จวินโม่ซ่างยังคงสับสนอยู่จนกระทั่งถูกนำตัวไป ส่วนถังหลงก็เรียกร้องความเป็นธรรมอย่างสุดชีวิต ร้องขอการอภัยจากจักรพรรดิอวี้ตี้ แต่จักรพรรดิอวี้ตี้เองกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน มิไว้หน้าเมืองอู๋โยวเลยจริงๆ
จวินโม่ซ่างถูกนำตัวไป หนานกงเย่โค้งตัวลงและกล่าว: “กระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ!”
หนานกงเย่กล่าวทูลลาไปก่อน จักรพรรดิอวี้ตี้ถึงได้หันไปมองราชครูจวิน : “ราชครู เปิดศึกทั้งสองเมืองเช่นนี้ท่านมีความเห็นอย่างไรหรือไม่?”
ราชครูจวินกล่าว : “ฝ่าบาท อ๋องเย่เป็นผู้ครองเมืองที่มีคุณธรรมยิ่ง ก่อนหน้านี้เพราะเรื่องที่กองทัพเมืองอู๋โยวได้บุกประชิดพรมแดนจึงถูกนำตัวไปยังคุก แต่ในเมื่ออ๋องเย่คิดเห็นให้ทั้งสองเมืองเปิดศึกกัน เช่นนั้นศึกครั้งนี้ก็ต้องมอบให้เป็นหน้าที่ของอ๋องเย่เอง
ในวันนี้อ๋องเย่ได้สั่งให้ส่งกองทัพเดินหน้าไปยังชายแดน เตรียมพร้อมเปิดศึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นแล้วอ๋องเย่เองคงมีแผนการไว้แล้วอย่างแน่นอน
และในช่วงเวลาเหมันต์นี้ทั้งฟางข้าว ชุดผ้าไหม และเครื่องยาสมุนไพรต่างๆคงต้องเตรียมพร้อมไว้แล้ว แต่เมืองต้าเหลียง ถึงแม้ในท้องพระคลังจะมีรายได้เข้ามามาก แต่ลำพังเงินเท่านี้คงไม่เพียงพอสำหรับกองทัพห้าแสนนายที่ไปสู้รบได้”
“ราชครูพูดถูกยิ่งนัก หากเป็นเช่นนั้นก็โองการให้อ๋องเย่เข้าตำหนักเสีย”
หนางกงเย่ส่งฉีเฟยอวิ๋นไว้ที่ตำหนักเฉาเฟิ่ง จากนั้นก็หันตัวกลับไปยังตำหนัก เขามิได้เดินทางห่างออกไปนัก
เมื่อเข้าไปยังตำหนักใหญ่หนานกงเย่ก็เดินหน้ารับพระราชโองการ ถึงอย่างไรตำแหน่งองค์รัชทายาทผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็เป็นของเขาอยู่แล้ว ส่วนเรื่องต่อจากนี้ก็คงเป็นเรื่องควรเปิดศึกอย่างไรดี
จักรพรรดิอวี้ตี้ลำบากใจ : “ทั้งสองเมืองสู้กัน ให้ฟางข้าวฟางหญ้านำไปก่อน เจ้าทำสงครามคราวนี้เตรียมตัวดีแล้วหรือไม่?”
“บังคมทูลฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฟางข้าวฟางหญ้ากำลังเตรียมการอยู่พ่ะย่ะค่ะ ส่วนที่เหลือที่เกี่ยวข้องกับการทำศึก กระหม่อมได้เตรียมการไว้อย่างครบถ้วนแล้ว ขั้นต่อไปก็เป็นเวลาที่กองทัพจะเดินทางไปถึงชายแดนพ่ะย่ะค่ะ
กระหม่อมได้รับรายงานจากสายลับก่อนหน้านี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ทั้งยังได้รับรายงานนี้เมื่อครึ่งเดือนก่อนแล้ว ครึ่งเดือนนี้กระหม่อมได้เตรียมการอย่างครบถ้วน ส่วนชายแดนนั้นมีเวลาหนึ่งเดือน ทางเมืองอู๋โยวเองก็ยังมิกล้าบุกเข้ามา เพียงพอให้กองทัพเราได้เคลื่อนไหวพ่ะย่ะค่ะ รวมทั้งการเคลื่อนไหวของจวินโม่ซ่างด้วย ครานี้กระหม่อมจะทำให้เมืองอู๋โยวมอบเมืองถาถ่านให้เรา ทั้งยังต้องส่งส่วยให้กับเราเป็นเวลาสิบปี เช่นนี้ก็จะแก้ปัญหาส่วยของเมืองต้าเหลียงได้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“……”เมื่อได้ยินคำว่าเครื่องส่วย ดวงตาของจักรพรรดิอวี้ตี้ก็เปล่งประกาย เดิมทีสีหน้าที่ดูจริงจังกลับค่อยๆคลายลง ราวกับว่าตั๋วเงินมหาศาลกำลังกองอยู่หน้าเมืองอู๋โยว รอให้กองทัพของพวกเขาไปถึงและขนย้ายมันกลับมาเท่านั้น
จักรพรรดิอวี้ตี้ข่มความตื่นเต้นในใจไว้และแกล้งทำถามอย่างจริงจัง: “คำพูดของเจ้าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรือไม่?”
“มิใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิเคยพูดคำคุยโอ้อวด เรื่องนี้ฝ่าบาทเองรู้ดีพ่ะย่ะค่ะ”หนานกงเย่พูดเช่นนี้ ทั้งราชครูจวินเองยังรู้สึกว่าควรเปิดศึกครั้งนี้
หนึ่งคือมีหน้ามีตา เมืองอู๋โยวเข้ามารุกรานด้วยวิธีสกปรกเช่นนี้ ยอมมิได้เป็นอันขาด สองคือได้รับส่วยเป็นเวลาสิบปี ซึ่งแก้ปัญหาอันใหญ่หลวงของเมืองต้าเหลียงไปได้
“ฝ่าบาท หากสามารถเพิ่มเครื่องส่วยสำหรับสิบปีได้ ศึกครั้งนี้สามารถทำได้พ่ะย่ะค่ะ”ราชครูจวินเอ่ยปาก ศิษย์ของเขาต่างก็ออกความเห็น จักรพรรดิอวี้ตี้มิสนพระทัยนัก แต่กลับมองไปยังเสนาบดีเฉิน
พ่อตาของเขาคนนี้ช่างขี้ขลาดยิ่งนัก อย่างน้อยก็ควรพูดสักคำ
“เสนาบดีล่ะคิดเห็นว่าอย่างไร?”
เสนาบดีเฉินสับสนไปครู่หนึ่ง: “บัมคมทูลฝ่าบาท กระหม่อมเองก็เห็นด้วยกับศึกครั้งนี้พ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้นจะมิมีเครื่องส่วยเหล่านี้ อย่างไรศึกครานี้ก็ต้องเกิดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ
เมืองอู๋โยวประสงค์ที่จะยึดครองผืนดินเมืองต้าเหลียงของข้า หากไม่ทำศึกก็จะแก้ปัญหาการบุกรุกกดขี่ข่มเหงเมืองต้าเหลียงของข้าด้วยสันติภาพ ภายนอกดูเหมือนทั้งสองเมืองปรองดองกัน แต่คนทั่วเมืองใครจะไม่รู้ว่าเมืองต้าเหลียงนั้นเสียเปรียบ ถูกกดดันให้มอบหญิงสาวให้กับเมืองอู๋โยวเป็นของแลกเปลี่ยน มองย้อนกลับมาจะมีจุดยืนได้อย่างไรกัน!”
จักรพรรดิอวี้ตี้เงียบไปนานพอควร จึงได้กล่าวว่า: “สิ่งที่เสนาบดีกล่าวมาถูกยิ่งนัก หากเป็นเช่นนั้นข้าขออุทิศอำนาจของเมืองทั้งหมด และไม่ยอมเป็นอันขาด!”
