บทที่ 214 หนังสือของมิติลับ
วันต่อมา มู่หรงเสวี่ยตื่นขึ้นมาแต่เช้า เธอไม่ลืมว่าวันนี้มีประชุม อีกอย่างเธอต้องไปหาพี่จือเหวินเพื่อเอาข้อมูลบางอย่างด้วย
เช้าตรู่วันนี้หลงอี้จัดทีมของสมาชิกกลุ่มเมื่อวานให้มาคอยคุ้มกันด้วยอีกประมาณ 5 คน
มู่หรงเสวี่ยแวะมาที่บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปก่อน แล้วรับกองเอกสารมาจากพี่จือเหวินแล้วรีบกลับไปที่บริษัทมู่หรงกรุ๊ป
หลงอี้และคนอื่นอยู่กับเธอด้วยตลอดเวลา พวกเขาไม่ห่างจากมู่หรงเสวี่ยเลยแม้สักก้าว เมื่อวานตอนที่ทีมจากดราก้อนพาวิลเลี่ยนกลับมาจากการค้นหา ก็พบว่าอีกฝ่ายหนีไปแล้วและเหลือไว้เพียงปลอกกระสุนที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ตอนนี้พวกเขากำลังเช็คแหล่งที่มาของกระสุนและรอยนิ้วมือต่างๆ
พนักงานทั้งหมดของบริษัทอดไม่ได้ที่จะแอบๆมองไปที่มู่หรงเสวี่ยและคนของเธอเพราะเป็นกลุ่มคนค่อนข้างใหญ่และสมาชิกของดราก้อนพาวิลเลี่ยนก็ดูแตกต่างจากคนอื่นๆด้วย พวกเขาต่างก็มีสีหน้าดูดุดันด้วยซ้ำ
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เวลาตอนนี้ 8.30 แล้ว เธอรวบรวมเอกสารและขอให้หลินหงเตรียมการประชุม เธอเดินไปที่ห้องประชุมด้วยฝีเท้าที่หนักแน่น เธอนั่งลงที่ตำแหน่งของประธานคณะกรรมการและนั่งอ่านเอกสารต่างๆ หลงอี้และคนอื่นๆก็เดินเข้ามานั่งเรียงกันอยู่ที่ด้านหลังของมู่หรงเสวี่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึม
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยก็ค่อยๆเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ หลินหงเป็นคนแรกที่เข้ามา นี่ก็ 9.30 แล้ว
“คุณหนูครับ ผมจะไปแจ้งพวกผู้ใหญ่อีกครั้งนะครับ!” หลินหงไม่คิดว่าสถานการณ์จะเป็นแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาแจ้งทุกคนไปแล้วแต่ด้วยอายุของมู่หรงเสวี่ยทำให้ผู้ใหญ่คนอื่นๆต่างก็ดูถูกว่าเธอเป็นเพียงเด็กสาวเท่านั้น
มู่หรงเสวี่ยลุกขึ้นและพูดออกมาอย่างเย็นชา “ไม่ต้อง เคลียร์โต๊ะให้หมดแล้วนัดให้พวกเขามาเจอกับเราพรุ่งนี้…” เธอไม่ได้ดื่มหรือกินอะไรเลย พวกเขาคิดว่าเธอเป็นเพียงเด็กสาวอายุ 16
เธอคิดว่าการยิงเมื่อวานก็อาจจะเป็นฝีมือของพวกคนที่มักใหญ่ใฝ่สูงพวกนี้ก็ได้ เดาว่าข่าวก็หายตัวไปของพ่อแม่เธอคงจะกระจายไปแล้ว คนพวกนี้อยากที่จะถอนเธอออกจากมู่หรงกรุ๊ป เมื่อวานเธอไม่ได้ฉุดคิดถึงเรื่องนี้เลยแต่วันนี้จู่ๆเธอก็ได้เข้าใจท่าทีของพวกเขา
ร่างของหลินหงที่กำลังยืนอยู่ในห้องประชุมค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย คุณหนูใหญ่ดูท่าทางไม่เหมือนเด็กสาวอายุ 16 เลยสักนิด ท่าทางของเธอเหมือนกับท่านประธานไม่มีผิด เธอสมแล้วที่เป็นลูกสาวของเขา แต่คุณมู่หรงจะมีวิธียังไงที่จะทำให้ผู้ถือหุ้นระดับสูงพวกนั้นมาเข้าประชุมได้? เขายังคิดเรื่องนี้ไม่ออกเลย
“อยากให้พวกเราช่วยอะไรหรือเปล่าครับคุณมู่หรง?” หลงอี้เองก็แวบประกายเย็นชาออกมาด้วยเช่นกัน คุณมู่หรงคนที่เป็นหนึ่งในหัวใจดราก้อนมาสเตอร์ของพวกเขาจะมาเจอเรื่องที่น่าคับข้องใจแบบนี้ไม่ได้
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่หลงอี้แล้วเพียงแค่โบกมือ “ไม่ต้อง ฉันมีวิธี…” เธอจะพึ่งดราก้อนพาวิลเลี่ยนไปซะทุกอย่างได้ยังไง? เธอมีอำนาจของตัวเอง ใช่ไหม?
