ซูจิ่นซีกลับไปยังสวนดอกไม้ในวังหลวง นางเพิ่งก้าวเท้าเข้าไป ยังไม่ทันได้ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน ทันใดนั้น ผู้คนที่กำลังวุ่นวายอยู่ในสวนดอกไม้ก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ซูจิ่นซีรู้สึกอึดอัดอย่างมาก
นางหยุดฝีเท้าลงและตรวจสอบเครื่องแต่งกายของตนอีกครั้ง ชุดสีขาวหิมะปักลวดลายดอกแพร์สีอ่อน ทั้งชุดและลวดลายดอกแพร์มีสีสันสะอาดสะอ้าน ผมที่มัดเป็นมวยเรียบง่ายใช้เพียงปิ่นปักผมสีเขียวมรกตปักไว้ด้านหลัง ใบหน้าผัดแป้งเพียงเล็กน้อย ไม่มีการตกแต่งเพิ่มเติมใดๆ
สำหรับงานเลี้ยงที่มีผู้ร่วมงานมากมาย การแต่งกายเช่นนี้นับว่าเรียบง่ายและถ่อมตน
หลังแก้ไขปัญหาเรื่องการแต่งตัวของตนเองแล้ว ซูจิ่นซีก็เชิดหน้าเดินเข้าไปในสวนดอกไม้อย่างสง่าผ่าเผย
อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ผู้คนที่อยู่ทั้งสองฝั่งต่างนั่งตัวตรงและมองซูจิ่นซีด้วยท่าทางซับซ้อนและแปลกประหลาด
บางคนถึงกับชี้มาทางซูจิ่นซีอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น ใบหน้าของพวกเขาซีดขาว ทั้งยังตกตะลึง
นี่… มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?
ซูจิ่นซีเดินมาด้านข้างใต้เท้าจางด้วยใบหน้างุนงง
“ใต้เท้าจาง ท่านมองสิ่งใดหรือ? ใบหน้าของข้ามีดอกไม้หรือตัวอักษรอันใดหรือ? ”
ทันใดนั้น ใต้เท้าจางก็ซวนเซไปสองก้าวจนเกือบจะล้มลง เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบพลันไหลลงมาจากหน้าผาก
ครู่หนึ่ง เขาค่อยๆ เงยหน้าและชี้นิ้วไปที่ซูจิ่นซีด้วยร่างกายสั่นเทา
“เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ซูอวิ๋นคาย ช่วงเวลาที่ท่านเป็นผู้ดำเนินการแข่งขัน ทำให้ข้าโชคดีสามารถชนะการแข่งขันครั้งนี้ได้ เพียงแต่เมื่อครู่ ตอนที่ประลองยุทธ์กับหลิงเซียวจวิ้นจู่ ข้าไม่ทันระวังจึงพลัดตกลงไปในน้ำ ทำให้สถานะสตรีของข้าถูกเปิดเผย ในเมื่อทุกคนต่างเห็นแล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป อีกทั้งไม่มีเสื้อผ้าบุรุษที่เหมาะสม ข้าจึงเปลี่ยนเป็นชุดของสตรี”
ซูจิ่นซีพูดพลางกางแขนออก เปิดเผยตัวตนของนางต่อหน้าขุนนางชั้นผู้ใหญ่
ทว่าหลังจากใต้เท้าจางผู้นั้นเหลือบมองซูจิ่นซีแล้ว เขาก็หันไปมองมู่หรงเฟิงทันที ไม่กล้ามองซูจิ่นซีอีก
นี่มันเรื่องอันใดกัน?
ซูจิ่นซีลูบแก้มตนเอง พลางมองตามสายตาของใต้เท้าจาง นางรู้สึกประหลาดใจที่เห็นมู่หรงเฟิงซึ่งมีท่าทีเกียจคร้านมาโดยตลอด ทว่ายามนี้กลับจ้องมองนางด้วยแววตาเปล่งประกายจนดวงตาแดงก่ำ ทั้งใบหน้ายังซีดขาว และดูเหมือนจอกสุราในมือของเขาจะหกกระเซ็นโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว บ่าวรับใช้ข้างกายจึงเช็ดทำความสะอาดด้วยความตื่นตระหนก
แม้แต่มู่หรงเฟิงยังมีปฏิกิริยาเช่นกัน?
