ตอนที่ 172 สายพระเนตรของฝ่าบาทเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาแล้ว

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ดูท่านางคงจะประเมินจีเฉวียนต่ำไปเสียแล้ว เพียงแค่ความเร็วขนาดนี้ วรยุทธ์ของเขาไหนเลยจะเป็นแค่พี่ชายที่อ่อนแอคนหนึ่งได้ มีแต่จะต้อง…….แข็งแกร่งอย่างยิ่ง 

 

 

เพียงแต่ว่ายามปกติไม่เคยเห็นเขาแสดงออกมาเลยสักน้อย อืม เก็บซ่อนได้ดีมาก 

 

 

 

 

 

หากไม่ใช่เพราะว่าอีกนิดเดียวก็จะถูกท่านราชครูจับได้แบบคาหนังคาเขา เกรงว่าเขาก็คงจะยังปิดบังต่อไป 

 

 

พระตำหนักตี้หัวกับตำหนักเฟิ่งหมิงห่างกันไม่ใช่ระยะทางใกล้ๆ แต่เขาใช่เวลาเพียงครู่เดียวก็พานางกลับมาถึงได้แล้ว 

 

 

ท้องฟ้ายังคงมืดอยู่ กระทั่งนกกระจอกยังคงหลับอยู่ในรังบนต้นไห่ถาง มันเพียงรู้สึกว่าข้างกายมีเสียงขยับ บางสิ่งก็ผ่านไปแล้ว 

 

 

มันยืดคอน้อยๆ ขึ้นมามองหาในทันที มองไปมองมาหาอย่างไรก็ไม่พบเจออะไร จึงมุดกลับไปซุกตัวกลมเหมือนเดิม ค่อยผลอยหลับไปอีก 

 

 

จีเฉวียนอุ้มตู๋กูซิงหลันกลับมาที่ห้องของนาง วางลงบนเตียงนอน 

 

 

” ฝ่าบาทเกรงว่าท่านราชครูจะพบเห็นถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ” ตู๋กูซิงหลันซุกตัวลงไปในผ้าห่ม ยามเช้าในฤดูหนาวช่างทรมานผู้คน 

 

 

เห็นสีพระพักตร์ของเขาเคร่งเครียด คงเกรงว่าท่านราชครูจะเข้าใจผิดขึ้นมาละมั้ง 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าเขาทำตัวประหลาดอยู่บ้าง ทางหนึ่งชอบท่านราชครู ทางหนึ่งโปรดปรานเสี่ยวซูเฟย 

 

 

อย่างที่เขาว่าพระทัยของฮ่องเต้มีแต่ความรักเผื่อแผ่ไปทั่วละมั้ง? 

 

 

จีเฉวียนไม่ได้ตรัสว่ากระไร เพียงแต่เสด็จไปยังบานหน้าต่างเปิดออกมุมหนึ่ง ทอดพระเนตรมองยังต้นไห่ถางที่ยังคงมีหิมะเกาะอยู่เต็มภายในตำหนัก 

 

 

” นับแต่วันนี้เป็นต้นไป หากไม่มีคำอนุญาตจากเรา เจ้าไม่อาจออกจากตำหนักเฟิ่งหมิงด้วยตนเอง” ครู่ต่อมาพระองค์ค่อยตรัสเสริม ขณะหันพระพักตร์กลับมา ก็ทอดพระเนตรมองดูนางด้วยสายพระเนตรลึกล้ำ 

 

 

” หากว่ายังไม่ฟังคำอีก ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะส่งเจ้าไปอยู่กับโยวหนิง “ 

 

 

ไม่ได้ยินชื่อของเต๋อเฟยมานานแล้ว แต่พอได้ยินพระองค์ตรัสจากพระโอษฐ์ ทำให้นางอยู่ๆ ก็รู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมา 

 

 

ตรัสแล้วจีเฉวียนก็หันไปทอดพระเนตรเจ้าไก่ขนดำตัวฟูที่อยู่ใต้ต้นไม้ในสวน พอนึกถึงอาการบาดเจ็บของนาง ก็ยิ่งเกิดความคิดจะเอาเจ้าไก่นั้นมาตุ๋นน้ำแกงขึ้นมา 

 

 

