Chapter 81 ทำไมถึงมีความแตกต่างกันมากระหว่างผู้คน

ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything

เฉินเฉินกลับไปยังห้องพักและเริ่มฝึกตนต่อ เขารู้สึกเบื่อหน่ายโดยไม่มีเจ้าอสูรน้อยอยู่ข้างกายแบบนี้

 

ในเวลาเดียวกัน จางจีมองออกไปยังวิวด้านนอกห้อง เขาถอนหายใจออกอยู่ระรัว

 

สำหรับผู้อาวุโสจ้าวที่อยู่ในระดับแก่นทองคำแล้ว เขาก็ยังคงนั่งอยู่เฉยและเริ่มบ่มเพาะลมปราณบนเรือบินต่อ

 

เวลาไหลผ่านเหมือนดั่งสายน้ำ

 

สองวันต่อมา ความเร็วของเรือยักษ์ค่อยๆจะช้าลง

 

เมื่อมองผ่านหน้าต่างออกไป พวกเขาก็เห็นเมืองใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป

 

ขนาดของเมืองนี้ไม่ได้น้อยไปกว่าภูเขาเทียนหยุนเลยสักนิดและกำแพงของมันก็สูงกว่าร้อยเมตร ความแน่นหนาของพลังปราณด้านในนั้นยังยอดเยี่ยมยิ่งกว่าภูเขาเทียนหยุนเสียอีก

 

ภายในเมืองยักษ์ มันเต็มไปด้วยร้านค้ามากมายทุกประเภท ซึ่งมันต่างเต็มไปด้วยผู้คน ซึ่งส่วนใหญ่ต่างเป็นเหล่าผู้ฝึกตนกันทั้งนั้น

 

‘มันใหญ่กว่าเมืองจี่โจวกว่าสิบเท่าอีก!’ เฉินเฉินประหลาดใจ เมื่อเขาก้มมองเมืองใหญ่ที่อยู่ด้านล่างของเขา เมืองหยานของรัฐจินนั้นเป็นที่กล่าวกันว่ามีประชากรเกือบสิบล้านคน

 

มันไม่ได้มีตึกมากมายเท่าไหร่ที่มีหลายชั้น แต่กับความจริงที่มันมีจำนวนมากขนาดนี้มันแสดงให้เห็นถึงว่าขนาดเมืองนั้นใหญ่มากเพียงใด

 

“เหล่าผู้สืบทอด พวกเราได้มาถึงเมืองหยานแล้ว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวงพวกเรา”

 

เสียงของผู้อาวุโสฮานของสำนักอู๋ซิ่นดังเข้ามาในหูเขา ก่อนที่เรือยักษ์จะล่อนลงอย่างเชื่องช้า มันหยุดลงอยู่ที่ลานจอดใกล้กับกำแพงเมือง

 

ในเวลาเดียวกัน มันก็มีฝูงชนที่อยู่ด้านหลังกำแพงเมืองกว่าหนึ่งหมื่นคน!

 

“พี่ใหญ่….ทำไมมันถึงมีคนมากขนาดนี้กัน? พวกเขามาทำอะไรกันเนี่ย?”

 

จางจีอดที่จะตัวสั่นสะท้านไม่ได้ เขาเกิดมาในมณฑลเล็กๆและไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน

 

แม้แต่ซุนเทียนกังก็สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เมื่อเขาถูกคนนับหมื่นคนดูมาพร้อมกันเป็นเวลาเดียวมันก็สร้างแรงกดดันที่มากเกินกว่าที่ใครก็ตามจะเข้าใจได้ ถ้าพวกเขาไม่มีประสบการณ์มาก่อน

 

“ข้าไม่รู้ บางทีพวกคนที่อยู่ที่นี่คงเห็นว่าพวกเราเป็นพวกที่เก่งกาจ พวกเขาคงหวังจะได้รับความรู้ไปบ้างจากพวกเรานะหน่ะ” เฉินเฉินพูดออกมา เขาคิดหาเหตุผลอื่นออกมาไม่ได้เลย

 

ในเวลาเดียวกัน ลูกศิษย์ทั้งสองของสำนักพยัคฆ์ขาวต่างตัวสั่นตอนเดิน ไม่เหมือนกับเย่หวู่เชิงที่ยังคงเดินอย่างสงบนิ่ง ซึ่งเขาสวมชุดเกราะเต็มตัวอยู่ มันเหมือนกับความวุ่นวายด้านนอกไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรกับเขาเลยสักนิด

 

ยังไงก็ตาม ก่อนที่เขาจะเดินออกไปได้สองก้าว เสียงตะโกนก็ดังออกมาจากภายในฝูงชน “ผู้สืบทอดเย่! พวกเราขอมอบหินวิญญาณให้กับท่าน 1,000 ก้อนแลกกับท่านต้องมาพักที่โรงเตี๊ยมชะตาเซียน!”