“ฝ่าบาททรงปรีชาญาณ……”
“ฝ่าบาททรงปรีชาญาณ……”
เหล่าเสนาบดีต่างคุกเข่าลง หนานกงเย่มองไปยังจักรพรรดิอวี้ตี้ สองพี่น้องสบตากัน จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่มีทีท่าดีงามมองไปครู่หนึ่งและลุกขึ้นกล่าว: “ศึกเมืองอู๋โยวครานี้ มอบให้เป็นหน้าที่ของหนานกงเย่องค์รัชทายาทผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทุกอย่างเป็นไปตามคำสั่งของเขา และต้องฟังคำสั่งจากเขาทุกคน ถอยลงไปเถิด”
จักรพรรดิอวี้ตี้หันตัวเดินจากไป เหล่าเสนาบดีต่างก็ยกย่องจักรพรรดิอวี้ตี้ หนานกงเย่มองไปยังกลุ่มเสนาบดีที่ยืนขึ้นแล้ว ในกลุ่มเสนาบดีมีราชครูจวินเป็นแกนนำ หากราชครูจวินมิเอ่ยปาก เสนาบดีท่านอื่นต่างก็พากันแยกย้ายกันไป
หนานกงเย่ออกจากตำหนักในภายหลัง ราชครูจวินก็ด้วย
“ราชครูมีเรื่องอันใดงั้นรึ?”
“เหตุใดอ๋องเย่ต้องถามทั้งที่รู้อยู่แล้วกันเล่า?”ราชครูจวินหดหู่มากนัก ฮูหยินรองเดิมทีก็มีเวลาที่ไม่พบหน้ากันบ้าง แต่ส่วนใหญ่เพราะราชครูจวินยุ่งการเรื่องทางการจึงไม่มีเวลาดูแลนัก แต่หลายปีที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเรื่องอันใด เขาก็จะไปดูฮูหยินรองทุกครั้ง และนึกถึงเรื่องสมัยยังหนุ่มวัยและยิ่งแยกจากกันมิได้”
หลังจากที่ฮูหยินรองไปที่จวนอ๋องเย่ ราชครูจวินก็ยิ่งนึกถึง เพียงแค่นึกถึงก็มิเป็นไร แต่ยิ่งรู้สึกว่าฮูหยินรองจะชอบจวนอ๋องเย่เสียแล้วจึงได้มิกลับไปยังจวนราชครู
ก่อนหน้านั้นเรื่องที่ฮูหยินรองจะกระโดดแม่น้ำ ทำให้ราชครูจวินมีปมในใจจวบจนวันนี้
ยิ่งแก่ลงก็ยิ่งอยากเฝ้ามองดู
ราวกับว่ากลัวหายอย่างไรอย่างนั้น!
ราชครูจิวนและฮูหยินรองก็เป็นสหายเล่นด้วยกันมาแต่เยาว์วัย เมื่อครั้งเป็นสามีภรรยากันตอนหนุ่มสาว มิได้ให้ตำแหน่งชายาหลักให้กับฮูหยินรอง ที่ผ่านมาราชครูจวินมิได้สนใจในเรื่องนี้มากนัก
แต่เมื่อแก่แล้ว กลับไม่เหมือนเดิมเสียอย่างนั้น
ยิ่งอยากจะมอบทุกอย่างให้แก่ฮูหยินรองเสีย
หนานกงเย่เดินไปครึ่งทาง : “ราชครูคิดเห็นอย่างไรกับศึกเมืองอู๋โยวครั้งนี้?”
“คนที่จะทำศึกนั้นเป็นอ๋องเย่เอง หรือว่าอ๋องเย่เองมิได้เตรียมตัวเลยงั้นหรือ?”ราชครูจวินขมวดคิ้วมองหน้าตาหล่อเหลาของหนานกงเย่ ที่กล่าวว่าเตรียมการทุกอย่างไว้แล้ว ใครๆก็รู้ว่าเขาเป็นคนพูดออกมาเอง
หนานกงเย่ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว : “ข้าต้องการสู้รบเท่านั้น แต่หากไม่มีการเปิดศึกก่อนจะรู้ได้อย่างไรว่าสู้ได้หรือไม่ ก็ต้องไม่ได้เตรียมการไว้อย่างแน่นอนสิ”
“……”ราชครูจวินหยุดลง มือทั้งสองขยับอยู่ในแขนเสื้อ เงยหน้ามองหนานกงเย่ หนานกงเย่กล่าว: “ข้ายังต้องไปถวายบังคมต่อเสด็จแม่ที่ตำหนักเฉาเฟิ่ง ราชครูไปก่อนเสียเถิด”
สิ้นเสียงหนานกงเย่ก็จากไปก่อนแล้ว ราชครูจวินหันกลับไปมองและหัวเราะ
ราวกับว่าเห็นเงาร่างของจักรพรรดิองค์ก่อนอย่างไรอย่างนั้น
เมืองต้าเหลียงมีคนเช่นนี้อยู่ เขาก็สามารถกลับเรือนใช้ชีวิตคนแก่ชราได้แล้วล่ะ
ราชครูจวินหันตัวและเดินไปยังทางออกของวัง
ฉีเฟยอวิ๋นพูดคุยกับพระพันปี หนานกงเย่ไปถึงก็นำตัวนางไปทันที ทำเอาพระพันปีพิโรธครหาว่าเขานั้นอกตัญญู!