เจ้าไก่ตัวนั้นจะต้องมีรสชาติดีกว่าน้ำแกงแม่ไก่แก่ตุ๋นมากมายเป็นแน่ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองดูเงาหลังของพระองค์ อยู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าบนร่างของเขากำลังเกิดไอสังหาร 

 

 

หากว่านางยังคงออกไปวิ่งวุ่นวายอยู่ภายนอก จีเฉวียนคงจะต้องแขวนศีรษะของนางเอาไว้บนกำแพงเมืองคอยต้อนรับผู้คนเป็นแน่ 

 

 

พอนางตัดสินใจได้แล้วก็ลูบคอเบาๆ กล่าวออกมาคำหนึ่ง ” รู้แล้วเพคะ “ 

 

 

อย่างไรเสียในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ร่างกายจำเป็นจะต้องพักรักษาตัว นางเองก็ไม่ได้อยากจะไปเสียเวลาคิดให้วุ่นวาย 

 

 

ฮ่องเต้ทรงได้ฟังแล้ว สายพระเนตรก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่นไปชั่วขณะ ตรัสเสียงเบาคำหนึ่งว่า ” เชื่อฟังก็ดี” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน ไม่ทันได้ยินชัดเจน พระองค์ก็พลิกร่างออกจากหน้าต่างไปแล้ว ตู๋กูซิงหลันเพียงแต่มองเห็นชายผ้าพลิ้วผ่านหน้าต่างออกไป เขาก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว 

 

 

นางพิงร่างกับเบาะนุ่มบนเตียง ครุ่นคิดว่าต่อไปคงจะต้องยิ่งระมัดระวังฮ่องเต้องค์นี้ให้มากกว่าเดิม 

 

 

นางไม่เข้าใจเขาเลยแม้แต่น้อย และไม่รู้ว่าในร่างของเขามีความลับอันใดที่ทำให้คนประหลาดใจซุกซ่อนอยู่ 

 

 

แต่ว่าศพคืนชีพที่กลายเป็นตัวประหลาดผู้นั้น และยังมีอันหว่านจืออีกคน นางจะต้องสืบออกมาให้ชัดเจน 

 

 

 

 

 

…………………………………………………. 

 

 

ตู๋กูซิงหลันสะลึมสะลือจนหลับไปอีกรอบหนึ่ง พอนางตื่นขึ้นมา เชียนเชียนก็เอาดอกไห่ถางที่พึ่งเด็ดใหม่เข้ามา 

 

 

” นายหญิงเจ้าคะ เมื่อครู่หลี่กงกงแวะมารอบหนึ่ง บอกว่าฝ่าบาททรงมีสิ่งของประทานให้ท่าน” เชียนเชียนพูดพลาง ก็ชี้ไปยังกล่องไม้ที่อยู่บนโต๊ะ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันสั่งให้นางเปิดออกดู ก็เห็นว่าเป็นเตาอุ่นมือที่ทำจากทองคำและประดับด้วยทับทิม เป็นชิ้นที่อันหว่านจือถวายแก่ฝ่าบาทนั้นเอง 

 

 

” นายหญิงท่านเกรงกลัวความหนาวหรือเจ้าคะ? ทำไมฝ่าบาทถึงประทานสิ่งนี้ให้กับท่าน? ” เชียนเชียนโคลงศีรษะอย่างสงสัย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน สิ่งของของอันหว่านจือ ทำไมฝ่าบาทถึงต้องยกให้นาง? 

 

 

ของที่เป็นเหมือนเผือกร้อนเช่นนี้อย่าได้เก็บเอาไว้นานจะดีกว่า 

 

 

” จริงสิเจ้าคะ หลี่กงกงยังส่งโจ๊กกุ้ง ซุปไก่และผลไม้หายากมาด้วย ทั้งหมดล้วนวางอยู่ในห้องข้างๆ นายหญิงตื่นแล้วก็รับประทานสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันถูกจีเฉวียนข่มขู่จนเคยชินเสียแล้ว อยู่ๆ ก็มาเปลี่ยนไปเช่นนี้ทำเอานางรู้สึกไม่คุ้นเคยขึ้นมา 

 

 

เดี๋ยวก่อน ซุปไก่หรือ? 