 

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ จางจีลูบหูตัวเอง เขาคิดว่าเขาได้ยินผิด

 

ไม่เพียงแค่พวกเขาไม่ต้องจ่ายหินวิญญาณเพื่อนอนพักในโรงเตี๊ยม พวกเขายังได้รับหินวิญญาณแทนเนี่ยนะ?

 

‘ทุกอย่างในเมืองหลวงมันเป็นการกุศลหรือยังไงกันเนี่ย?’ เขาสงสัย

 

แต่ก่อนที่เขาจะทำความเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เสียงแหลมสูงของผู้หญิงก็ดังขึ้นจากฝูงชน “ผู้สืบทอดเย่คะ ข้าขอมอบหินวิญญาณ 1,500 ก้อนกับท่านเพื่อพักอาศัยอยู่ในบ้านพักแดงเมามายค่ะและข้าจะมอบสาวสองคนให้กับท่านด้วย!”

 

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ แม้แต่เย่หวู่เชิงที่หล่อเหลาก็ดูหน้าแดงขึ้น

 

ด้านบนเรือยักษ์ เฉินเฉินหน้าเขียวด้วยความอิจฉากับภาพที่เกิดขึ้น

 

พ่อค้าเหล่านี้ต่างกำลังหานายแบบโฆษณาอยู่

 

ไม่ต้องพูดถึงจำนวนคนที่จะมาอาศัยอยู่เลย เมื่อพาผู้สืบทอดมาอยู่ในร้านของพวกเขา แม้ว่าเหล่าผู้สืบทอดจะจากไปแล้วก็ตาม พวกเขาก็จะยังใช้สิ่งนี้เป็นตัวโฆษณาในอนาคตต่อได้

 

ผู้คนจะคิดกันว่าสภาพแวดล้อมแบบนี้มันยอดเยี่ยมมาก แม้แต่เหล่าผู้สืบทอดชื่อดังยังเลือกที่จะพักที่นี่เลย!

 

“ข้าละสงสัยเสียจริงว่าผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนของข้ามันจะมากมายเพียงใด…” เฉินเฉินพึมพำ เขาเต็มไปด้วยความคาดหวังและกังวล

 

ไม่กี่ชั่วครู่ต่อมา เย่หวู่เชิงก็ถูกพาไปโดยใครบางคนจากร้านอาหารชื่อดัง

 

ยังไงก็ตาม ไม่มีใครรู้เลยว่ามันจะมีเงื่อนไขอะไรเพิ่มเติมหลังจากนั้น

 

เมื่อเย่หวู่เชิงจากไป เหล่าพ่อค้าต่างหันเหความสนใจมายังเหล่าผู้สืบทอดคนอื่น

 

ยังไงก็ตาม เมื่อเทียบกับเย่หวู่เชิงแล้ว ผู้สืบทอดคนอื่นต่างได้รับการเสนอราคาที่ต่ำกว่า ซึ่งคนที่ได้มากที่สุดก็มีเพียงแค่ หินวิญญาณ 500 ก้อนเท่านั้น

 

ผู้สืบทอดเหล่านี้ต่างรู้ตัวกันดีเช่นกัน ทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองหลวงต่างสิ้นเปลืองหินวิญญาณกันทั้งนั้นและพวกเขาก็ยังคงได้รับหินวิญญาณเป็นรางวัล ไม่จำเป็นต้องจ่ายอะไรสักอย่างด้วยซ้ำ พวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าต้องเปรียบเทียบตัวเองกับเย่หวู่เชิงเลยสักนิด

 

ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงถูกพาขึ้นไปบนรถม้าเลิศหรูไปกันทั้งนั้น

 

โยวหลานซินที่เดินเป็นคนต่อไปก็ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย

 

“โยวหลานซิน ผู้สืบทอดของสำนักโยวฉุย เธอนั้นทั้งงดงามและชาญฉลาด ชื่อของเธอก็แสดงให้เห็นถึงมึนแล้วด้วยซ้ำ! เธอเป็นสาวงามชาญฉลาดชื่อดังในรัฐจิน!”

 

“เธองดงามมากเลย!”

 

เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของโยวหลานซิน เฉินเฉินอดที่จะบ่นเธอในใจไม่ได้ ‘เจ้าผู้หญิงคนนี้ดูใจเย็นและงดงามมากก็จริง แต่ในหัวเธอคิดแต่เรื่องจะได้หินวิญญาณเท่านั้นแหละ!’

