ตอนที่ 173 ในที่สุดเขาก็ยอมรับว่า......ถูกใจอาหลันเข้าแล้ว

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

อันหว่านจือ โกรธจนแทบจะด่านางออกมา นางค้อนตาขาวใส่สตรีที่ได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษและหยิ่งผยองผู้นั้น มีอะไรน่าอวดหนักหรือ? 

 

 

ต้องมีสักวันที่นางจะได้รับความโปรดปรานเหนือกว่า! 

 

 

นางทอดสายตาไปยังจีเฉวียน ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ 

 

 

จีเฉวียนเพียงแต่กล่าวด้วยเสียงเย็นชาว่า “หวงกุ้ยเฟยสั่งแล้ว เจ้า ก็ไม่ขยับหรือ? “ 

 

 

ท่าทางเช่นนั้นเห็นได้ชัดเลยว่า ฝ่าบาททรงวางซูเม่ยเอาไว้เป็นอันดับหนึ่ง และเห็นนางเป็นเพียงบ่าวรับใช้ 

 

 

อันหว่าจรือ โกรธจนโทสะพลุ่งพล่าน แต่ก็ไม่อาจขัดขืน นางได้แต่ถอยออกไปอย่างไม่ยินยอม จากนั้นรีบกลับไปที่ตำหนักชางอู๋เข้าไปหาอันหร่วน 

 

 

ภายในห้องซูเม่ยยืนสงบนิ่ง พอมองดูสีพระพักตร์ที่ยังคงเย็นชาดั่งเดิมของฝ่าบาท ก็เปิดหัวข้อสนทนาอย่างตรงๆ ว่า ” ฝ่าบาท เป็นข้าที่พาอาหลันไปเอง พระองค์ทรงกักบริเวณนางเพื่ออะไร? “ 

 

 

” เจ้าว่าไงล่ะ? ” จีเฉวียนเงยพระพักตร์ หรี่พระเนตรมอง ท่าทางเช่นนั้นยังดูเป็นจิ้งจอกเสียยิ่งกว่าซูเม่ยอีก 

 

 

” ข้ายอมรับ ข้าชอบอาหลัน อยากจะอยู่กับนางตลอดเวลา ” ซูเม่ยหงายไพ่กล่าวกับเขา ” พูดกันตรงๆ เลยก็แล้วกัน ตอนนั้นที่ข้าเข้าวังมาเป็นพระสนม ทั้งหมดก็เพื่ออาหลัน” 

 

 

เขายืนตัวตรงดุจพู่กัน ท่าทางไม่มีกลัวตาย 

 

 

” หืม? ” จีเฉวียนทรงปิดหนังสือฎีกา สายพระเนตรหงส์จดจ้องไปยังเขา ” ดังนั้นละ? “ 

 

 

ความนิ่งเงียบของจีเฉวียนนับว่าอยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาไปบ้าง 

 

 

ซูเม่ยขมวดคิ้วถามเบาๆ ว่า “ดังนั้นอะไร? “ 

 

 

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตอบคำถามนั้นว่า ” ดังนั้น ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงรังแกอาหลัน ไม่ว่าเป็นเรื่องใดข้าก็สามารถยอมทำแทนนางได้ และยินดีจะทำแทนนาง “ 

 

 

พอเขาพูดออกไปแล้ว สีพระพักตร์ของจีเฉวียนก็ยิ่งเย็นชากว่าเดิม 

 

 

” เจ้าจะยอมรับแทนนาง? ” จีเฉวียนประทับนั่งให้ตรง พระสุรเสียงก็ยิ่งทียิ่งต่ำลง 

 

 

” ชีวิตของข้านี้สามารถมอบออกไปเพื่อนาง ฝ่าบาทจะว่าอย่างไร? ” ซูเม่ยถึงขนาดคุกเข่าลงแล้วหมอบลงไปที่เบื้องพระพักตร์ สายตาของเขามีแต่ความมุ่งมั่น ” ในชีวิตนี้ ข้าชอบแต่นางเพียงผู้เดียว ต่อให้ต้องฝ่าภูเขาดาบ ข้ามทะเลเพลิง ถึงตายก็ไม่หวั่นไหว! “ 