นางทำสิ่งใดผิดไปกัน?
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็นึกถึงตอนที่พบหลิงเซียวจวิ้นจู่เป็นครั้งแรก
แม้หลิงเซียวจวิ้นจู่และซูจิ่นซีจะมีหน้าตาบางส่วนคล้ายกัน ทว่าโชคดีที่ตอนนั้นนางแต่งตัวเป็นบุรุษจึงมองออกได้ยาก อีกทั้งแผ่นดินกว้างใหญ่ ไม่แปลกที่จะพบผู้ที่มีหน้าตาคล้ายตนเอง ซูจิ่นซีจึงไม่คิดอันใด
หรือว่าปัญหาจะอยู่ที่หน้าตา?
ตอนนั้น ซูจิ่นซีไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดมากนัก นางมองสายตาอันแปลกประหลาดของทุกคน ก่อนจะค่อยๆ เดินไปยังที่นั่งของตนเอง
มีเสียงพูดคุยกันอย่างแผ่วเบาท่ามกลางฝูงชน
“พวกท่านดูสิ เหตุใดท่านหมอซูจึงมีหน้าตาคล้ายคลึงกับหลิงเซียวจวิ้นจู่? ”
“ใช่หรือไม่? เหมือนกันได้อย่างไร? หน้าตาเหมือนกันจริงๆ ! ”
“ท่านหมอซูผู้นี้คงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับสกุลจงกระมัง? ”
“อาจเป็นความจริง! ไม่เช่นนั้น ในโลกนี้จะมีผู้ที่หน้าตาเหมือนกันเช่นนี้ได้อย่างไร? ”
“ไม่รู้ว่าฉีอ๋องคิดสิ่งใด ถึงได้นำผู้ที่มีหน้าตาเหมือนกับหลิงเซียวจวิ้นจู่มาอยู่ข้างกายตน หรือว่า… ”
แม้คนผู้นั้นจะตั้งใจปิดบังคำพูดส่วนท้ายไว้ทว่าผู้ฟังกลับเข้าใจเป็นอย่างดี
“จากมุมมองของข้า ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าหลิงเซียวจวิ้นจู่มีใจให้ฉีอ๋อง? แท้จริงแล้ว นางก็ไม่ใช้น้องสาวแท้ๆ ของพระองค์ หากฉีอ๋องมีใจให้หลิงเซียวจวิ้นจู่จริง ย่อมรับตัวนางเข้าไปในจวน เหตุใดต้องหาผู้ที่มีหน้าตาคล้ายกับหลิงเซียวจวิ้นจู่มากมาอยู่ข้างกายด้วย? ทั้งยังแต่งกายเป็นชายเพื่อปกปิดสถานะ”
“ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติจริงๆ เช่นนั้นเจ้าว่าฉีอ๋องกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่? ”
หลายคนต่างรวมตัวถกเถียงกันอย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น เสียงพูดก็เริ่มดังมากขึ้นเรื่อยๆ
“จากมุมมองของข้า! มีความเป็นไปได้แปดส่วนที่จุดประสงค์ของฉีอ๋องคือมหาอุปราช”
“มีจุดประสงค์คือมหาอุปราช? พูดเช่นนี้ได้อย่างไร? ” ผู้ที่พูดมีท่าทีกระวนกระวาย เขาตั้งใจลดระดับเสียงลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีอดปรับระดับอาคมกำไลปี่อั้นไปที่ระดับสูงสุดไม่ได้
“เคยได้ยินเรื่องนี้หรือไม่? ในราชสำนักหนานหลีของเรามีสตรีสูงศักดิ์มากมาย ทว่าเหตุใด ตอนนั้นฝ่าบาทและฉีอ๋องจึงเลือกจงเมิ่งหยวนแห่งสกุลจง หรือหลิงเซียวจวิ้นจู่องค์ปัจจุบัน ให้เข้าวังและประทานยศแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ ทั้งยังให้เกียรตินางและสำนักโอสถสกุลจงอย่างมาก? ”
แม้เรื่องนี้ไม่ได้ถูกกล่าวถึงอย่างเปิดเผย ทว่าหลายคนต่างรู้ดี
