ภาคที่ 4 บทที่ 30 เข็มขัดอสรพิษหยกเก้าตา

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 30 เข็มขัดอสรพิษหยกเก้าตา

ทุกอย่างเป็นไปตามแผน !

เมื่อซูเฉินได้ยินดังนั้น บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มหนึ่งขึ้น

ใช่แล้ว เขาไม่ได้หวังพึ่งจูเซียนเหยาและพวกให้สังหารข่งเฉิงไปทั้งหมด คนลงมือที่แท้จริงคือเยว่หลงซาต่างหาก หรือก็คือตระกูลจูถูกใช้เป็นแนวหน้าเท่านั้น

ฉีเซินอวิ๋นคงไม่คิดฝันว่ายังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ซ่อนตัวในความมืดเพื่อรอช่วงชิงเอาชีวิตพวกเขา ในระหว่างที่เขากำลังคุ้มครองข่งเฉิงให้ปลอดภัยอยู่อีก

ซึ่งหากอีกฝ่ายหนีไปได้ก็คงแปลกมากแล้ว เพราะพวกเขาถูกลอบโจมตีหลังจากที่ผ่านการต่อสู้ดุเดือดยาวนานมาเช่นนั้น

เยว่หลงซาและลูกน้องจัดการทั้งสองได้ไม่ยาก ทั้งยังพบสิ่งที่ตามหาอีกต่างหาก

“แผนการไปได้สวยก็ดีแล้ว” ซูเฉินตอบเยว่หลงซา

“ขอบคุณที่ช่วยจัดการให้”

“ไม่เป็นไร พวกเราเป็นสหายกันนี่”

“สหาย……”

เสียงจากปลายสายฝั่งเยว่หลงซาเงียบไป

หลายชั่วอึดใจผ่านไปนางจึงเอ่ยตอบ “ใช่ สหาย”

ซูเฉินสัมผัสแววเยือกเย็นในน้ำเสียงนางได้

ดังนั้นซูเฉินจึงเคร่งขรึมเช่นกัน

ผ่านไปชั่วอึดใจหนึ่ง เขาจึงเอ่ยขึ้น “ใช่แล้ว ในเมื่อจัดการเรื่องแล้ว เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อ ?”

“ข้าจะไปและส่งมอบภารกิจเสีย หลังจากนั้นก็จะรอดูว่ามีภารกิจอะไรอีกหรือไม่ พวกข้าเป็นกองกำลังลับนี่นะ หน้าที่ก็คือการสอดส่องตรวจสอบเรื่องที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อแคว้นได้”

“จะว่าไป ข้ามีข้อมูลที่เจ้าอาจสนใจอยู่”

“อะไรหรือ ?”

“จิ้งจอกร้อยเล่ห์ตระกูลจูพยายามแทรกซึมเข้ามายังอาณาจักรหลงซาง นับว่าอาจเป็นข่าวร้าย เจ้าว่าเป็นอย่างไร ? ท่านรองผู้บัญชาการสนใจหรือไม่ ?”

เยว่หลงซาหัวเราะ “อืม เรื่องนั้นข้าก็รู้แล้วว่าช่วงนี้มีตระกูลสายเลือดชั้นสูงจากแคว้นอื่นลอบข้ามพรมแดนแล้วเข้ามาติดต่อกับอีกเผ่าหนึ่ง แล้วก็ไหนจะยังมีพวกเศษเดนขยะอารามนิรันดร์ที่สมคบคิดทำผิดกฎหมายที่ข้าต้องจัดการอีก นี่ยังมีอดีตเจ้ากรมคอยช่วยเหลือพวกมันอยู่ลับ ๆ ด้วยนะ สมรู้ร่วมคิดกับพวกคนชั่ว แต่ละเรื่องต้องสอบสวนให้ดีแล้วรายงานเบื้องบน”

“แค่ก ๆ!” ซูเฉินกระแอมออกมาหลายครั้ง “เจ้าเล่นอย่างนี้ก็ไม่สนุกสิ”

เยว่หลงซาหัวเราะคิก “อย่างไรก็เถอะ แม้ตอนนี้เราจะมีรายชื่อมาแล้ว แต่ก็พบแผนการมันเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น อย่างไรก็ต้องเพียรหาข้อมูลต่อไป คนอื่น ๆ จะกลับไปรายงานภารกิจ ส่วนข้าจะรั้งอยู่ที่นี่เพื่อจับตาดูสถานการณ์”

“……เช่นนั้นดูแลตนเองด้วย” ซูเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยคำออกมา

——————————

วันต่อ ๆ มา ซูเฉินยังพักผ่อนอยู่ในห้องเพื่อให้บาดแผลกลับมาหายดี

หลังจากที่หายดีแล้ว จูเซียนเหยาก็ไม่สงสัยเขาอีก ปล่อยให้เขาเดินเตร่ไปทั่วปราสาทได้ตามใจชอบ

