องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 569 ใครไว้หน้าเจ้า
มีคนรู้เรื่องที่ฉีเฟยอวิ๋นกลับเมืองหลวงไม่มาก หนานกงเย่เองก็พยายามปิดข่าวให้ได้มากที่สุด เขามีความคิดของเขาเองเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นฉีเฟยอวิ๋นเดินตามหนานกงเย่เข้าประชุมขุนนางและเห็นจวินโม่ซ่างในการเข้าประชุมขุนนาง
จวินโม่ซ่างก็ตกใจเช่นเดียวกัน เห็นฉีเฟยอวิ๋นแล้วก็เกือบจะย่างก้าวเข้าไปแต่โชคดีที่ถังหลงหยุดรั้งเอาไว้ ถังหลงเหยียบเสื้อคลุมใต้ขาของจวินโม่ซ่างทีหนึ่งเขาถึงได้นิ่งไว้ไม่ไปหาฉีเฟยอวิ๋น
เบื้องบนราชสำนักฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่ถวายบังคมองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ หลังจากลุกขึ้นแล้วองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงถามถึงกิจวัตรสองสามประโยคจากนั้นมองไปยังจวินโม่ซ่าง
“การหายตัวไปของพระชายาเย่ในครานี้มีข่าวลือว่าองค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวเป็นผู้กระทำ แต่สืบพบแล้วว่าพระชายาเย่หลงทางไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เรื่องการหายตัวไปของพระชายาเย่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทแห่งอู๋โยว” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตรัสอย่างเฉยเมยจากนั้นจวินโม่ซ่างเดินออกไปในทันที
“มิได้ เมืองต้าเหลียงคิดมากไปแล้ว แม้ว่าพระชายาเย่จะถูกลักพาตัวและเข้าใจโม่ซ่านผิด โม่ซ่างเองก็มิได้ถือสา พอดิบพอดีกับเวลาที่โม่ซ่างมาถึงเมืองต้าเหลียงนั้นพระชายาเย่ก็เกิดเรื่องขึ้นเรื่องนี้จึงน่าสงสัยจริงๆ
แต่ในเมื่อตอนนี้พระชายาเย่ไม่เป็นไรแล้วก็เป็นเรื่องน่ายินดีใหญ่หลวงและก็ได้คืนความบริสุทธิ์ให้กับโม่ซ่าด้วยเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”
จวินโม่ซ่างกล่าวเช่นนี้องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ทรงพยักพระพักตร์แล้วทรงตรัสอย่างเฉยเมยว่า: “องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวกล่าวได้ถูกต้อง”
เหล่าขุนนางต่างมองหน้ากันและคาดเดาพระทัยของจักรพรรดิ
สันนิษฐานว่าเรื่องแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีนั้นแน่นอนแล้ว!
เสนาบดีเฉินขมวดคิ้ว แม้ว่าตอนนี้บุตรสาวจะมีหน่อเนื้อเชื้อไขของจักรพรรดิและยังรักษาตำแหน่งฮองเฮาเอาไว้ได้ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท
แต่กล่าวโดยแท้จริงแล้วเรื่องที่ฝ่าบาทเข้าออกตำหนักหรงเต๋อบ่อยครั้งนั้นกลับไม่มีผู้ใดรู้
แม้ว่าเรื่องของต้ากั๋วจิ้วจะส่งผลไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่ได้สั่นคลอนตำแหน่งของต้ากั๋วจิ้วในราชสำนัก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงว่าตำแหน่งของหรงเต๋อเฟยในพระทัยของฝ่าบาท
เสนาบดีเฉินกำลังจะสิ้นชีวิต เขาหวังว่าบุตรสาวของเขาจะคลอดบุตรชาย ฝ่าบาทเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนก็จะแต่งตั้งให้เป็นมกุฎราชกุมาร
เช่นนั้นแล้วเขาก็ยังพอมีหวังจะเเก่งแย่งอยู่บ้าง หากว่าเป็นบุตรสาวเขาก็จะยอมตายใจ
แต่ด้วยจุดยืนเช่นนี้ในตอนนี้เขาก็ไม่สามารถดื้อรั้นหัวชนฝาได้และยิ่งไม่สามารถคาดเดาพระทัยของจักรพรรดิได้!
