ใต้เท้าจางรีบตอบรับอย่างรวดเร็วและให้คนรื้อเวทีการประลองออกไป เหลือพื้นที่ไว้เพียงพอสำหรับการจัดการแข่งขันด้านบุ๋น
แม้สถานการณ์น่าอึดอัดจะถูกทำลายลง ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าพูดถึงเรื่องหน้าตาที่คล้ายคลึงกันระหว่างซูจิ่นซีกับหลิงเซียวจวิ้นจู่อีก และไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึงภาพวาดในตำหนักฉินเจิ้ง ยิ่งไม่มีผู้ใดกล้าคาดเดาความคิดของมหาอุปราชมู่หรงเฟิง
อย่างไรก็ตาม ในใจของทุกคนต่างเป็นเหมือนกระจกเงา พวกเขาทราบอย่างชัดเจน
เนื่องจากการปรากฏตัวของสตรีแซ่ซูผู้นี้ บรรยากาศในสวนดอกไม้ และสถานการณ์บางอย่างในราชสำนักแคว้นหนานหลีจึงเกิดการเปลี่ยนแปลง
นอกจากนั้น ผู้ที่มีความฉลาดหลักแหลม หลังจากพิจารณาก็เข้าใจในทันทีว่า จิตใจของมหาอุปราชที่สงบนิ่งราวกับสายน้ำ ทั้งยังไม่มีผู้ใดสัมผัสเป็นเวลานาน กำลังเกิดระลอกคลื่นอย่างเชื่องช้า
ต่อให้ผู้อื่นไม่ทำอันใด ไม่ช้าก็เร็ว มหาอุปราชต้องลงมือกับสตรีแซ่ซูผู้นี้
ไม่ว่าการแข่งขันด้านบุ๋นจะจัดขึ้นอย่างไร ทุกครั้งก็จัดตามแบบแผนเดิม ไม่มีสิ่งใดแปลกใหม่
นอกจากนั้น ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้เป็นบุรุษ สตรีที่เข้าร่วมการแข่งขันมีเพียงซูจิ่นซีกับหลิงเซียวจวิ้นจู่สองคน
เนื่องจากยามนี้หลิงเซียวจวิ้นจู่พลัดตกลงไปในน้ำ นางจึงออกจากสวนดอกไม้ไปแล้ว ถือว่าได้ออกจากแข่งขัน ดังนั้นจึงเหลือสตรีเพียงผู้เดียว นั่นคือซูจิ่นซี
บุรุษที่เข้าร่วมการแข่งขัน หรือที่เรียกกันว่าสุภาพบุรุษนั้น ยิ่งน่าเบื่อมากขึ้นไปอีก นอกจากการท่องกลอนและร่ายบทกวี ก็ยังคงเป็นการท่องกลอนและร่ายบทกวี หากดีกว่านี้ อาจพบผู้ที่สามารถเขียนคำและวาดภาพได้ นับว่าเป็นการเพิ่มความหลากหลาย เพิ่มความน่าสนใจมากขึ้น
ใต้เท้าจางเลือกผู้ที่มีความสามารถด้านวรรณกรรมอย่างลึกซึ้งมาเป็นผู้ตัดสิน โดยคัดเลือกจากบรรดาขุนนางชั้นสูงและคณะทูตจำนวนสามคน จากนั้นยังเสนอให้มู่หรงเฟิงเป็นผู้ตัดสินต่อหน้าทุกคน มู่หรงเฟิงจึงดึงเยี่ยโยวเหยามาเป็นผู้ตัดสินร่วมกัน
เมื่อกระบวนการและกฎของการแข่งขันถูกกำหนดขึ้นแล้ว การแข่งขันจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