 

‘ไม่อย่างงั้นแล้วทำไมเธอถึงเดินเชื่องช้าแบบนั้นกัน? ไม่ใช่ว่าเธอกำลังรอให้คนอื่นยื่นข้อเสนอให้เธออยู่หรือยังไง?!’

 

‘การเดินแบบนางงามแบบนั้นมันจำเป็นด้วยหรือ?’

 

‘หึ! ข้าไม่สนหรอก!’

 

เฉินเฉินรู้สึกแย่ เนื่องจากว่าราคาที่โรงเตี๊ยมและร้านอาหารเสนอให้เธอมันสูงระดับเดียวกันกับที่เย่หวู่เชิงได้รับ

 

เขาทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากผู้หญิงเป็นที่น่าดึงดูดกว่าผู้ชาย ท่ามกลางผู้สืบทอดทั้งสามสิบหกสำนักแล้ว มีเพียงผู้หญิงเจ็ดคนเท่านั้นและแต่ละคนนั้นต่างงดงามกันทั้งนั้น

 

แม้ว่าพวกเธอจะไม่ได้เก่งกาจอะไร สถานะและเพศของเธอก็ทำให้เธอก้าวข้ามเหล่าผู้สืบทอดคนอื่นอยู่แล้ว

 

ยังไงก็ตาม เหล่าตัวแทนจากโรงโสเภณีไม่กล้าที่จะส่งเสียงอะไรออกมาเลยสักนิด พวกเขาต่างหวาดกลัวที่จะถูกสังหารทิ้งตรงนี้

 

“พี่ใหญ่ ไปกันเถอะ” จางจีพูดอย่างแหยๆ

 

ไม่ว่าเขาจะทื่อด้านมากเพียงใด เขาก็เข้าใจดีกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น นอกจากนี้แล้วเขายังรู้ว่าเฉินเฉินนั้นเป็นคนภาคภูมิใจตัวเองมากเพียงใด…ถ้าเขา…

 

หลังจากคิดถึงเรื่องนี้แล้ว เขาไม่กล้าที่จะคิดต่อ

 

“ไป!”

 

เฉินเฉินลงมาจากเรือบินด้วยใบหน้าที่จริงจัง

 

เขาอดจะเชื่อตัวเองไม่ได้ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนชื่อดัง หน้าตาของเขาก็ยังหล่อเหลาอยู่ดี! ด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเขาจะได้หินวิญญาณก้าวข้ามเย่หวู่เชิงไปงั้นเหรอ?

 

“เขาคือใครกัน?”

 

“ข้าไม่รู้!”

 

“เขาดูเหมือนเป็นผู้สืบทอดของสำนักอะไรสักสำนักนะ แต่ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขามาก่อนเลยละ?”

 

“เขามีผลงานอะไรบ้างไหม?”

 

“ไม่นะ เขาน่าจะเป็นผู้สืบทอดชั่วคราวเท่านั้นแหละ”

 

 

เมื่อได้ยินเสียงกระซิบออกมาจากฝูงชน ใบหน้าของเฉินเฉินเต็มไปด้วยความฉุนเฉียว

 

‘ข้าช้ากว่าคนอื่นแค่ไม่กี่ปีเท่านั้นแหละ ข้าดีกว่าเจ้าพวกก่อนหน้านี้อีก’

 

“พี่ใหญ่! อีกไม่กี่วันพี่ก็จะก้าวข้ามเข้าสู่ขั้นแก่นทองคำแล้ว ท่านต้องหาที่พักสักที่นะครับ!”

 

จางจีตะโกนสุดเสียง เสียงของเขากลบความดังจากฝูงชนทันที

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว เฉินเฉินเกือบจะน้ำตาไหลออกมาเลย

 

‘ในที่สุดจางจีก็ฉลาดกับเขาขึ้นบ้างแล้ว ถึงแม้ว่าคำพูขดองเขาจะหยาบกร้าน เขาก็เป็นคนที่ตัดสินได้ดีเยี่ยม’

 

“อะแฮ่ม มันไม่ควรที่จะเลื่อนไปสู่ขั้นแก่นทองคำในเมืองนี้หรอก ภัยพิบัติแห่งสวรรค์มันทรงพลังมากเกินไป ข้าเกรงว่ามันจะสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ในเมืองเนี่ยสิ” เฉินเฉินตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

 

กลุ่มคนด้านล่างของเขาต่างมองหน้ากันเอง หลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้

 

“เลื่อนสู่ขั้นแก่นทองคำ? ผู้สืบทอดที่ไม่เป็นที่รู้จักที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมันแข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้เลยเหรอ?”