 

 

จีเฉวียนทรงได้ฟังแล้ว ก็พระสรวลออกมา ” ความสามารถมีไม่มาก แต่ปากกลับกล่าวได้อย่างเต็มที่” 

 

 

พระองค์ถอนพระทัยเสียงเย็นคำหนึ่ง ” ซูเม่ย อย่าได้ลืมเสีย ตอนนี้เจ้าเป็นหวงกุ้ยเฟยของเรา เป็นว่าที่มารดาขององค์ชายใหญ่ “ 

 

 

” เจ้าสามารถลำพองเอาแต่ใจ แต่อย่าได้ลืมว่าในบ้านยังมีบิดามารดา ทุกวันนี้พวกเขามีเจ้าเป็นบุตรโทน เจ้าจะเอาชีวิตที่ไหนไปถวายไทเฮากัน? “ 

 

 

ประโยคเดียวของจีเฉวียน ทำเอาซูเม่ยถึงกับนิ่งงันอยู่กับที่ไป 

 

 

แต่แล้วดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นก็ฉุกประกายเย็นวาบขึ้นมา ” ข้าชอบอาหลันก็เป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวกับคนในครอบครัว บิดาของข้ายอมลำบากตรากตรำเพื่อฝ่าบาท ตามเหตุผลแล้วฝ่าบาทย่อมไม่มีทางไร้น้ำพระทัย ทำร้ายคนในครอบครัวของข้า “ 

 

 

” เราย่อมไม่ไปแตะต้องบิดามารดาของเจ้า แต่เจ้าเป็นบุตรโทนหากว่าเกิดตายไป เจ้าคิดว่าหย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยาจะอยู่ต่อไปได้? “ 

 

 

หัวใจของซูเม่ยเย็นวาบขึ้นมา ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาเขาล้วนไม่เชื่อฟังโอวาท แต่จะอย่างไรก็เข้าใจดีมาตลอดว่าบิดามารดารักใคร่เขาถึงเพียงไร หากว่าเขาตายไป บิดามารดาคงแทบจะเสียสติ 

 

 

เขาเหยียดหลังขึ้นตั้งตรง ดวงตาจิ้งจอกคู่นั้นจดจ้องดวงเนตรหงส์ของจีเฉวียน โดยปราศจากความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ” ฝ่าบาททรงดำริเอาไว้อย่างรอบคอบ หรือจะเป็นเพราะว่า ในพระทัยของพระองค์มีอาหลันอยู่ ถึงไม่อาจยอมให้ข้ากับนางได้ใกล้ชิดกัน? “ 

 

 

คำพูดนี้เขาก็เคยเอ่ยขึ้นมาก่อน แต่ว่าก่อนหน้านี้ฝ่าบาทมิได้ทรงยอมรับ แต่การที่พระองค์ไม่ทรงยอมรับมิได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้ 

 

 

จีเฉวียนถูกคำพูดนี้กระเทือนถึงความในพระทัยก็จริง แต่สีพระพักตร์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง 

 

 

” ฝ่าบาทมีพระประสงค์จะแยกข้ากับอาหลัน กลับไม่ทรงใส่พระทัยระมัดระวังคนข้างพระองค์ ทุกวันนี้เมืองหลวงไร้ความสงบ กระทั่งองค์หญิงใหญ่ยังมีคนกล้าแตะต้อง ไม่แน่ว่าอีกไม่นาน กระทั่งพระองค์เองก็อาจถูกคนโยกคลอนเข้าสักวัน “ 

 

 