เสนาบดีเฉินก้มศีรษะและประสานมือไว้ด้วยกัน
เหล่าลูกศิษย์ทั้งหลายของเสนาบดีเฉินต่างมองดูเสนาบดีเฉิน เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดและผู้คนอื่นๆก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้นไปด้วย
ผู้คนบางส่วนมองราชครูจวิน ราชครูจวินหลับตาลงราวกับว่าเขากำลังพิจารณาสิ่งใดอยู่
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงกังวลยิ่งนักจนไม่ได้ทรงตรัสสิ่งใดทั้งสิ้นในเวลานี้
“เจ้าแห่งเมืองต้าเหลียง กระหม่อมเมืองอู๋โยวมาเพื่อการอภิเษกเชื่อมสัมพันธไมตรี ไม่ทราบว่าจักรพรรดิทรงคิดเอาไว้เรียบร้อยหรือยังพะย่ะค่ะ?” ถังหลงผลักจวินโม่ซ่างและจวินโม่ซ่างก็ไม่สามารถไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ได้
เดิมทีจวินโม่ซ่างตั้งใจว่าเขาแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีช้าสักหน่อยก็ดี ไม่เช่นนั้นหากเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีคุยกันเรียบร้อยแล้วก็จะถึงเวลาที่เขาจะต้องจากไปแล้ว
สำเร็จหรือไม่ก็เป็นเวลาที่ทั้งสองทัพเผชิญหน้ากันทั้งสิ้น
แต่ถังหลงมีปัญหามากมายและจวินโม่ซ่างไม่กล่าวก็ไม่ได้
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เหลือบมองผู้คนเบื้องล่าง เป็นใบ้กันหมดหรือ?
อ้ายชิงทั้งหลายเห็นว่าเช่นไร?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ได้โบยอ๋องเย่และอ๋องตวนแล้วและวันนี้อ๋องตวนก็ไม่ได้เข้าประชุมขุนนาง พระองค์ทรงคิดว่าไม่มีขุนนางผู้ใดกล้าทำสร้างวุ่นวายในเวลานี้
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองราชครูจวิน ราชครูจวินยกเปลือกตาขึ้นแล้วหนานกงเย่ก็กล่าวว่า: “กระหม่อมมีฎีกาพะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เลิกพระขนงขึ้น แววพระเนตรปรากฏถึงความไม่พอพระทัยและไม่พึงพอใจเต็มพระทัย แต่ว่าต่อหน้าทูตที่มาจากภายนอกองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ทรงตรัสสิ่งใดมากไม่ได้จึงทำได้เพียงเห็นด้วย: “กล่าวมา”
“กระหม่อมคิดว่าเนื่องจากเมืองอู๋โยวต้องการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับเมืองต้าเหลียง รวมความสามัคคีเป็นเวลาร้อยปีเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับทั้งสองแคว้น
แต่เมืองต้าเหลียงเรามีธรรมเนียมในการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีเสมอมา หากว่าเป็นการอภิเษกเชื่อมสัมพันธไมตรีจะถูกคัดเลือกเข้ามาเป็นราชบุตรเขยของเมืองต้าเหลียงเราทั้งสิ้น เช่นนี้เมืองต้าเหลียงเราถึงจะอภิเษกเชื่อมสัมพันธไมตรีได้!
องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวได้ทรงเคยเข้าพระทัยในเรื่องนี้หรือไม่? ”
หนานกงเย่กล่าวพร้อมมองไปยังจวินโม่ซ่าง จวินโม่ซ่างนิ่งเงียบเป็นเวลานาน เหตุใดเขาถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน?
