บทที่ 29 เป็นไปตามแผน
ตื่นขึ้นมาอีกที เวลาก็ผ่านไป 3 วันแล้ว
ซูเฉินยกศีรษะขึ้นมาเพื่อดูบาดแผลตนเอง ก่อนพบว่าแผลปิดแทบจะสมบูรณ์หมดแล้ว
ซูเฉินค่อย ๆ ยันผนังเพื่อลุกขึ้นนั่ง
“อย่าขยับ !”
เสียงจูเซียนเหยาร้องขึ้นจากด้านหลัง
นางรีบเดินเข้ามาหา “แผลเจ้าสาหัสไม่น้อย เจ้านอนลงก่อนเถอะ”
พูดจบนางก็ผลักร่างเขานอนลงดังเดิม
ซูเฉินเอ่ยเสียงแห้ง “แผลข้าเกือบหายแล้ว”
เขาพูดจริง ที่เขาสลบไปก็เป็นเพราะยา ไม่ใช่เพราะบาดแผล แม้เยี่ยเม่ยจะแทงลึกไม่เบา แต่นางก็หลบไม่ให้โดนจุดสำคัญ ดังนั้นเขาจึงฟื้นตัวรวดเร็วมาก จริง ๆ แล้วเขายังต้องใช้ยาเพื่อชะลอการฟื้นตัวของบาดแผลและเพื่อทำให้เขาหมดสติไปด้วยซ้ำ
“ไม่ต้องมาปลอบข้าเลย ผู้เฒ่าเหยี่ยมาดูอาการเจ้าแล้ว ถึงดาบจะไม่ถูกจุดสำคัญ แต่ปราณดาบที่ทะลวงเข้าร่างก็น่ากลัวนัก ทะลวงไปทั่วร่างเจ้า หากไม่ได้พลังจากสายเลือดมังกรกุนและยาประหลาดที่เจ้ากินเข้าไป เจ้าก็คงไม่รอดแล้ว”
“แต่ตอนนี้ปราณดาบก็สลายไปหมดแล้ว หากไม่เชื่อก็ลองดูสิ” ซูเฉินพูดจบก็คว้ามือจูเซียนเหยามาวางบนอกตนเอง
ตอนลงมือเขาเองไม่ได้คิดอะไร หากแต่จูเซียนเหยาพลันหน้าแดงฉ่า ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่าท่าทีเมื่อครู่ออกจะผลีผลามไปบ้าง ดังนั้นจึงปล่อยมือนางทันที
น่าแปลกที่จูเซียนเหยายังไม่เก็บมือกลับ นางวางไว้บนอกเขาเช่นนั้น สัมผัสจังหวะการเต้นของหัวใจต่อไป
ทั้งสองคนนิ่งงันอยู่เช่นนั้นชั่วอึดใจหนึ่ง
เวลาผ่านไปนาน จูเซียนเหยาก็เหมือนจะตกใจแล้วดึงมืองามดั่งหยกออก
“อ้อ” จูเซียนเหยาเอ่ยเสียงเบา “มัน…. ไม่มีปัญหาแล้ว”
“เห็นหรือไม่ ? ข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นไร” ซูเฉินเผยรอยยิ้ม ‘บื้อ’ ออกมา
หากเป็นยามปกติ จูเซียนเหยาก็คงจะมีท่าทีรำคาญยิ้มเช่นนี้
แต่ไม่คาดคิดเลยว่านางจะยังมองเขาเหม่อลอยเช่นนั้น ดูเหมือนไม่ติดใจอะไร
โอ๊ะโอ
ซูเฉินเริ่มสัมผัสได้ถึงลางกังวลที่ใกล้เข้ามา
เขาได้ยินจูเซียนเหยาเอ่ยขึ้นว่า “เทียนหย่าง เจ้าทำได้ดีมาก”
“อะไรหรือ ?” ซูเฉินไม่เข้าใจ
“รู้หรือไม่ว่าคนที่พยายามลอบสังหารเจ้าเมื่อก่อนหน้านี้คือใคร ?”
“เขาเป็นใครหรือ ?”