การแข่งขันด้านบุ๋นแบ่งออกเป็นสามรอบ
รอบแรกคือการแข่งบทกวีคู่ คนกลุ่มแรกจะถูกกำจัดในรอบนี้
โชคดีที่ในยุคสมัยปัจจุบัน ซูจิ่นซีเป็นนักเรียนหัวกะทิ แม้นางจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับบทกวีคู่ ทว่านางเคยสะสมผลงานของนักกวีโบราณมากมาย
หัวข้อที่ใต้เท้าจางเสนอคือ ความภักดีและกล้าหาญ
ซูจิ่นซีจึงใช้กลอนคู่จากสมัยโบราณโดยตรง
โคลงแนวนอน:ความภักดีและกล้าหาญ
โคลงครึ่งแรก:ความภักดีดั่งสุริยันแลรัตติกรอันเจิดจ้า
โคลงครึ่งหลัง:ความหาญกล้าเหนือชลธารดุจภูผา
แม้ไม่ได้ยอดเยี่ยมมากนัก แต่ก็รอดพ้นจากการถูกกำจัดในรอบแรกและก้าวเข้าสู่รอบที่สองได้สำเร็จ
หัวข้อในรอบที่สองได้ผ่านการคัดเลือกจากการปรึกษาของผู้ตัดสินทั้งหลาย
กล่าวกันว่าหัวข้อนี้ ฮองเฮาฉางซุนแห่งราชวงศ์โจวได้จารึกไว้ในคัมภีร์เหล็กผนึกเทพ ภายหลังกลายเป็นหัวข้อที่ใช้ทดสอบผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นของสำนักอักษรลี่ซาน
ต่อมาฮองเฮาเหวินตี้เซี่ยได้ตอบคำถามนั้น ทั้งยังตอบคำถามทั้งสามข้อในคัมภีร์หลักได้อย่างถูกต้อง
หัวข้อในคัมภีร์ฉบับย่อยจึงถูกผู้คนละเลย หลายปีที่ผ่านมามันถูกปิดผนึกอยู่ในสำนักเอกสารโบราณ ไม่เคยมีผู้ใดเปิดออกมาอีกเลย
ขุนนางใหญ่หลายคนต่างเห็นว่า นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะเปิดเผยคัมภีร์เหล็กผลึกเทพฉบับย่อย เมื่อมู่หรงเฟิงอนุญาต จึงให้คนไปที่สำนักเอกสารโบราณและนำคัมภีร์เหล็กผลึกเทพฉบับย่อยออกมา
คัมภีร์ฉบับย่อยมีคำถามทั้งหมดสามข้อ ตามกติกา ขอเพียงตอบได้ถูกต้องอย่างน้อยหนึ่งคำถาม ก็จะสามารถเข้าสู่การแข่งขันรอบสุดท้ายได้
ผู้ที่สามารถผ่านการแข่งขันบทกวีคู่ในรอบแรกนั้น มีจำนวนไม่มากแล้ว
ด้วยวิธีการอันรวดเร็ว ซูจิ่นซีจะใช้โอกาสนี้นำดอกไม้ปีศาจไปช่วยอู๋จุน
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่เคยคาดคิดเลยว่า เมื่อคำถามข้อแรกในคัมภีร์เหล็กผลึกเทพฉบับย่อยถูกเปิดออก นางจะประหลาดใจจนอ้าปากค้าง ฟันกรามแทบตกลงไปบนพื้น
ฮองเฮาฉางซุนแห่งราชวงศ์โจวตะวันตกในตำนาน เป็นผู้ใดกันแน่?
นางมีประวัติความเป็นมาอย่างไร?
คงไม่ใช่เป็นเหมือนนางที่เดินทางข้ามมิติมากระมัง?
เหตุใดจึงตั้งคำถามเช่นนี้?