เมื่อออกจากตำหนักเฉาเฟิ่งฉีเฟยอวิ๋นก็ถามทันทีว่า : “มีเรื่องอันใดงั้นหรือเพคะ?”
“สู้ได้!”
มุมปากของหนานกงเย่ยิ้ม ท่าทางภาคภูมิใจ
ฉีเฟยอวิ๋นก็หัวเราะตามด้วย ไห่กงกงส่งทั้งสองไปยังนอกวังก็ก้มหัวหัวเราะตามไปด้วยเช่นกัน
ไห่กงกงกลับถึงตำหนักเฉาเฟิ่ง พระพันปีเองก็กำลังรออยู่ในตำหนักแล้ว ไห่กงกงรีบเข้าไปถวายบังคม: “พระพันปี!”
“เป็นอย่างไรบ้าง ได้ข่าวอะไรหรือไม่?”
“ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ พระชายาเย่ต้องการหานางในที่มีตัวตนให้กับอ๋องเย่ ให้อ๋องเย่ได้บรรเทาความทุกข์ใจ จึงได้พอใจในองค์รัชทายาทแห่งเมืองอู๋โยวเข้า แต่องค์รัชทายาทแห่งเมืองอู๋โยวยังไม่มีลูกสาว ต้องการหมั้นหมายไว้แต่เนิ่น จึงทำให้องค์รัชทายาทแห่งเมืองอู๋โยวพิโรธ องค์รัชทายาทแห่งเมืองอู๋โยวตีพระชายาเย่งั้นหรือ?”
ไห่กงกงได้ยินมาเพียงเท่านี้
พระพันปีอืมไปครั้งหนึ่ง และยื่นมือไปให้ไห่กงกง ไห่กงกงรีบเข้าไปจับมือของพระพันปีไว้ และเดินไปข้างหน้า
“พระพันปี พระองค์……”
“มีพวกเขาอยู่ ข้าก็วางใจได้ ผ่านไปหลายวัน รอจนดอกไม้ผลิในวสันตฤดูอบอุ่นให้ไปรับลูกๆมา……”
พระพันปีสับสนไปครู่หนึ่ง : “เจ้าคิดว่า หากไปรับเพียงเสี่ยวอู่จะดีหรือไม่?”
“พระพันปีเกรงว่าอู่ซื่อจื่อจะมิชอบใจนักใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ไห่กงกงกล่าวอย่างหัวเราะ
พระพันปีกล่าวอย่างงงงวย: “เจ้าดูสิช่างแปลกนัก เป็นเพียงเด็กเล็กคนหนึ่งดูอารมณ์ของเขาเสีย ช่าง…….เหมือนใครกันล่ะ?”
“ดูไม่ออก แต่อ๋องเย่ของเราตอนเยาว์วัยก็ไม่เป็นเช่นนี้ หากจะว่าเป็นพระชายาเย่ นางก็ไม่เหมือนเสียหน่อย!”
“นางมิใช่คนใจดี แต่ข้าเองก็เป็นปีติยินดีเช่นกัน หากให้กำเนิดนอกเมืองหรือแต่งเข้าตระกูลจงชินเข้า ก็จะเป็นหายนะแก่เมืองต้าเหลียงของข้า!”
“พระพันปีพูดรุนแรงเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
พระพันปีมองไห่กงกงอย่างไม่ใส่ใจ: “หึ! ขนาดเกลือเป็นหนอนอย่างเจ้า นางยังได้ทำร้ายได้ แล้วยังไม่กลัวจะไปทำร้ายคนรอบข้างได้อย่างนั้นหรือ?”
“……”