ในเมื่อพวกเขาไม่ชอบวิธีที่สุภาพ งั้นเธอก็จะไม่เกรงใจแล้ว เธอจะใช้วิธีไหนก็ได้ที่เร็วและได้ผล
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาและโทรหาจือเหวิน
หลงอี้หูผึ่งทันที นอกจากการคุ้มครองคุณมู่หรงแล้ว หน้าที่ของเขาคือการจับตาดูผู้ชายทุกคนที่เข้ามาใกล้เธอด้วยและกำจัดความเป็นไปได้ที่จะให้พวกเขามาเข้าใกล้ดอกไม้งามอย่างคุณมู่หรง
อันที่จริงก่อนที่จะออกมา ดราก้อนลอร์ดแอบดึงตัวเขาไปข้างๆและคุยด้วยอยู่นานก่อนที่เขาจะเข้าใจความหมายว่าท่านหมายความว่ายังไง ในตอนนั้นเขาเกือบที่จะกลั้นขำไว้ไม่อยู่ โชคดีที่เขาฝึกที่จะทำหน้าให้นิ่งมาแล้วเป็นเวลานานจึงสามารถเลี่ยงอันตรายจากการที่ดราก้อนลอร์ดจะเห็นอาการได้
“พี่จือเหวิน ช่วยสอนบทเรียนให้คนพวกนี้หน่อย…” มู่หรงเสวี่ยพูดใส่โทรศัพท์
ที่ปลายสาย โม่จือเหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกไม่เข้าใจในการตัดสินใจของมู่หรงเสวี่ย “คุณตัดสินใจแล้วเหรอครับ? คุณอยากให้พวกเขารู้จริงๆงั้นเหรอว่านี่เป็นฝีมือคุณ?”
“เอาเป็นว่าบอกให้พวกเขารู้ว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่มาเข้าประชุมก็จะต้องเจออะไรที่มากกว่านี้…” ริมฝีปากของมู่หรงเสวี่ยเผยรอยยิ้มแสยะ
“แต่นั่นจะไม่เป็นการเผยตัวเองเหรอครับ?! คุณไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาเหรอครับ?” โม่จือเหวินอดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
“พี่จือเหวินลืมเรื่องข้อมูลที่ฉันให้พี่ไปค้นเมื่อคืนแล้วเหรอ?! ไม่ต้องห่วงนะ ฉันรู้ว่าอะไรเหมาะสม”
“งั้นถ้าคุณต้องการอะไรก็โทรหาผมได้เลยนะครับ!”