นางถามว่า ‘ที่หัวเตียงของข้า มีถุงเท้าสี่คู่ที่แตกต่างกัน มีAnda มีadisas มีอดิฮวง ทุกครั้งที่ต้องการสวมถุงเท้า ข้าจะเลือกสุ่มถุงเท้าจากด้านในนั้นออกมาหนึ่งข้าง หลังจากดูแล้วว่ามันยังไม่เข้าคู่กัน ขอถามว่าต้องหยิบถุงเท้าออกมาอย่างน้อยกี่ข้าง จึงจะยืนยันได้ว่ามีถุงเท้าครบคู่? ’
โรคจิตแล้วกระมัง?
ไม่มีอันใดทำหรือจึงตั้งคำถามเช่นนี้?
ยิ่งไปกว่านั้น นางเป็นถึงฮองเฮาผู้ก่อตั้งประเทศ นึกไม่ถึงว่าจะตั้งคำถามเช่นนี้ไว้ในคัมภีร์เหล็กผลึกเทพที่ทั้งศักดิ์สิทธิ์และสูงส่ง ทั้งยังเป็นมาตรฐานในการเข้าสอบสำหรับผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นระดับประเทศ นี่มันเป็นเรื่องน่าขันของคนในใต้หล้ามิใช่หรือ?
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น นางมองไปที่หัวข้อคำถามนั้นอีกครั้ง ที่ส่วนท้ายคำถามมีการเพิ่มรูปขำขันลงไปด้วย
ฮองเฮาผู้นี้… ช่างเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาจริงๆ !
แท้จริงแล้ว ไม่ใช่ซูจิ่นซีเพียงผู้เดียวที่ประหลาดใจ กระทั่งผู้ตัดสินหลายท่านยังเผยท่าทางอึดอัดหลังจากได้เห็นหัวข้อคำถาม
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
“เพ้ย… นี่… มันหัวข้อคำถามอันใดกัน? หรือว่าผู้ใดแอบสับเปลี่ยน? ”
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน แม้คัมภีร์เหล็กผลึกเทพฉบับหลักจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ทว่าฉบับย่อยยังได้รับการปิดผนึกอย่างแน่นหนาอยู่ในสำนักเอกสารโบราณ หากต้องการเปิดออกจะต้องมีเอกสารจากสำนักเอกสารโบราณและกุญแจจากขุนนางระดับสูงสองท่าน คัมภีร์จะถูกสับเปลี่ยนได้อย่างไร? ”
“เช่นนั้น… เป็นไปได้หรือไม่ว่า ตอนที่ฮองเฮาฉางซุนผนึกหัวข้อคำถามจะเกิดปัญหาขึ้น? ”
“นี่เป็นเรื่องที่ผ่านมาพันกว่าปีแล้ว พวกเราจะรู้ได้อย่างไร! ”
“ทว่า… นี่… นี่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์และฐานะแม้แต่น้อย! ยังมีสิ่งเหล่านี้ที่อยู่ข้างในอีก ยังมีพวกนี้ อักษรพวกนี้คือสิ่งใดกัน? ผู้เฒ่าอย่างข้าศึกษาร่ำเรียนมาเกือบทั้งชีวิต ยังไม่เคยพบมาก่อน”
ย่อมไม่เคยเห็นแน่นอน ต่อให้เรียนเพิ่มอีกทั้งชีวิต หรือจะเรียนเพิ่มอีกสองชั่วอายุคน สามชั่วอายุคน ก็ไม่มีทางรู้ได้
เพราะมันไม่ใช่ตัวอักษรในยุคสมัยนี้