 

 

นางลงจากเตียงอย่างรีบร้อน อาศัยฝีเท้าที่ยังคงอ่อนล้าเดินไปที่ข้างเตียง มองออกไปในสวนกลับไม่เห็นเจ้าไก่ขนฟูตัวนั้นเลยแม้แต่เงา 

 

 

” เจ้าติ๊งต๊องละ? “ 

 

 

” เมื่อวานยังเห็นหาหนอนกินอยู่ในสวนเลยเจ้าค่ะ ” เชียนเชียนโยกศีรษะไปมา ” เอ๋? ทำไมถึงไม่เจอแล้วนะ แปลกจริงๆ “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรีบฉวยเสื้อคลุมมาคลุมลงบนตัว เดินออกไปที่ห้องข้างๆ 

 

 

บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหาร ไก่ตุ๋นชามนั้นยังมีควันร้อนฉุยขึ้นมาอยู่เลย เนื้อไก่ถูกตุ๋นจนเปื่อยยุ่ย ตู๋กูซิงหลันอดที่จะคิดถึงภาพเจ้าติ๊งต๊องถูกเชือดอย่างอนาถไม่ได้ 

 

 

แต่ประเด็นสำคัญคือ…….ไก่ตุ๋นนั้นหอมมาก 

 

 

เชียนเชียนรีบตักมาให้นางชามหนึ่ง ซุปไก่นี้ถูกตุ๋นอย่างใส่ใจ น้ำมันลอยถูกตักทิ้งไปหมด แล้วเติมถั่งเช่าลงไป นี่เป็นของบำรุงที่ดีนัก ดูแล้วไม่เลี่ยนเลยสักนิด 

 

 

ตู๋กูซิงหลันดื่มลงไปทั้งน้ำตาชามหนึ่ง พอหมดชามก็รู้สึกว่ากระตุ้นกระเพาะอาหารดีมาก จึงดื่มอีกชาม 

 

 

วิญญาณทมิฬหมอบดูอยู่บนบ่าของนาง อดรู้สึกไม่ได้ว่าตนเองอย่าได้เปลี่ยนเป็นร่างเนื้อจะดีกว่า ไม่งั้นมีหวังเพียงพริบตาเดียวก็อาจจะกลายเป็นน้ำแกงในหม้อได้ 

 

 

หลังจากนั้นผู้หญิงบางคนก็คงจะกินมันลงไปทั้งน้ำตา 

 

 

……………………………………. 

 

 

ข่าวที่ฝ่าบาททรงอุ้มซูกุ้ยเฟยเข้าห้องบรรทมและประทานความโปรดปรานอยู่ทั้งคืน ถูกสายสืบของบรรดาพระสนมนำความออกไปเผยแพร่อย่างรวดเร็ว 

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้นในท้องพระโรง ฝ่าบาทก็ทรงลงพระนามในราชโองการแต่งตั้งให้ซูกุ้ยเฟยเป็นหวงกุ้ยเฟย 

 

 

ถึงแม้ว่าจะมีขุนนางบางคนคัดค้าน แต่กลับถูกฝ่าบาทตำหนิกลางท้องพระโรงรอบหนึ่ง คนอื่นๆ จึงไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก 

 

 

กลับเป็นตู๋กูซิงหลันที่พวกเขามองว่าเป็นนางมารมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าไปกระทำสิ่งใดให้ฝ่าบาททรงเคืองพระทัย ถึงได้ทรงมีพระบัญชา ให้กักบริเวณนางเอาไว้แต่ในตำหนักเฟิ่งหมิง 

 

 

ผู้คนทั้งหลายจึงได้เข้าใจขึ้นมาว่า นางมารล่มบ้านล่มเมืองที่ใดกัน ไทเฮาน้อยผู้นั้นที่จริงแล้วไม่ได้รับการจัดอันดับเลยเสียด้วยซ้ำ 

 

 

สุดท้ายแล้วนางก็เป็นเพียงแค่สาวงามที่ไร้สมองคนหนึ่ง ต่อไปก็คงไม่สามารถทำเรื่องใหญ่ใดๆ ได้อีก 

 

 

