องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 568 เหตุใดบุปผาถึงได้แดงเพียงนี้
หนานกงเย่มองดูเจ้าเสือน้อยที่กำลังกัดกางเกงของเขาโดยที่เจ้าเสือน้อยร้องกึกๆกัดกางเกงของเขาราวกับว่าสง่างามน่าเกรงขาม
หนานกงเย่มองดูอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก้มตัวลงอุ้มเจ้าเสือน้อยขึ้น เจ้าเสือน้อยกำลังคิดที่จะอ้าฟันอันคมกริบกัดคน แม่เสือก็คำรามเสียงหนึ่งขึ้น
เจ้าเสือน้อยหมอบอยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเย่อย่างเชื่อฟัง
หนานกงเย่ถามว่า: “เจ้าต้องการยกลูกให้ข้าหรือ?”
แม่เสือคำรามจากนั้นเสือตัวอื่นๆก็ล้อมอยู่รอบหนานกงเย่แล้วหมอบอยู่ข้างๆแม่เสือ
หมอบลงแล้วกดอุ้งเท้าหลังไปที่ท้องของแม่เสือ หนานกงรู้นิสัยของเสืออย่างลึกซึ้ง ที่กล่าวว่าเสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันไม่ได้ เสือนั้นไม่สามารถอยู่ด้วยกันไปตลอดได้
และแม่เสือก็จะไม่มีวันทอดทิ้งเสือน้อยเว้นแต่ว่าจะมีเหตุจำเป็น
หนานกงเย่ครุ่นคิด: “พวกเจ้าเป็นเสือสามีภรรยาหรือ?”
แม่เสือเหลือบมองหนานกงเย่และหมอบลงบนพื้นราวกับว่าจนปัญญาโดยไม่มองเจ้าเสือน้อย
หนานกงเย่สัมผัสเจ้าเสือน้อยตัวอ้วนพีแล้วกล่าวว่า: “ในเมื่อเจ้าเชื่อใจข้าเช่นนั้นข้าก็จะนำมันไป ภายภาคหน้าหากมีโอกาสก็จะพามันกลับมา”
หนานกงเย่อุ้มเจ้าเสือน้อยแล้วเหลือบมองไปยังจิ้งจอกหางสั้น: “นำทางไป”
จิ้งจอกหางสั้นวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว หนานกงเย่มองย้อนกลับไปยังเสือตัวใหญ่สองตัวแล้วไปตามหาฉีเฟยอวิ๋นอย่างไม่ลังเล
เสือตัวใหญ่สองตัวลุกขึ้นตามหนานกงเย่ลงเขา ส่งคนไปแล้วยังมองดูด้านล่างของภูเขาจนเจ้าเสือน้อยกรีดร้องออกมาราวกับรู้ว่าไม่ได้เล่นสนุกและเสียใจที่ลงมากับผู้อื่น
แต่ว่าสายเกินไปที่จะกลับไปแล้ว เสือตัวใหญ่ทั้งสองตัวหันหัวแล้วขึ้นไปบนภูเขาด้วยกัน
ระหว่างทางหนานกงเย่พบวัดฮู่กั๋วและหนานกงเย่ก็หยุดอยู่ด้านนอกของวัดฮู่กั๋ว
ในเวลานี้ยังดึกดื่นอยู่
หนานกงเย่สั่งให้คนระดมกำลังมาทันทีและนำเจ้าเสือน้อยและจิ้งจอกหางสั้นขึ้นไปเพียงลำพัง
เมื่อมาถึงด้านนอกของวัดฮู่กั๋ว หนานกงเย่มองไปรอบทิศและกระโดดข้ามกำแพงเข้าไป
เข้าไปถึงด้านในเจ้าจิ้งจอกน้อยก็ตรงดิ่งไปยังลานด้านหลัง หนานกงเย่ก็ได้ตามไป
ฉีเฟยอวิ๋นนอนไม่หลับอยู่บ้างจึงลุกขึ้นแล้วมองไปยังเจ้าห้าบนพื้น
เจ้าห้านอนหลับอยู่แต่ในเวลานี้ก็ลืมตาขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มเจ้าห้าขึ้นมาแล้วตบเบาๆ: “นอนไม่หลับใช่หรือไม่?”