ซูเม่ยกล่าวจบ ก็เหลือบตามองออกไปที่นอกประตู ” ท่านผู้เฒ่าตู๋กูรบชนะแดนเป่ยเจียงไปกว่าครึ่งแล้ว การจะได้ดินแดนเป่ยเจียงมาทั้งหมดเป็นเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น แคว้นต้าโจวนับว่าอยู่ในอำนาจของเขาตั้งแต่แรก ฝ่าบาททรงเป็นผู้นำที่มีปณิธานยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นจะต้องเสียเวลาสิ้นเปลืองพระดำริไปกับเรื่องของหนุ่มสาว” 

 

 

” มิสู้ทรงสนับสนุนข้ากับอาหลัน แล้วตั้งพระทัยมุ่งมั่นในราชกิจ เช่นนี้พระองค์ย่อมทรงไร้ซึ่งจุดอ่อนใดๆ ในชีวิตอีกแล้ว” 

 

 

จีเฉวียน ” หึๆๆ ฝันหวานไปเถอะ ” ผู้ที่ไร้จุดอ่อนชีวิตมิอาจสมบูรณ์พร้อมไปได้ 

 

 

พระองค์เป็นฮ่องเต้ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นมนุษย์ เป็นคนที่มีเลือดเนื้อมีหัวใจ 

 

 

ซูเม่ย “…….”.. 

 

 

” ไสหัวกลับไปเป็นหวงกุ้ยเฟยของเจ้าเสีย” 

 

 

” ฝ่าบาท ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงเป็นฮ่องเต้เป็นโอรสสวรรค์ แต่ว่าเรื่องของอาหลัน ข้าจะไม่ยอมถอยเด็ดขาด! ” ซูเม่ยไม่ยอมถอย หากเขาจะแย่งชิงอาหลันกับพระองค์ ตนเองยอมต้องมีไพ่ตายอยู่อีกบ้าง 

 

 

จีเฉวียนสาดสายพระเนตรเย็นไปยังเขา ” คนที่เราหมายตา ผู้อื่นย่อมไม่อาจแย่งชิงได้ตลอดกาล ซูเม่ย ความสามารถของเจ้ายังไม่พอ “ 

 

 

ซูเม่ยตกตะลึงไป……..ดู! …….ในที่สุดเขาก็ยอมรับแล้วว่า……ถูกใจอาหลัน! 

 

 

 

 

 

………………………… 

 

 

ตำหนักชางอู๋ อันหว่านจือไปกระเง้ากระงอดร่ำร้องกับอันหร่วนอยู่นานแล้ว 

 

 

” ท่านย่า ข้าถวายการรับใช่ฝ่าบาทมาก็ตั้งนานแล้ว แต่ว่าพระองค์กลับไม่ทรงแลมองดูข้าตรงๆ เลยสักครั้ง หากปล่อยไปอย่างนี้ เมื่อไหร่ข้าถึงจะได้เป็นพระสนมกัน? “ 

 

 

น้ำตาของนางรินไหลอย่างไม่คิดชีวิต 

 

 

” ทุกวันนี้ในพระทัยของพระองค์มีแต่ซูเม่ย ซูเม่ยนั่นก็เป็นนางจิ้งจอกแท้ๆ ฝ่าบาทถูกมันยั่วจนหลง ไม่สนใจข้าเลยสักนิด” 

 

 

อันหร่วนนั่งคุกเข่าอยู่ที่เบื้องหน้าพระพุทธรูป สวดเม็ดประคำในมือเสียงเบาๆ 

 

 

ในใจของนางตอนนี้คิดแต่จะสืบเสาะทราบให้จงได้ว่าสตรีใต้หน้ากากผู้นั้นคือใครกัน จากความเห็นที่ได้รับมาของเฮยโยว (黑幽= ความเงียบงันอันดำมืด) ในร่างของสตรีที่สวมหน้ากากผู้นั้นมีกลิ่นอายของหยกสรรพชีวิต 

 

 

นี่เป็นการค้นพบที่น่าแปลกประหลาดนัก 

 

 

นายท่านติดตามรวบรวมเศษเสี้ยวของหยกสรรพชีวิตนี้มาโดยตลอด ถึงวันนี้ก็สามารถรวบรวมมาได้เกือบครึ่งชิ้นแล้ว คิดไม่ถึงว่า ในร่างของสตรีในเมืองหลวง จะมีกลิ่นไอของหยกสรรพชีวิตที่เข้มข้นอยู่ 

 

 

อีกทั้งยังมีความสามารถที่จะต่อสู้กับเฮยโยวที่เป็นศพคืนชีพกลายร่างไปแล้วได้ด้วย 

 

 

เป็นผู้ใดกัน? 