ส่วนเฮ่อซื่อ เพราะยอมเปิดปากบอกข้อมูลเรื่องที่อยู่ออกมา ตอนนี้จึงถูกสอบสวนเพิ่มเติมอีก โชคยังดีที่ได้ซูเฉินคุ้มครองไว้จึงยังรักษาชีวิตไว้ได้

เวลาหมุนเวียนผ่านไป พริบตาเดียว 20 วันก็ผ่านพ้นไปแล้ว

และเมื่อใกล้สิ้นเดือนเข้ามาเรื่อย ๆ จูไป๋อวี่ก็กลับมาในที่สุด

“เป็นอย่างไรบ้าง อาหก ?” จูเซียนเหยาเอ่ยถาม

“ข้าไม่ทำให้คุณหนูต้องผิดหวัง” ว่าแล้วจูไป๋อวี่ก็หยิบของออกมาทีละชิ้น ชิ้นแรกเป็นเข็มขัด ตามมาด้วยม้วนคัมภีร์ ค่ายกลต้นกำเนิด และยา 3 ขวด

“นี่คือเข็มขัดอสรพิษหยกเก้าตา สามารถใส่ผลึกแก้วประเภทพลังจิตเข้าไปได้ ยิ่งเพิ่มชิ้นหนึ่งก็จะเพิ่มพลังจิตชิ้นละ 100 หน่วย น่าเสียดายที่ผลึกแก้วประเภทพลังจิตนั้นหายาก ถึงตอนนี้ข้าหาได้เพียง 3 เม็ด ส่วนม้วนนี่คือคัมภีร์วิญญาณพรั่งพรูที่สามารถเพิ่มพลังจิตได้ราว 200 หน่วย แต่ใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้น แผ่นรูปแบบต้นกำเนิดนี่คือแผ่นขยายจิต สามารถเพิ่มพลังจิตได้ 100 หน่วย ใช้ได้ทั้งหมด 3 ครั้ง ส่วนยานี่คือโอสถปลุกวิญญาณ 3 ขวด โชคดีที่ 2 ปีมานี้มีการผลิตเพิ่มขึ้น ดังนั้นราคาจึงลดลงบ้าง ไม่เช่นนั้นข้าก็คงไม่ได้มาโดยง่ายเช่นนี้”

เมื่อซูเฉินได้ยินดังนั้นก็นิ่งไป เพราะหากอยากได้โอสถปลุกวิญญาณ ข้ามีอยู่มากมายเต็มไปหมดเลย !

ของที่มีมูลค่าที่สุดที่จูไป๋อวี่นำมา เห็นจะเป็นเข็มขัดอสรพิษหยกเก้าตา แม้ตัวมันเองจะไม่มีพลังมากมายนัก แต่ความสามารถในการฝังผลึกแก้วประเภทพลังจิตลงไปได้ทำให้มันไม่ธรรมดา การฝังผลึกแก้วประเภทพลังจิตสักหนึ่งหรือสองเม็ดนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะฝังลงไปหลาย ๆ เม็ดแล้วกันไม่ให้พลังมันตีกันเองนั้นยากมาก ความสามารถในการเกลี่ยพลังของเจ้าเข็มขัดนี่มีอยู่สูงไม่น้อย ซูเฉินมองหาของที่มีช่องใส่ผลึกแก้วต้นกำเนิดมานานแล้ว แต่คิดเลยว่าจูไป๋อวี่จะหามันเจอ

หากจูไป๋อวี่บอกว่าซื้อของทั้งหมดมา ซูเฉินก็คงไม่เชื่อสักนิด แม้อีกฝ่ายจะยังมีท่าทางสง่างาม บนร่างไร้รอยเลือด แต่เขาก็ยังได้กลิ่นเลือดมากมายโชยออกจากร่างจูไป๋อวี่

เดินทางครั้งนี้เขาคงสังหารคนไปไม่น้อย

“ในเมื่อสมบัติเป็นของเราแล้ว บอกทุกคนให้เตรียมออกหาคลังสมบัติลับได้” จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงตื่นเต้น

“รอเดี๋ยว” ซูเฉินเอ่ยขึ้น

“อะไรหรือ ?”

ซูเฉินถามขึ้น “เหยาเหยา เจ้าคิดจะใช้ของพวกนี้กับใคร ?”

“ก็ต้องข้าสิ” จูเซียนเหยาถามพร้อมสายตาแปลก ๆ “ยังมีใครที่มีพลังจิตแกร่งกว่าข้าอีกหรือ ?”

“เรื่องนี้……” ซูเฉินเกาท้ายทอยตน “จริง ๆ แล้วยังมีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่เคยบอกเจ้ามาก่อน”

“อะไร ?”