เจ้าห้ามองไปยังทางหน้าประตู ลานด้านหลังได้ดับตะเกียงแล้วมีเพียงห้องนี้เท่านั้นที่ยังจุดตะเกียงอยู่
ฉีเฟยอวิ๋นกำลังคุยกับเจ้าห้าเฟิงอู๋ชิงก็ลุกขึ้นนั่งแล้วลงจากเตียง ประตูห้องมีเสียงจากนั้นก็เปิดออกโดยกำลังภายในของเขา หนานกงเย่ยืนอยู่หน้าประตูพอดีพร้อมกับอุ้มเจ้าเสือน้อยตัวหนึ่งไว้ในอ้อมแขน
จิ้งจอกหางสั้นหมอบอยู่บนบ่าโดยที่อุ้งเล็บของจิ้งจอกน้อยจิกเสื้อผ้าของหนานกงเย่ไว้แน่น
หนึ่งผู้คนและสัตว์ตัวเล็กสองตัวยืนอย่างเยือกเย็นอยู่ตรงหน้าประตู เฝ้ามองดูคนที่อยู่ในประตู
กระบี่ในมือของเฟิงอู๋ชิงชี้ไปที่หนานกงเย่: “เจ้าเป็นใคร?”
หนานกงเย่อุ้มเจ้าเสือน้อยเข้าประตูไป เดินเข้าไปทีละก้าวๆ วางเจ้าเสือน้อยลงบนพื้นจากนั้นมันเดินไปหาฉีเฟยอวิ๋นอย่างสิ้นหวังราวกับว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมยิ่งนักแล้วหมอบลงตรงตักของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นจับมันอุ้มขึ้น: “แม่เสือไม่ต้องการเจ้าแล้วหรือ?”
เจ้าเสือน้อยซึมเศร้าหมอบอยู่แล้วครางราวกับกำลังร้องไห้อยู่
ฉีเฟยอวิ๋นปลอบและมองหนานกงเย่ไปด้วย เขาไม่เป็นไรแล้วแต่ด้านหลังตรงก้นนั้นยังคงมีเลือดอยู่ ดูเหมือนว่าตามหาอย่างเร่งรีบจึงไม่ได้ไปเปลี่ยน
หนานกงเย่ดึงกระบี่อ่อนออกมาแล้วชี้ไปยังเฟิงอู๋ชิง: “เข้ามาสิ!”
เฟิงอู๋ชิงกลับไม่เกรงใจพุ่งดิ่งไปยังหนานกงเย่และทั้งสองก็ต่อสู้กันขึ้นในทันใด
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองผู้คนด้านนอกจากนั้นเดินไปทางหน้าประตู เฟิงอู๋ชิงมองไป: “พวกเจ้าเป็นพวกเดียวกันหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นเดินไปถึงตรงหน้าประตูแล้วกระบี่ของเฟิงอู๋ชิงก็ไปพุ่งทางนาง หนานกงเย่สะบัดกระบี่ของเฟิงอู๋ชิงออกแล้วกอดฉีเฟยอวิ๋นถอยหลังไปยังในลาน
ธนูร้อยกว่าคันดึงคันธนูอยู่พร้อมเล็งไปที่เฟิงอู๋ชิง วัดฮู่กั๋วถูกกองทัพนับพันล้อมเอาไว้แน่นจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ไม่สามารถผ่านไปได้
เฟิงอู๋ชิงหยุดลงแล้วมองผู้คนรอบตัวเขาโดยรอบ
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงระดมทหารได้?” เฟิงอู๋ชิงรู้สึกขบขันอยู่บ้างในเวลานี้แล้วเหลือบมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น
หนานกงเย่กล่าวว่า: “ข้าคืออ๋องเย่แห่งเมืองต้าเหลียงหนานกงเย่”
เฟิงอู๋ชิงตกตะลึงครู่หนึ่งราวกับว่าไม่ได้คาดคิดถึงตัวตนของหนานกงเย่มาก่อน
“เจ้าคือพระชายาเย่?” เฟิงอู๋ชิงมองฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่ยอมรับไม่ได้แล้ว
“ถูกต้อง ข้าเอง” ขณะที่กล่าวฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าใกล้หนานกงเย่เล็กน้อยเพื่อหาการคุ้มครองโดยหลบอยู่ด้านข้างของหนานกงเย่และอธิบายว่าเหตุใดเฟิงอู๋ชิงจึงปรากฏตัวขึ้น หนานกงเย่ใบหน้าหมองลงเมื่อได้ยินคำอธิบายของฉีเฟยอวิ๋น
“เจ้าต้องการสังหารพระชายาของข้า?” หนานกงเย่หรี่ตาเล็กน้อยและจะไม่ยอมทนเป็นแน่
“ท่านอ๋องอย่าได้โมโห เขาถูกพิษแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นกระตุกปาก หนานกงเย่นั้นมองดูฉีเฟยอวิ๋นด้วยความคิดอันสับสนวุ่นวาย
เฟิงอู๋ชิงขมวดคิ้ว คนสองคนนี้เป็นสิ่งใดกันแน่ ในเวลานี้ยังมีอารมณ์ยักคิ้วหลิ่วตากันอีก?
“อืม” หนานกงเย่ตอบรับแล้วมองไปทางเฟิงอู๋ชิง
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “ล้มลง!”
