงวิถีของสิ่งต่างๆนางรู้ว่าซือหยูจะมาที่นี่ในเวลานี้ นางยังรู้อีกว่าชะตาของฟู่กุยและสามจ้าวเทวะที่ถูกเรียกมานั้นเป็นอย่างไร
ความอบอุ่นแล่นผ่านดวงตาซือหยูเพียงครั้งเดียวก่อนจะแทนที่ด้วยความเยือกเย็น
“สิ่งต่างๆยังคงไว้เช่นเดิมแต่ผู้คนช่างเปลี่ยนไปง่ายดายนัก”
เซี่ยจิงหยูยิ้มอย่างน่ามองนางดูงดงามเมื่อตะวันฉายแสง เมฆาสะท้อนแสงสีแดงอยู่ปลายนภา
“ถูกแล้วสิ่งของล้วนคงเดิมแต่ผู้คนแปรเปลี่ยน ทั้งเจ้าและข้าล้วนมิอาจกลับไปยังอดีต”
เซี่ยจิงหยูยิ้มอย่างอบอุ่นมันเป็นรอยยิ้มโดดเดี่ยวอย่างอธิบายไม่ได้
ซือหยูไม่ตอบเขาเดินมาข้างหน้าและมองนางอย่างไม่แยแสราวกับคนแปลกหน้า
“เอาเซี่ยนเอ๋อคืนมา”
“หึหึ…”
เซี่ยจิงหยูหัวเราะและยกแก้วขึ้นดื่มอย่างเหนื่อยหน่าย
แก้มขาวหิมะแดงระเรื่อขึ้นมา
“เจ้าทำร้ายข้าไม่ได้หรอก!นั่นก็เพราะว่าเจ้ารู้สึกผิดและเวทนาข้า”
ซือหยูยืนหน้าแผ่นศิลาและตอบอย่างใจเย็น
“ไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไรก็ไม่มีสิ่งใดถูกต้องทั้งนั้น”
เซี่ยจิงหยูชายตามองซือหยูและยิ้มเยาะ
“แล้วความจริงคือสิ่งใดเล่า?”
“เพราะข้ายังรักเจ้า”
ซือหยูตอบเบาๆด้วยแววตาสงบนิ่งราวกับวารี