“คือเฝิงซีหั่ว !” จูเซียนเหยาเอ่ย “หนึ่งในมือสังหารเลื่องชื่อของอารามนิรันดร์ ทำภารกิจลอบฆ่าสำเร็จมากว่า 37 ครั้ง บางคนอยู่ด่านสู่พิสดารเชียวนะ ! แต่เจ้าไม่เพียงหยุดการสังหารเขาได้ ทั้งยังสังหารเขาเองเสียอีก ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ”
ซูเฉินยังคงยิ้มซื่อบื้อต่อไป แต่กระทั่งยิ้มที่บื้อที่สุดยังดูหล่อเหลาขึ้นมา ดูมีเสน่ห์อ่อนโยนเมื่อเข้าสู่สายตาจูเซียนเหยา
นางจ้องซูเฉินพลางเอ่ย “เจ้าสังหารเฝิงซีหั่วหลังจากที่สายเลือดตื่นขึ้น เป็นหลักฐานว่าเจ้าแกร่งเพียงไหน อีกทั้งเจ้ายังกล้าหาญมาก กระทั่งตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นก็ยังสามารถโจมตีตอบโต้กลับไป เทียนหย่าง เจ้าไม่ใช่คนขี้ขลาด เพียงแต่ปิดบังความสามารถที่แท้จริงไว้ก็เท่านั้น ตัวเจ้าเองยังไม่รู้เลยว่าเจ้าได้แกร่งเพียงไหน”
“อ้อ… นี่ข้า… เก่งขนาดนั้นเชียวหรือ ?” ซูเฉินจ้องจูเซียนเหยาด้วยสายตาแคลงใจ
“ใช่ !” จูเซียนเหยาตอบเสียงเข้ม
“เช่นนั้นก็ได้”
หากเจ้ายังยืนยัน ข้าก็ได้แต่เห็นด้วย
โอ โหยวเทียนหย่างเอ๋ย ดูท่าข้าจะกุมใจนางไว้ให้เจ้าได้แล้วนา ถือเสียว่าเป็นรางวัลที่ถูกจับตัวไปก็แล้วกัน
โหยวเทียนหย่างมีใจให้จูเซียนเหยาเช่นนั้น หากถูกจับตัวไปแล้วส่งผลเช่นนี้ เขาก็คงเต็มใจนัก
แต่แน่นอนว่าเมื่อกลับร่างกันแล้ว เขาก็คงไม่อาจปฏิบัติการเอาชนะใจจูเซียนเหยาต่อได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ซูเฉินต้องกังวลอะไรอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามแต่ ซูเฉินก็ได้กลายเป็นคนในใจของจูเซียนเหยาไปอีกครา
จูเซียนเหยาคงไม่คิดไม่ฝันว่าตัวนางจะตกหลุมรักคนคนเดียวกันได้ถึง 2 ครั้ง
ครั้งแรกที่นางเผลอใจ ความทรงจำทั้งหมดก็ถูกล้างไปแล้ว พอตอนนี้นางตกหลุมรักเขาอีกครา แต่นางไม่รู้เลยว่าคนที่นางชอบ กลับเป็นคนคนเดียวกับคนที่ทำให้นางต้องเจ็บปวดทรมานมาก่อน
บางครั้งโชคชะตาก็ชอบเล่นตลกพิสดารเช่นนี้
ซูเฉินเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะออกมาเป็นเช่นไร เขารู้เพียงว่าความคิดที่จูเซียนเหยามีต่อโหยวเทียนหย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว
“ใช่แล้ว เจ้าบอกว่าคนที่ลอบสังหารข้าคือเฝิงซีหั่วแห่งอารามนิรันดร์งั้นหรือ เช่นนั้นอารามนิรันดร์ก็คงเป็นคนที่เริ่มการลอบสังหารแน่ ดังนั้นก็คงไม่เกี่ยวข้องกับคุณหนูเซียนหลิงน่ะสิ ?” ซูเฉินจงใจถามขึ้น
“อารามนิรันดร์มีส่วนในการลอบสังหารจริง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเซียนหลิงเลย……” จูเซียนเหยาเริ่มนึกย้อนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
หลังจากเค้นเอาที่อยู่จากเฮ่อซื่อมาได้ จูเซียนเหยาก็จัดกำลังคนไปยังที่แห่งนั้นพร้อมกันกับนาง
แน่นอนว่าที่อยู่นั่นเป็นของข่งเฉิง
ข่งเฉิงมีชีวิตอยู่ นับว่าเป็นอุปสรรคต่อฉือหมิงเฟิงและซูเฉินนัก
ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือการยืมมือจูเซียนเหยาสังหารเขาทิ้งเสีย
ซูเฉินและคนอื่น ๆ ไม่กลัวว่าจูเซียนเหยาจะปล่อยอีกฝ่ายไป เพราะเขาก็ไม่ใช่คนตระกูลนางอยู่แล้ว อย่างไรอารามนิรันดร์ก็ยังเป็นคู่แค้นของตระกูลนางไม่เสื่อมคลาย
อีกทั้งฉือหมิงเฟิงยังวางคนไว้ใกล้ตัวข่งเฉิง เมื่อคนผู้นั้นเห็นจูเซียนเหยาและคนอื่น ๆ มาถึง เขาก็รีบลงมือดุดัน สุดท้ายสถานการณ์ก็ปั่นป่วนไปหมด
“เป็นอย่างไรบ้าง ?” ซูเฉินถามขึ้น
“ยังต้องถามอีกหรือ ? เราก็ทำสำเร็จน่ะซี” จูเซียนเหยาตอบเสียงยินดี “ถึงพวกเขาจะมีคนด่านสู่พิสดาร แต่ก็เป็นเลือดผสม มีหรือจะสู้สายเลือดจักรพรรดิอสูรของข้าได้ ? จ้าวจิ่งเหวิน ปาเลี่ยหยวน กับข้า เท่านี้ก็มากพอจะล้มเขาได้แล้ว ยังไม่ต้องกล่าวว่ามีข่าเล่อและลูกน้องฝีมือดีของเขาที่ติดสอยห้อยตามไปด้วยอีกเป็นโขยง”
ดูท่าการที่สตรีจะชอบพูดโอ้อวดต่อหน้าบุรุษที่ชอบจะเป็นความจริงกระมัง
จูเซียนเหยานั้นแข็งแกร่งอยู่แล้ว ส่วนจ้าวจิ่งเหวินและปาเลี่ยหยวนก็ไม่อ่อนแอ หากแต่ซูเฉินก็ยังไม่เชื่อว่าคนทั้งสามจะแกร่งพอรับมือกับฉีเซินอวิ๋นได้ คงจะได้พวกทหารที่พาไปด้วยช่วยเหลือด้วยเป็นแน่
ปัญหาใหญ่ของข่งเฉิงคือการที่เขามีคนไม่มากพอ คนของจูเซียนเหยาและทหารเผ่าเกล็ดทรายนั้นมีจำนวนนับร้อย ข่งเฉิงกับฉีเซินอวิ๋นเพียงสองจะรับมือได้หรือ ?
“หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นอีก ? “ซูเฉินถาม
“หลังจากนั้น ? ก็ฆ่าให้เรียบน่ะสิ !” จูเซียนเหยาว่า แต่เมื่อเห็นหน้าตาไม่อยากเชื่อของซูเฉิน นางก็แลบลิ้นเอ่ยคำ “ก็ได้ ก็มีคน 2 คนที่หนีไปได้”
คนสองคนที่หนีไปได้ ?
ซูเฉินหรี่ตาลง
แต่เขารู้แน่ว่าตนคงไม่ได้รับคำตอบจากจูเซียนเหยา ดังนั้นจึงไม่พูดอะไรอีก ถามขึ้นเพียง “แล้วฝั่งเราเล่า ?”
“ตายไปสี่ ที่น่าเศร้าที่สุดคือหยวนกัง เขามาช้าไปหน่อย แต่เพราะไม่ใช่กองกำลังหลัก จึงไปพบศัตรูเข้าแล้วถูกสังหารทันที น่าสงสารมาก”
ทั้งสองอยู่พูดคุยต่อกันอีกพักใหญ่ ก่อนที่จูเซียนเหยาจะออกไป
ซูเฉินใช้เครื่องมือสื่อสารต้นกำเนิดติดต่อกับฉือหมิงเฟิงก่อนจะพบว่าเป็นข่งเฉิงและฉีเซินอวิ๋นที่หนีไปได้จริง ๆ
ข่งเฉิงหนีไปได้เพราะได้ฉีเซินอวิ๋นคอยคุ้มครอง
แต่เพราะคนตระกูลจูไม่รู้ตัวตนข่งเฉิง พวกเขาจึงไม่คิดอะไรมาก ส่วนฉีเซินอวิ๋นก็ปกป้องข่งเฉิงสุดความสามารถ ทำให้เขามีโอกาสหนีไปได้ ก่อนที่หลังจากนั้น ฉีเซินอวิ๋นจะหนีสุดฝีเท้าเช่นกัน เขามีกำลังเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร แม้อาจไม่ชนะ แต่จะหนีก็ไม่ใช่ปัญหาเช่นกัน
“สุดท้ายก็หนีไปได้หรือ ?”
“อืม ข้าเกรงว่าพวกนั้นจะรู้ว่าเราจัดฉาก ต่อไปอาจเกิดปัญหาได้” น้ำเสียงฉือหมิงเฟิงเจือรอยกังวล
เขาไม่คิดว่าตระกูลจูจะไร้ประโยชน์ถึงขั้นที่ปล่อยให้ข่งเฉิงและฉีเซินอวิ๋นหนีไปทั้งคู่ได้
“ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่ว่าเราตกลงกันไว้นานแล้วหรือ ? ข้าจะออกหน้ารับผิดชอบเอง” ซูเฉินตอบพร้อมรอยยิ้มบาง
“เดิมทีเจ้าคิดว่าตระกูลจูจะเป็นคนรับผิดชอบ” ฉือหมิงเฟิงถอนใจ
“หากพวกเขาตาย ตระกูลจูย่อมเป็นคนผิด”
“แต่พวกเขาไม่”
“ใครจะรู้” ซูเฉินเอ่ยทิ้งท้ายไว้เป็นปริศนา ก่อนจะตัดการติดต่อไป
จากนั้นก็หยิบเครื่องมือสื่อสารต้นกำเนิดอีกเครื่องหนึ่งขึ้นมาแล้วพูดขึ้น “นี่”
“ข้าเอง” เสียงเยว่หลงซาดังมาจากที่ปลายสาย
“เป็นอย่างไรบ้าง ?”
“เป็นไปตามแผน”