เนื่องจากหน้าตาของหลิงเซียวจวิ้นจู่คล้ายกับหญิงในดวงใจของฝ่าบาทและมหาอุปราช นั่นคือสตรีในรูปที่ถูกแขวนไว้ในตำหนักฉินเจิ้ง
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ คนผู้นั้นก็ไม่พูดอันใดให้มากความอีก พวกเขาล้วนเข้าใจอย่างชัดเจนและไม่พูดเปิดเผยสิ่งใด ต่างคนต่างก้มศีรษะลงและสังเกตท่าทางของมู่หรงเฟิงอย่างระมัดระวัง
การแสดงออกของมู่หรงเฟิงยังคงร้อนรุ่มดั่งเปลวเพลิง ตั้งแต่ซูจิ่นซีเข้ามาในสวนดอกไม้ของวังหลวง เขายังไม่ละสายตาจากร่างของนางแม้แต่น้อย
ท่าทางเช่นนั้น ทุกคนล้วนเห็นอยู่ในสายตา มันเพียงพอที่จะอธิบายทุกอย่างได้ชัดเจน
ซูจิ่นซีนั่งลงที่ตำแหน่งของตนอย่างมั่นคง พลางปรับระดับอาคมกำไลปี่อั้นลงเล็กน้อย แม้ใบหน้าของนางไม่แสดงการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทว่าความคิดในจิตใจกลับแปรปรวนอย่างมาก
ภาพวาดที่ตำหนักฉินเจิ้งอีกแล้ว ภาพนั้นเป็นภาพอันใดกันแน่?
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ซูจิ่นซีคิดว่านางคงตกหลุมพรางชิวเยวี่ยและหลิวหลี นางกำนัลทั้งสองคนนั้นแล้ว
นางกำนัลคนแรกเพียงสร้างอุบายตบตา นางตั้งใจใช้ชุดลายดอกไม้สีฟ้าอ่อนมาทำให้ซูจิ่นซีสับสน จากนั้นชิวเยวี่ยและหลิวหลีก็ดำเนินตามแผนการต่อไป
พูดกันว่าจิตใจของสตรีในวังหลวงมากด้วยกลอุบายอันลึกซึ้ง ทำให้ผู้คนยากป้องกัน
ยิ่งกว่านั้นเสียอีก!
ที่นี่เป็นดินแดนแห่งเสือและหมาป่า ทุกการเคลื่อนไหวต้องระมัดระวัง ต้องวางแผนทุกย่างก้าว เพราะมันเต็มไปด้วยกับดัก
ซูจิ่นซีกวาดตามองไปรอบๆ สวนดอกไม้ ตอนนี้ชิวเยวี่ยและหลิวหลีหายไปที่ใดแล้ว?
บรรยากาศอันน่าอึดอัดยืดเยื้อนานเกินไป ต้องมีใครสักคนลุกขึ้นมาทำลายการชะงักงันนี้
ยามนี้ ผู้ที่กล้าลุกขึ้นทำลายสถานการณ์อันน่าอึดอัด ก็มีเพียงเยี่ยโยวเหยาผู้เดียว
เยี่ยโยวเหยาพูดอย่างหมดความอดทนว่า “มู่หรงเฟิง วันนี้เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว เช่นนั้น การแข่งขันช่วงชิงดอกไม้ปีศาจในครึ่งหลัง ท่านไม่จำเป็นต้องดำเนินการต่อ ท่านสามารถมอบดอกไม้ผุพังนั้นเป็นรางวัลแก่ผู้ใดก็ตามที่ท่านต้องการ”
ดอกไม้ปีศาจ ราชาแห่งดอกไม้ เป็นยาสมุนไพรล้ำค่าที่เจริญเติบโตในทุกๆ สี่สิบเก้าปี ทว่ามันกลายเป็นดอกไม้ผุพังด้วยคำพูดของเยี่ยโยวเหยาไปเสียแล้ว
หลายคนเมื่อได้ยินเช่นนั้นต่างขมวดคิ้วมุ่น มุมปากพลันยกขึ้น
ทันใดนั้น มู่หรงเฟิงก็กลับมาได้สติ เขายังมีท่าทางตกตะลึงอยู่เล็กน้อย และมองซูจิ่นซีด้วยสายตาลึกซึ้ง
“ในเมื่อข้าพูดว่าจะใช้การแข่งขันเพื่อตัดสิน ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ต้องแข่งขันให้เสร็จสิ้น ใต้เท้าจาง เริ่มการแข่งขันในครึ่งหลังเถิด! ”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”