จวินโม่ซ่างวิตกแล้วช้าไปชั่วขณะหนึ่งจากนั้นถังหลงก็กล่าวโดยตรงว่า: “แต่ว่าทั้งสองแคว้นอภิเษกเชื่อมสัมพันธไมตรีก็ย่อมไม่สามารถเห็นพ้องแค่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ขอทรงให้เจ้าแคว้นประจักษ์แจ้งด้วย ”
จวินโม่ซ่านถึงตอบสนองขึันมาได้และเหลือบมอง ถังหลงที่อยู่ข้างๆแล้วกล่าวว่า: “ถูกต้อง ขอจักรพรรดิทรงโปรดประจักษ์แจ้งด้วยพะย่ะค่ะ”
“องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยว……เป็นธรรมเนียมของเมืองต้าเหลียงเราจะเปลี่ยนแปลงตามอำเภอใจได้เช่นไร ยิ่งไปกว่านั้นเมืองอู๋โยวเคยส่งเครื่องบรรณาการให้เมืองต้าเหลียงเรา การเข้าร่วมราชวงศ์ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ สตรีของเมืองต้าเหลียงเรามีความสามารถเพรียบพร้อมและฉลาดงดงามเป็นตัวอย่างของอิสตรีทั้งหลาย
ในเมื่อเมืองอู๋โยวต้องการอภิเษกเชื่อมความสัมพันธไมตรีก็ต้องเข้าใจซะก่อน หรือว่าเมืองอู๋โยวอภิเษกเชื่อมสัมพันธไมตรีไม่ใช่จุดประสงค์ที่แท้จริงของคณะทูตที่มาเมืองต้าเหลียงเราในครั้งนี้? ”
หนานกงเย่ไม่รอให้องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตรัสสิ่งใดก็เริ่มกล่าวคำพูดบีบคั้น
เดิมทีจวินโม่ซ่างก็เป็นผู้ที่มีคารมคมคายแต่เมื่อถูกหนานกงเย่กล่าววาทศิลป์ก็ไม่สามารถกล่าวออกมาได้อยู่บ้างทำให้โมโหจนดวงตาเย็นยะเยือกไปสักเล็กน้อย จากนั้นเบือนหน้าหนีแล้วกล่าวว่า: “การแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ที่อ๋องเย่กล่าวมานั้นว่าเมืองอู๋โยวถวายเครื่องราชบรรณาการนั้นจริง แต่ก็เพื่อเป็นการขอบคุณที่เมืองต้าเหลียงคืนเมืองถาถ่านให้เมืองอู๋โยว ไม่ใช่ว่าเมืองอู๋โยวเป็นเมืองใต้อำนาจของเมืองต้าเหลียง
ทั้งสองแคว้นแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกัน เมืองอู๋โยวไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองต้าเหลียงเลยสักนิดแล้วจะตอบกลับมาเช่นนี้ด้วยเหตุใด
ยิ่งไปกว่านั้นเมืองต้าเหลียงพวกท่านไม่ใช่แคว้นหงส์ซึ่งมีสตรีเป็นผู้กุมอำนาจและต้องการให้บุรุษเมืองอู๋โยวเราเข้าร่วมราชวงศ์พวกท่าน ขอถามหน่อยว่าในภายภาคหน้าเมืองอู๋โยวเราจะมีหน้าอยู่ในแคว้นทั้งสี่ทิศได้เช่นไร? ”
จวินโม่ซ่างเหลือบมองหนานกงเย่: “หากว่าอ๋องเย่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีในครั้งนี้ก็บอกตามตรงก็พอ จะทำให้ยุ่งยากลำบากเช่นนี้ทำไมซึ่งเป็นการดูถูกให้คนนั้นต่ำต้อย!”
ถังหลงสงบลงไปบ้าง องค์รัชทายาททรงตรัสเช่นนี้เขาก็วางใจ
หนานกงเย่เลิกคิ้ว: “กล่าวเช่นนี้องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวจะต้องอภิเษกเชื่อมสัมพันธไมตรีให้จงได้และจำต้องแต่งงานเอาสตรีเมืองต้าเหลียงเราไปให้ได้?”
“แน่นอน!”
“เช่นนั้นขอถามว่าผู้ที่ต้องการแต่งสตรีเมืองต้าเหลียงเราไปใช่องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวหรือไม่?”
“……”
จวินโม่ซ่างแววตาหมองลงเล็กน้อย: “ไม่ใช่อยู่แล้ว”
“เช่นนั้นเป็นผู้ใด?”
“พี่ชายคนโตขององค์รัชทายาทแห่งอู๋โยวจวินโม่หลิง!” จวินโม่ซ่างกล่าวตามตรง
หนานกงเย่เหลือบมองเบื้องบนในราชสำนัก ใบหน้าอันหล่อเหลาเริ่มเปลี่ยนสีหน้า
ท้ายที่สุดหนานกงเย่ก็มองไปยังองค์จักรพรรดิอวี้ตี้: “ฝ่าบาททรงเห็นว่าเช่นไรพะย่ะค่ะ?”