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซูจิ่นซีก็ยิ่งมั่นใจมากกว่าเดิม ผู้ที่ถูกเรียกว่าฮองเฮาฉางซุน นางต้องมีสถานะและเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าหัวข้อคำถามจะแปลกประหลาดอย่างไร ในเมื่อนำออกมาต่อหน้าทุกคนแล้ว เห็นแก่พระเกียรติของราชวงศ์แคว้นหนานหลีและหน้าตาของขุนนางผู้ใหญ่ พวกเขาไม่อาจเก็บกลับคืนได้
ใต้เท้าจางเหลือบมองใบหน้าของมู่หรงเฟิง เมื่อเห็นมู่หรงเฟิงไม่มีข้อโต้แย้งอันใด จึงพูดเสียงดัง
“ผู้เข้าร่วมแข่งขันทุกท่าน คำถามแรกในรอบที่สองนี้ ทุกท่านมีความคิดเห็นอย่างไร? ผู้ใดจะออกมาตอบคำถามเป็นคนแรก? ”
ผู้ที่เข้าร่วมการแข่งขันในรอบที่สอง นับรวมซูจิ่นซีแล้วมีทั้งหมดเจ็ดคน
ใต้เท้าจางกวาดสายตามองใบหน้าของผู้เข้าร่วมการแข่งขันทั้งเจ็ดทีละคน ผู้เข้าแข่งขันหกคนต่างก้มศีรษะลงด้วยความละอาย เมื่อมองมาถึงซูจิ่นซี เขากลับเห็นซูจิ่นซีเชิดหน้าขึ้นด้วยท่าทางมั่นใจ
“ท่านหมอ… แม่นางซู ท่านพอจะคิดสิ่งใดออกแล้วใช่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีเลิกคิ้ว “พอจะ… คิดออกอยู่บ้าง ทว่าขอบังอาจถามใต้เท้าจาง คำตอบข้อนี้มีการตัดสินอย่างไร? ”
“ในปีนั้น ฮองเฮาฉางซุนได้ผนึกคำถามและคำตอบไว้ในคัมภีร์เหล็กผลึกเทพ คำตอบจึงถูกกำหนดไว้แล้ว คำตอบที่ถูกต้องจะยึดตามคำตอบของฮองเฮาฉางซุน”
เช่นนั้นซูจิ่นซีก็วางใจ!
อย่างไรก็ตาม คำถามนี้ดูเป็นเรื่องของคนในยุคสมัยปัจจุบัน แต่กลับให้คนในสมัยโบราณตัดสินคำตอบว่าถูกหรือผิด ซูจิ่นซีจึงกังวลอยู่บ้าง
ในเมื่อมีคำตอบที่ถูกต้องแล้ว เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลอันใด
ทันทีที่พวกเขาได้ยินว่าซูจิ่นซีสามารถตอบคำถามได้ ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างหันไปมองซูจิ่นซีด้วยแววตาสนใจ
ซูจิ่นซีกวาดสายตามองไปทางพวกเขาทีละคน ทว่าไม่ได้รีบพูดสิ่งใด
เมื่อเห็นซูจิ่นซีถ่วงเวลาอยู่นาน ทั้งยังไม่พูดสิ่งใดออกมา ทุกคนจึงเริ่มสงสัยในตัวนางอีกครั้ง
“แม่นางซู เจ้าตอบคำถามนี้ได้หรือไม่กันแน่! ”
“เจ้าคงไม่คิดโกง หรือตั้งใจแกล้งพวกเรากระมัง? ”
“นั่นสิ กระทั่งเหล่าขุนนางจากสำนักเอกสารโบราณยังไม่รู้จักสัญลักษณ์และตัวอักษรทั้งหลายบนนี้ แล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไร? ”
“นั่นสิ อย่าแสร้งทำเป็นรู้เลย ยอมรับเสียแต่ทีแรก! ไม่มีผู้ใดเจตนาหัวเราะเยาะเจ้า! ”
“ใช่! เห็นแก่ที่เจ้ามีใบหน้าคล้ายหลิงเซียวจวิ้นจู่ มหาอุปราชของพวกเราอาจพิจารณาใหม่ และให้เจ้าชนะก็ได้! ”
คำพูดสุดท้ายมีความกล้าหาญอย่างมาก ขุนนางแคว้นหนานหลีไม่กล้าพูดออกมาเป็นแน่ ผู้ที่หาญกล้าพูดประโยคนี้คือขุนนางผู้หนึ่งของแคว้นเป่ยอี้