 

 

หลายวันนี้ เฮยโยวและพวกกำลังตามหาเบาะแสของสตรีผู้นั้น แต่กลับไม่พบสิ่งใดเลยสักนิด 

 

 

พอตอนนี้ต้องมาทนฟังเสียงคร่ำครวญของอันหว่าจรือ ในใจของนางก็ขุ่นข้องรำคาญนัก 

 

 

” ท่านย่า ท่านพูดอะไรสักอย่างสิ! ” อันหว่านจือร้อนใจใหญ่แล้ว ” หากปล่อยไปอย่างนี้ วังหลังทั้งหมดก็คงกลายเป็นสรวงสวรรค์ของซูเม่ยไปแล้ว ขนาดตอนนี้นางยังไม่ยอมละเว้นข้าเลยสักนิด ภายหน้าไม่แน่ว่าอาจจะไล่ข้าออกจากวังไปก็ได้นะ “ 

 

 

อันหร่วนยังคงสวดประคำในมือต่อไป จิตใจของนางเคร่งเครียด รอยยับย่นบนใบหน้าก็ยิ่งลึก ” ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ยิ่งต้องชิงตั้งครรภ์ให้ได้ก่อนซูเม่ย ขอเพียงแค่เจ้าคลอดองค์ชายใหญ่ออกมา วังหลังย่อมจะต้องเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว” 

 

 

เดิมทีนางคิดจะให้หว่านจรือใกล้ชิดจนเกิดความผูกพันทางใจขึ้นมา อาศัยรูปลักษณ์ของหว่านจรือที่คล้ายคลึงกับฉางซุนฮองเฮาอยู่สามส่วน บวกกับการรับใช้ใกล้ชิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นางก็คิดว่าไม่ช้าไม่นานฝ่าบาทจะต้องทรงรักหว่านจรือเข้าสักวัน 

 

 

แต่ว่าดูท่านางจะประเมินน้ำพระทัยของฝ่าบาทต่ำไปแล้ว 

 

 

อันหว่านจือได้ฟังแล้ว ดวงตาคู่นั้นก็ทอประกายขึ้นมา ” ตั้งครรภ์? ท่านย่า ข้าจะไปเอาความสามารถมาจากที่ไหนกัน …..ฝ่าบาท อย่าว่าแต่สัมผัสข้าเลย แม้แต่มองก็ยังไม่ทรงยอมมองข้า” 

 

 

ใบหน้าที่ยับย่นของอันหร่วนปรากฎรอยยิ้ม ” เจ้าคอยถวายพระสุธารสให้กับฝ่าบาทอยู่ทุกวันยังจะไม่มีโอกาสอีกหรือ? “ 

 

 

พูดแล้ว นางก็ล้วงเอาขวดยาสีอ่อนออกมาใบหนึ่ง 

 

 

” นี่เป็นยาเสน่ห์ ไร้สีไร้กลิ่น แม้แต่พวกหมอก็ไม่มีทางตรวจออกได้ ขอเพียงฝ่าบามทรงดื่มลงไป ย่อมต้องบังเกิดความต้องการขึ้นมา ” อันหร่วนพูดแล้ว ก็ส่งยาขวดนั้นให้กับอันหว่านจือ 

 

 

จากนั้นก็ดึงฝ่ามือของอันหว่านจือเข้ามาพลางกล่าวว่า ” ถึงตอนนั้นในสายพระเนตรของพระองค์ เจ้าก็จะกลายเป็นคนที่พระองค์ทรงปรารถนาที่สุด “