ดูอย่างซูกุ้ยเฟยเสียยังดีกว่า นางพึ่งจะกลับมาไม่ทันไร ก็สามารถทำให้ฝ่าบาททรงลุ่มหลงจนไม่รู้ทิศรู้ทางได้แล้ว 

 

 

ในวังหลังมีสาวงามมากมายแต่ฝ่าบาทกลับมอบพระทัยให้กับนางแต่เพียงผู้เดียว แม้พระสนมอื่นๆ จะชะแง้หน้าคอยมองสักเท่าใดก็ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากพระองค์ 

 

 

นี่ย่อมจะทำให้เหล่าขุนนางทั้งหลายที่ส่งบุตรสาวเข้าวังไปเกิดความไม่พอใจอยู่แล้ว 

 

 

เช่นนี้แต่ละคนย่อมต้องเทความเกลียดชังลงไปบนซูเม่ย 

 

 

หย่งเฉิงอ๋องเองก็กลายเป็นศัตรูหลักของส่วนรวม มีแต่ฟ้าดินเท่านั้นที่รู้ว่าพระทัยของหย่งเฉิงอ๋องและพระชายานั้นตกอยู่ในความหวาดหวั่นเพียงไร 

 

 

……………….. 

 

 

ซูเม่ยเดินทางไปยังตำหนักเฟิ่งหมิง ที่ด้านนอกมีราชองครักษ์มากมายรอยล้อมอยู่ กองราชองครักษ์ประจำพระองค์ของฝ่าบาทแต่ละคนล้อมตำหนักเฟิ่งหมิงเอาไว้อย่างคึกคักเข้มแข็ง จนแม้แต่ยุงสักตัวยังบินผ่านเข้าไปไม่ได้ 

 

 

เป็นเช่นดังที่ข่าวภายนอกร่ำลือกัน อาหลันถูกคุมขังเอาไว้จริงๆ 

 

 

ครั้งก่อนเป็นเพราะเขาเอาแต่ใจพาตัวนางไป ดังนั้นจึงกระตุ้นพระพิโรธของฝ่าบาทขึ้นมา ไม่รู้ว่าตอนนี้อาหลันอยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิง จะถูกทรมานจนลำบากเพียงไร 

 

 

ซูเม่ยทั้งตำหนิตนเอง ทั้งรู้สึกโกรธแค้นขึ้นมา 

 

 

แต่ว่ายามที่นางเข้าไปในพระตำหนักตี้หัว กลับไม่มีผู้ใดกล้ารั้งตัวนาง 

 

 

ฝ่าบาททรงประทับอยู่ในห้องทรงพระอักษร กำลังอ่านฎีกาต่างๆ อันหว่านจือถวายชาแล้ว ก็คอยรับใช้อยู่ที่ด้านข้าง 

 

 

ฝ่าบาทมิได้ทรงไล่นางออกไป แต่ก็ไม่ได้ทรงสนพระทัยนางเช่นกัน 

 

 

ปล่อยให้นางต้องเฝ้าดูพระองค์กับซูเม่ยใกล้ชิดสนิทสนมกันอยู่ทุกวัน ทุกค่ำคืนก็ร่วมห้อง หัวใจของนางราวกับว่ามีมดนับพันนับหมื่นตัวกำลังไต่ไปมา 

 

 

แม้ว่าท่านย่าจะบอกว่าให้นางอดทนไว้ แต่นางก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว 

 

 

ทุกๆ วันได้แต่เฝ้ามองดูฝ่าบาทผู้ทรงงดงามดุจเทพเซียน หัวใจของนางยิ่งทียิ่งกระเพื่อมไม่ยอมหยุด ได้แต่เกลียดที่ตนเองไม่ใช่ซูเม่ย 

 

 

พอคิดถึงซูเม่ย คนก็เดินเข้ามา 

 

 

ซูเม่ยสวมชุดแดงตลอดร่าง ใบหน้าตกแต่งอย่างปราณีตบรรจง ดูงดงามยั่วยวนราวกับนางมารที่ออกมาจากยมโลก 

 

 

พอเห็นอันหว่านจือนั่งคุกเข่าอยู่ที่ด้านข้างของฝ่าบาท นางก็กล่าวเสียงเยือกเย็นออกไปว่า ” เจ้าออกไปซะ เรามีเรื่องส่วนตัวจะทูลฝ่าบาท”