“ขอบคุณนะคะพี่จือเหวิน”
หลังจากที่วางสายไป มู่หรงเสวี่ยก็เดินไปที่อีกฝั่งของโต๊ะเพื่อที่จะลงมือทำงานของบริษัทอีกครั้ง เพราะการหายตัวไปของพ่อเธอ จึงมีกองเอกสารมากมายตั้งเป็นกองโต เธอจะต้องจัดการทุกอย่างให้เสร็จอย่างเร็วที่สุด เธอไม่มีเวลาอยู่ในจังหวัดAมากนัก เธอจะต้องหาวิธีที่จะช่วยเหลือพ่อกับแม่
มู่หรงกรุ๊ปควรที่จะฝึกคนที่มีความสามารถให้เข้ามาดูแลบริษัทเป็นการชั่วคราว ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาเธอกำลังเฝ้าสังเกตการทำงานและความประพฤติของหลินหงอยู่ ตอนนี้ทุกอย่างดูดีมากแต่เธอจะยกบริษัทให้คนอื่นง่ายๆไม่ได้ ไม่งั้นเธอจะต้องเหลือตัวคนเดียวงั้นเหรอ?!! เธอกลัวว่าถ้าพวกผู้ถือหุ้นไม่คล้อยตามด้วยมันก็คงจะเป็นปัญหาแน่ๆ
“คุณมู่หรง คุณกำลังที่จะทำอะไร?” จากที่คุยโทรศัพท์เขาได้ยินเพียงไม่กี่คำ และรู้แค่เพียงว่าคุณมู่หรงจะสั่งสอนคนบางคน
มู่หรงเสวี่ยมองมาที่หลงอี้หนึ่งที่แสนจะสอดรู้สอดเห็นและพูดออกมาอย่างดูถูก “นายทำตัวอย่างกับคนแก่…”
สีหน้าของหลงอี้ค่อยๆพองขึ้นและสุดท้ายเขาก็เดินกลับไปนั่งเงียบๆที่มุมห้อง
มู่หรงเสวี่ยเข้าใจแล้วว่าทำไมฮวงฟูอี้ถึงสนุกกับการแกล้งหลงอี้
ในตอนเย็นทันทีที่มู่หรงกลับไปที่ฐาน ก็รีบล็อกประตูห้องและแวบเข้าไปในมิติลับ เธอคิดถึงพ่อกับแม่มากจริงๆ เธอไปที่ประตูหลากสีที่เห็นครั้งที่แล้ว สวดอ้อนวอนในหัวใจและหวังว่าบางทีพ่อแม่ของเธอจะกลับออกมาอีกครั้งแต่ก็ไม่มีใครอยู่ข้างในเลย
มู่หรงเสวี่ยวิ่งไปที่ป่าเพื่อควบคุมพวกไก่ด้วยจิตของเธอและเดินมาที่ม่านน้ำตก ไก่พวกนี้ก็คือไก่ที่เธอพาเข้ามาครั้งที่แล้ว พวกมันตัวใหญ่กว่าไก่เท่าไปสามเท่าจนดูเหมือนไก่กลายพันธุ์
เธอปล่อยให้พวกไก่เดินเข้าไปในหลุมแปลกๆที่มีแสงสดใส แล้วก็มีแสงจ้าสว่างส่องออกมาซึ่งทำให้มู่หรงเสวี่ยแทบจะลืมตาไม่ขึ้น หลังจากนั้นสักพักไก่พวกนั้นก็หายไปและทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ
ดูเหมือนจะเป็นที่นี่แหละ
เพียงแต่ว่าในมิติลับมันน่าที่จะมีคำอธิบายอยู่ด้วย นี่เธอพลาดอะไรไปหรือเปล่า?!! เธอรีบไปที่ล็อบบี้ มองหาแต่หนังสือที่อยู่ในเสาหินซึ่งเป็นที่เก็บหนังสือฟินิกซ์มิติลับ เธอเกือบที่จะลืมไปแล้วว่ายังมีหนังสือเกี่ยวกับฟินิกซ์มิติลับ ในหนังสือพวกนี้จะต้องพูดถึงเรื่องการข้ามห้วงเวลาและการกลับมาไว้ด้วยแน่ๆ
เธอแทบรอไม่ไหวที่จะหยิบหนังสือเล่มสีทองออกมาเปิดอย่างระวัง เธออ่านทีละคำ ทีละคำอย่างละเอียด ที่หน้าแรกแนะนำเรื่องต้นกำเนิดของฟินิกซ์มิติลับ พื้นที่ฟีนิกซ์เป็นของเทพเจ้าและเป็นสมบัติของเทพเจ้าหลงยู่ นอกจากพื้นที่ของตัวเองแล้ว ยังมีช่องทางไปมิติอื่นๆอีกเพราะมีเขียนไว้เพียงบรรทัดเดียว เมื่อเธออ่านจบก็รู้สึกว่ามันเป็นพื้นที่ที่ใหญ่มากซึ่งแต่ก่อนเธอไม่เคยสังเกตเลยแต่ในหนังสือก็ไม่ได้เขียนถึงเรื่องวิธีการใช้มิติลับไว้เท่าไร
มู่หรงเสวี่ยยังไม่ยอมแพ้จึงค้นหาเรื่องต้นกำเนิดต่อไป นี่เธอก็เพิ่งจะอ่านไปได้แค่ไม่กี่หน้าเอง แม้แต่ที่มุมของหนังสือเธอก็ยังตรวจอย่างระวัง
เมื่อเปิดไปที่หน้าสุดท้าย มู่หรงเสวี่ยก็พบว่ามีบางบรรทัดซึ่งดูเหมือนจะเป็นตัวอักษะที่ขาดหายไป อย่างไรก็ตามเพราะสีที่ไม่ค่อยชัด มู่หรงเสวี่ยจึงเห็นได้ไม่ชัดเท่าไร เธอหยิบหนังสือและเดินออกไปข้างนอกเพื่อมองตรงแสงและเห็นว่าตัวอักษรพวกนั้นเขียนไว้ว่า “วิธีการบ่มเพาะจิตวิญญาณ!”
ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยเบิกกว้าง เธอไม่มีความคิดเลยว่าสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือจะเป็นเรื่องหลอกลวง การบ่มเพาะจิตวิญญาณงั้นเหรอ?!!!
เรื่องวิธีการบ่มเพาะจิตวิญญาณมีเขียนอธิบายไว้อีกแค่สองสามบรรทัดเท่านั้น มู่หรงเสวี่ยอ่านซ้ำอย่างระวังอยู่หลายรอบจนกระทั่งจำได้ขึ้นใจ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เธออยากจะรู้ที่สุดกลับไม่มีเขียนไว้เลย ตอนนี้เธออยากที่จะรู้แค่ว่าจะช่วยพ่อแม่ของเธอได้ยังไง
มันจำเป็นที่จะต้องบ่มเพาะจิตวิญญาณจริงๆงั้นเหรอ?!! การบ่มเพาะ ช่างเป็นความคิดที่แย่มากจริงๆ ในโลกนี้มีเทพเจ้าจริงๆงั้นเหรอ?!!! อย่างไรก็ตามสิ่งแปลก ๆ ได้ทำลายความรู้ความเข้าใจดั้งเดิมของเธอไปแล้ว แม้แต่มิติลับนี้ คนธรรมดาก็ยังเอาไปครอบครองไม่ได้เลย
มู่หรงเสวี่ยเก็บหนังสือกลับไปที่เดิม ถึงแม้เธอจะสามารถฝึกการบ่มเพาะจิตได้ แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจมันอยู่ดี ถ้าพูดตามเหตุผลถึงแม้เธอจะกลายเป็นเทพเจ้าได้ แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่เธอจะฝึกได้ในตอนนี้เลย บางทีสำหรับพวกเทพเจ้าอาจจะมีวิธีการฝึกได้แต่เธอเป็นเพียงคนธรรมดา
มู่หรงเสวี่ยรีบวิ่งเข้าไปในห้องสมุดและค้นหาอย่างละเอียด หวังว่าจะเจอข้อมูลอะไรที่เกี่ยวกับห้วงเวลาและมิติลับ อย่างไรก็ตามเธอก็ต้องผิดหวัง เธออ่านหนังสือเกือบจะทุกเล่มแต่ก็มีเพียงเรื่องทักษะทางการแพทย์และเรื่องอื่นๆ มีหนังสือบางเล่มที่เธอไม่เข้าใจเลยสักนิด มีหนังสือเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุที่เธอจัดประเภทไว้เป็นพิเศษก่อนหน้านี้
ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าหนังสือพวกนั้นดูไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไร ตอนนี้ดูเหมือนว่าอาจจะเป็นทักษะการกลั่นยาของผู้เป็นอมตะ ประเภทของพลังทางจิตวิญญาณและอื่น ๆ ซึ่งเธอไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เลยสักนิด เธอรู้แค่ว่าหนังสือเล่มนี้แนะนำว่าการเล่นแร่แปรธาตุต้องการการสนับสนุนทางจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เธอหยิบหนังสือประเภทนี้ออกมาอีกครั้งและอ่านมันอีกรอบแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี หลังจากนั้นเธอก็ต้องยอมแพ้และเก็บหนังสือกลับไปที่เดิมเพื่อที่จะแวบออกจากมิติลับ
ข้างนอกเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น มู่หรงเสวี่ยกำลังนอนอยู่บนเตียงเตรียมพร้อมที่จะนอน พรุ่งนี้ยังต้องเจอศึกหนักกับเหล่าผู้ถือหุ้นอีก