“ข้าเคยได้ยินชื่อจวินโม่หลิง เขาเป็นชินอ๋องของเมืองอู๋โยวของท่าน ว่ากันว่าเขามีภรรยาแล้วและในตอนนี้เขาก็ได้รับการสถาปนาแล้ว”
“เป็นเช่นนั้น พี่ชายของกระหม่อมปีนี้อายุสามสิบหกปี และในเวลานี้เขามีภรรยาเอกผู้หนึ่งและอนุอีกสามคน”
พระพักตร์ขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงเปลี่ยนไปกะทันหันพร้อมพระเนตรอันเย็นชา: “องค์รัชทายาทแห่งอู๋โยว เช่นนั้นผู้ที่พี่ชายคนโตของเจ้าจะแต่งงานด้วยคือองค์หญิงของราชวงศ์หรือว่าจวิ้นจู่?”
“ก็ต้ององค์หญิงอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นหรือ?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เหลือบมองหนานกงเย่ ส่วนหนานกงเย่กลับไม่กล่าวสิ่งใด
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้พระพักตร์ทรงหม่นหมองลง: “อ๋องเย่ คำพูดที่เจ้าเพิ่งกล่าวไปเมื่อครู่ กล่าวต่อเถอะ ข้ายังฟังไม่จบ”
หนานกงเย่จึงได้กล่าวว่า: “ช่างน่าเสียดาย เมืองต้าเหลียงเรายังไม่มีองค์หญิงในรุ่นนี้”
“ไม่เป็นไร ได้ยินมาว่าฮองเฮาและพระสนมเอกเซียวแห่งเมืองต้าเหลียงมีหน่อเนื้อเชื้อไขแล้ว เมืองอู๋โยวยินดี……”
พรึ่บ!
จวินโม่ซ่านหยุดกะทันหัน ฉีเฟยอวิ๋นรีบคุกเข่าลง: “ฝ่าบาทขอทรงอภัยด้วย ฮู่ของหม่อมฉันหล่นเพคะ!”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงทอดพระเนตร ฉีเฟยอวิ๋นรีบเก็บฮู่บนพื้นขึ้นมาแล้วถือไว้เป็นอย่างดี
ฮู่ใช้สำหรับการเข้าประชุมขุนนางโดยเฉพาะแสดงถึงฐานันดรของแต่ละคน เช่น ด้ามหยกนั้นขุนนางใหญ่น้อยในท้องพระโรงเมืองต้าเหลียงมีทั้งสิ้นโดยที่ส่วนมากเป็นบุรุษ
แต่ว่าเมืองต้าเหลียงนับตั้งแต่โบราณมาก็มีหัวหน้าอิสตรีรับใช้ราชสำนักและไม่ขาดแคลนพระบัญญัติแม่ทัพ
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าประขุมขุนนางก็มีฮู่ด้วย!
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทอดพระเนตรฉีเฟยอวิ๋นด้วยพระพักตร์อันเย็นชา: “เป็นสิ่งของที่ไร้ประโยชน์จริงๆ ไว้หน้าของเจ้าแล้วใช่หรือไม่? ฐานันดรศักดิ์น่านับถือแล้วเช่นไร? คิดว่าเข้าราชสำนักได้แล้วจริงๆ ถือว่าสามีของเจ้าเป็นอ๋องเย่ก็สามารถไร้มารยาทหรือ?
ต่อหน้าข้า ทนดูเจ้าป่าเถื่อนไม่ได้! ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงกริ้วขุนนางทั้งหลายมองไปทางจวินโม่ซ่างทีละคนๆ ในใจตำหนิจวินโม่ซ่าน ถังหลงรู้สึกว่าหลังของเขาเย็นเฉียบ เหตุใดถึงได้มุทะลุเช่นนี้ที่กล่าวคำพูดนี้ออกมา พระธิดาของฝ่าบาทใช่ว่าจะสามารถอภิเษกเชื่อมสัมพันธไมตรีได้และสามารถให้ชายแก่ผู้หนึ่งไม่ทะนุถนอมได้หรือ?
จวินโม่ซ่างมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นด้วยใบหน้าอันเต็มไปด้วยความลังเล!
“หม่อมฉันผิดไปแล้ว!” ฉีเฟยอวิ๋นยอมรับโทษและองค์จักรพรรดิอวี้ตี้กำลังจะทรงลงโทษ ราชครูจวินนั้นได้ก้าวออกมา!
หมายเหตุ
ฮู่ แผ่นป้ายเตือนความจำของเหล่าขุนนางจีนสมัยโบราณ เทียบได้กับสมุดจดบันทึกที่ต้องถือพกติดตัวไปทุกครั้งที่มีการเรียกเข้าประชุมขุนนาง