“พลังจิตของข้าสูงถึงขั้นที่สามารถส่งอิทธิพลต่อสิ่งของที่จับต้องได้แล้ว” ซูเฉินคิดครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้นมา

“เจ้าว่าอะไรนะ ?” จูเซียนเหยาจ้องซูเฉินไม่อยากเชื่อสายตา

ซูเฉินไม่เสียเวลาอธิบาย เปิดใช้พลังงานจิตทันที เมื่อมันเริ่มแผ่ขยายออกไป ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงลมเบาหอบหนึ่งพัดหวิวผ่านไป ในขณะที่ของที่เบาหน่อยเช่นกระดาษก็ปลิวว่อนอยู่ในห้อง

นี่คือผลเมื่อพลังจิตบรรลุถึงขั้นหนึ่ง นั่นคือจะสามารถมีผลต่อวัตถุทางกายภาพได้

แท้จริงแล้วพลังจิตนั้นมีผลต่อวัตถุจับต้องได้อยู่ตลอด เพียงแต่มันไม่เหมือนกับพลังงานอื่น ๆ พลังจิตในขั้นเริ่มแรกนั้นจะเริ่มจากระดับจุลภาคก่อน อาทิเช่น ซูเฉินสามารถใช้เส้นสายพลังจิตเพื่อเชื่อมสสารก่อกำเนิดที่เผ่าวิญญาณคิดค้นขึ้นได้ เพราะพลังจิตของเขาในตอนนั้นมีอำนาจส่งผลถึงของในระดับจุลภาคเท่านั้น

แต่เมื่อพลังจิตเขาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ความสามารถในการส่งอิทธิพลต่อโลกระดับมหภาคก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน

เผ่าวิญญาณนั้น หลังจากมีร่างวิญญาณแล้ว จะมีพลังจิตอยู่ประมาณพันหน่วย พวกเขาสามารถใช้พลังจิตเพื่อแทรกแซงความเป็นจริง ควบคุมพลังต้นกำเนิด และทำอื่นๆ อีกมากได้

พลังงานจิตของซูเฉินในตอนนี้มีเพียง 400 กว่าหน่วยเท่านั้น แต่เขาก็สามารถแทรกแซงโลกจริงได้แล้ว หากต้องการ เขายังสามารถใช้มันเคลื่อนย้ายไม้ชิ้นเล็ก ๆ ไปมาได้ด้วย แต่แน่นอนว่าเขาย่อมเก็บความสามารถนั้นไว้เป็นความลับ ตอนนี้เขาแสดงเพียงพลังจิตประมาณสามร้อยหน่วยเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงทำได้ ‘เพียง’ เป่าลมใส่กระดาษให้บินไป

แต่เท่านี้ก็ทำให้ทุกคนตกตะลึงไปได้แล้ว

“ถึงระดับที่สามารถใช้พลังจิตส่งผลต่อโลกจริงได้แล้วหรือ ? เจ้าทำได้อย่างไร ?” จูเซียนเหยาจ้องเขาด้วยความตกตะลึง

“จริง ๆ แล้วข้าฝึกวิชาที่ช่วยเพิ่มพลังจิตมาโดยตลอด เจ้าก็รู้ว่าก่อนสายเลือดมังกรกุนจะตื่นขึ้น พวกเราจะอ่อนแอมาก และเพื่อให้สายเลือดตื่นเร็วยิ่งขึ้น ข้าก็ต้องกินต้องนอนมาก ๆ จะบ่มเพาะพลังมากไม่ได้ หากแต่สิ่งที่ทำได้คือการฝึกพลังจิต” ซูเฉินตอบ

ซูเฉินไม่ได้พูดโกหก ตระกูลมังกรกุนนั้นมีวิชาประเภทจิตอยู่บ้าง ดังนั้นยามที่อยู่ในช่วงอ่อนแอจะได้ไม่เสียเวลาบ่มเพาะพลังไปเปล่าประโยชน์ หากแต่วิชาบ่มเพาะพลังจิตของพวกเขานั้น แกร่งได้ไม่ถึงครึ่งของเคล็ดวิชาจิตแท้ของซูเฉิน ด้วยอย่างไรเสีย เผ่าอาร์คาน่าก็นับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพลังจิตโดยแท้ อีกทั้งวิถีการใช้เงินของซูเฉินก็ยังทำให้เขาสามารถใช้โอสถปลุกวิญญาณมาเพิ่มพลังจิตอีก ซึ่งในจุดนี้กระทั่งตระกูลจักรพรรดิอสูรยังไม่อาจทำเช่นนั้นได้ !

แม้พลังจิตของโหยวเทียนหย่างจะมีมากกว่าคนทั่วไปอยู่เล็กน้อย แต่ก็ห่างไกลกับระดับที่ซูเฉินกำลังแสดงอยู่ในตอนนี้มาก หากแต่ในตอนนี้ซูเฉินคือโหยวเทียนหย่าง พูดอย่างไรก็คงต้องเป็นไปตามนั้น

แต่แม้เขาจะมีข้ออ้างอย่างไร การกระทำของเขาก็ยังนับว่าเสี่ยงมากอยู่ดี

แต่เขาถูกบีบให้ต้องทำเช่นนั้น

เพราะมีแต่ทางนี้เท่านั้นเขาจึงจะมีโอกาสควบคุมคลังสมบัติลับและเป็นคนที่ได้ลงมือก่อน !