ท้ายที่สุดเมื่อลมพัดมาเฟิงอู๋ชิงก็ล้มลงบนพื้น พร้อมทั้งดาบในมือก็ปล่อยทิ้งลงด้วย
หนานกงเย่โบกมือ ผู้คนสองสามคนนำเชือกมาผูกเฟิงอู๋ชิง
ฉีเฟยอวิ๋นแนะนำ: “ท่านอ๋อง ในเมื่อเขามีวิทยายุทธอันล้ำเลิศเพื่อมิให้เขาหลบหนีได้ ไม่งั้นก็สวมโซ่ตรวนเท้าและคุมขังไว้ในคุก เช่นนี้ก็สามารถหลีกเลี่ยงปัญหามากมายได้แล้ว”
“อืม” หนานกงเย่สั่งให้คนนำตัวเฟิงอู๋ชิงไปที่คุกส่วนฉีเฟยอวิ๋นตามหนานกงเย่กลับไปยังจวนอ๋องเย่
ระหว่างทางฉีเฟยอวิ๋นส่งเจ้าห้าให้หนานกงเย่แล้วจึงได้หลับไปเลย หนานกงเย่ก็หมดแรงและนอนหลับข้างกายฉีเฟยอวิ๋นไปซะแล้ว
จิ้งจอกหางสั้นและเจ้าเสือน้อยหมอบเฝ้าอยู่ข้างกายเจ้าห้า
รถม้ามาถึงจวนอ๋องเย่ฉีเฟยอวิ๋นถึงได้ตื่นขึ้น ลงจากรถม้าและอุ้มเจ้าห้ากลับไปยังสวนดอกกล้วยไม้ ทั้งสามคนในครอบครัวไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยไปดูเด็กๆที่รักคนอื่นพร้อมกับพาเจ้าเสือน้อยไปด้วย
สิ่งที่แปลกคือเจ้าเสือน้อยตามติดอยู่กับเจ้าห้าโดยไม่ไปหาคนอื่นๆ
ฉีเฟยอวิ๋นก็มั่นใจความคิดในใจว่าเจ้าห้าคือผู้ที่สามารถสื่อสารกับสัตว์ได้
เจ้าห้านอนหลับส่วนเจ้าเสือน้อยนั้นหมอบอยู่ข้างๆเจ้าห้า ก่อนนอนฉีเฟยอวิ๋นให้มันกินเนื้อชิ้นหนึ่ง
กินอิ่มแล้วก็หมอบอยู่ข้างๆเจ้าห้า
เด็กๆที่รักทั้งหลายต่างก็อิจฉาจนน้ำลายไหลออกมาเลย
ฉีเฟยอวิ๋นคิดว่าอิจฉาไปก็ไร้ประโยชน์
ไม่ได้พักผ่อนเลยเนื่องจากฉีเฟยอวิ๋นไปดูฮูหยินรอง สวีกงกงและหวังฮวายอัน ดูอาการทั้งสามคนแล้วลุกขึ้นและขึ้นรถไปดูต้ากั๋วจิ้ว ฉีดยากลับมาแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ดูก้นให้กับหนานกงเย่
จัดการไปฉีเฟยอวิ๋นก็ทุกข์ใจไปด้วย: “เป็นเช่นนี้แล้วเหตุใดท่านถึงไม่ให้หมอในคุกดูอาการให้ท่าน ท่านโง่หรือเปล่า?”
หนานกงเย่นอนคว่ำอยู่ตรงนั้นโดยที่ก้นเปลือยเปล่า ส่วนฉีเฟยอวิ๋นไม่สามารถทนดูได้
“ก็ไม่เป็นไรแค่บวมเล็กน้อย นี่ก็หายดีแล้วแค่บาดแผลภายนอกเล็กน้อยเท่านั้น ข้ายังทนได้”
ฉีเฟยอวิ๋นสูดจมูกแล้วนอนคว่ำบนหลังของหนานกงเย่ หนานกงเย่ขบขัน: “ข้ายังไม่ตายเจ้าร้องไห้อันใด?”
“ขุนนางนี้ไร้ประโยชน์เกินไป ข้าว่าท่านลาออกจากตำแหน่งไม่ต้องเป็นแล้ว” ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากสนใจแล้ว
“หากว่าข้าลาออกจวนอ๋องเย่จะไม่ถูกรื้อถอนหรอกหรือ?”
“เช่นนั้นก็ให้อ๋องตวนไป”
“หากเขาเต็มใจเหตุใดข้าถึงต้องเป็นขุนนาง?”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่พอใจ เหตุการณ์นี้เกิดจากจวินโม่ซ่าง นางบอกว่าต้องการหาจวินโม่ซ่างเพื่อคิดบัญชีและให้จวินโม่ซ่างรู้ว่าเหตุใดบุปผาถึงได้แดงเพียงนี้!