 

“ไม่ใช่หมายความว่าเขาเทียบเคียงได้กับเย่หวู่เชิงงั้นเหรอ? ข้าควรมอบให้เขาสักพันก้อนดีไหม?”

 

“ข้าว่ามันเป็นเรื่องโกหก ดูคนที่พูดสิ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความแดงฉาน ข้าบอกได้เลยว่าเขากำลังโกหกอยู่”

 

“มันดูเป็นเช่นนั้นเลย!”

 

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว จางจียิ่งกังวลมากขึ้น เหงื่อไหลบนใบหน้าของเขา

 

เหล่าพ่อค้ายิ่งดูถูกพวกเขามากยิ่งไปกว่าเดิม เมื่อเฉินเฉินกำลังจะเดินไปสุดถนน มันไม่มีโรงเตี๊ยมหรือร้านอาหารสักแห่งยินยอมที่จะเชิญชวนเฉินเฉินและคนอื่นเข้าไปสักแห่ง

 

ซุนเทียนกังและผู้อาวุโสจ้าวต่างอับอายอย่างมาก ใครจะไปคิดกันว่าผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนจะถูกปฏิบัติแบบนี้กัน?

 

คนอื่นต่างพักกันอย่างฟรีๆและได้รับหินวิญญาณ หรือพวกเขาจะต้องจ่ายหินวิญญาณกันเนี่ย?

 

เมื่อพวกเขากำลังรู้สึกสมเพศกับตัวเอง เสียงที่ดูเบาบางและกังวลก็ดังขึ้นมาจากฝูงชน “ผู้สืบทอดค่ะ! ท่านต้องการมาพักที่พักหยี่หลานไหมคะ? พวกเราจะจ่ายให้ท่าน 200…ไม่สิ! 300หินวิญญาณเลยค่ะ!”

 

ทันทีที่เธอพูดเสร็จ ผู้คนที่อยู่รอบเธอกลับพยายามเปลี่ยนความคิด

 

“จิ่วเหนียง ผู้สืบทอดคนนี้ไม่ได้ดังมากเท่าไหร่ ผู้คนในเมืองหลวงไม่ได้รู้จักกับเขาสักเท่าไหร่ การมอบให้กับเขา 300 หินวิญญาณจะทำให้เจ้าไม่ได้รับชื่อเสียงอะไร ในความเป็นจริงแล้วมันจะทำให้เจ้าขาดทุนเสียต่างหาก!”

 

“ใช่แล้ว จิ่วเหนียง! มันไม่ได้เป็นเรื่องง่ายเลยสำหรับแม่เจ้าที่จะทำให้หอโสเภณีอยู่มาได้ถึงเพียงนี้และเธอพึ่งจะมอบมันมาให้กับเจ้า เจ้าไม่สามารถทำแบบนี้ได้ ข้าแนะนำว่าเจ้าควรรอเรือบินลำต่อไป เรือบินพึ่งจะมาถึงสองลำเท่านั้นเอง”

 

 

เมื่อได้ยินเสียงจากรอบตัวเธอ ผู้หญิงที่ชื่อจิ่วเหนียงหน้าแดงเล็กน้อย เธอพูดออกมาเสียงเบาๆ “ด้วย 300 หินวิญญาณเช่นนี้แล้ว ข้าไม่สามารถเชิญผู้สืบทอดท่านอื่นมาได้…. นอกจากนี้แล้ว แม้ว่าเขาจะยังไม่มีชื่อเสียงในตอนนี้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีชื่อเสียงในอนาคต ท่านนักบุญคนนี้ดูสงบนิ่งมาก…”

 

“ฮ่า!”

 

ก่อนที่เธอจะพูดจบ เสียงดูถูกก็ดังขึ้นจากรอบข้างเธอ

 

“เธอยังเด็กเกินไปสินะ”

 

“ข้าบอกได้เลยว่าเหล่าผู้สืบพวกนี้มันก็เป็นแค่พวกตัวแทนชั่วคราวเท่านั้นแหละ เขาอาจจะถูกริบตำแหน่งในระยะเวลาอันสั้นเลยด้วยซ้ำ…”

 

เพียงแค่คนเหล่านี้กำลังพ่นคำดูถูกออกมามากมายแบบนี้ คลื่นจิตวิญญาณก็ถาโถมเข้าใส่พวกเขา จนทำให้ฝูงชนกระเด็นถอยกลับไปหลายเมตร

 

ทันทีหลังจากนั้นเสียงที่เต็มไปด้วยความเคืองโกรธก็ดังขึ้นจากระยะไกล “คุณหญิง เพราะสิ่งที่เจ้าพูด ข้าเลือกที่จะพักอยู่ในที่พักของเจ้าละ!”