หยางโปถือบัตรเชิญและครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเขาก็คลี่เปิดออก มองดูเวลา มันเป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ของปีนี้ สถานที่จัดงานคือบนภูเขาหยานซาน ทางเหนือของเมืองหลวง
“ ยังมีข่าวคราวอย่างอื่นอยู่อีกไหม ? ” หยางโปสอบถาม
เสวียนจบส่ายหน้า “ ไม่แล้ว ของพวกนี้ ได้มาจากห้องลับของเหลียงหรูซิง ”
พอพูดจบ เสวียนจงก็มีอาการสงสัยบางอย่าง แต่ยังพูดขึ้นว่า “ ในห้องลับ ยังมีตำราข้อคิดของ
เหลียงหรูซิงอยู่เล่มหนึ่ง คุณจะดูไหม ? ”
“ ข้อคิดนั้นคุณเก็บไว้ดูเถอะ ! ” หยางโปกล่าว ไม่น่าละที่ดูเหมือนเสวียนจงจะลังเลใจ สำหรับผู้ฝึกฝนวรยุทธ์สันโดษอย่างเขา มันไม่ได้มีอะไรให้ต้องสืบทอด จึงอยากให้ใครสักคนมาชี้แนะวิชาให้ มันก็ค่อนข้างที่จะยากเอามากๆ การได้ตำราฝึกฝนและข้อคิดมาสักเล่ม มันก็เหมือนบุญหล่นทับ มันเปรียบเสมือนได้รับคำแนะนำจากผู้อาวุโสคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
เสวียนจงดีใจมาก เขายอมพูดออกมา เพราะเขารู้สึกดีว่าหยางโปคงจะทิ้งข้อคิดไว้ให้เขา และมันก็เป็นไปตามที่คาดไว้จริงๆ หยางโปเป็นคนที่ใจกว้างมากจริงๆ
หยางโปหันมามองเสวียนจง สัมผัสได้ถึงความจริงใจที่เสวียนจงมีต่อเขา เจอของดียังสู้อุตส่าห์เอามามอบให้ เขาจึงอดที่จะเอ่ยปากพูดไม่ได้ “ เช้านี้ คุณมีข้อสงสัยอะไร ก็ถามมาได้เลยนะ ผมจะอธิบายข้อสงสัยนั้นให้คุณ ”
เสวียนจงดีใจจนเป็นบ้าเป็นหลังขึ้นมาทันที “ ขอบคุณศิษย์พี่หยาง ขอบคุณมากจริงๆ ! ”
ช่วงเช้าหยางโปใช้เวลาทั้งหมดไปกับการตอบคำถามของเสวียนจง เห็นได้ว่า เสวียนจงไม่ได้รับการแนะนำจากอาจารย์ที่มีชื่อเสียง มีหลายสิ่งอย่าง ที่ถามมาแค่ผิวเผิน ระดับการฝึกฝนของเขาในปัจจุบันยังตื้นเขินมาก จึงไม่มีคำถามอะไรมากนัก แต่ทุกครั้งที่หยางโปตอบคำถาม มันล้วนแล้วแต่ทำให้เขารู้แจ้งกระจ่างขึ้นมาในฉับพลัน
ส่งเสวียนจงกลับแล้ว หยางโปก็นำบัตรเชิญไปให้เหยียนหรูหยูดู
ดูท่าทางเหยียนหรูหยูจะตกใจไม่น้อย “ คุณได้มันมาจากไหน ? ”
“ คุณรู้เรื่องนี้ ? ” หยางโปมองหน้าเหยียนหรูหยู
เหยียนหรูหยูพยักหน้า “ ครั้งนี้เป็นการประชุมใหญ่ของขั้นวรยุทธ์เลี่ยนชี่จิง คนที่ได้บัตรเชิญมา ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นชาวยุทธ์ที่อยู่ในขั้นวรยุทธ์เลี่ยนชี่จิง คุณได้บัตรเชิญนี้มาได้ยังไง ? ”
หยางโปยิ้ม “ วรยุทธ์ของผมก็อยู่ขั้นเลี่ยนชี่จิงแล้วเหมือนกัน คุณดูไม่ออกจริงๆเหรอ ? ” เหยียนหรูหยูส่ายหน้า “ พวกเราอยู่ด้วยกันตลอดเวลา คุณฝึกวรยุทธ์จนถึงขั้นเลี่ยนชี่จิงหรือยัง
ฉันจะไม่รู้หรือไง ? ยิ่งไปกว่านั้นพลังของขั้นหยิ่นชี่จิงและขั้นเลี่ยนชี่จิง มีความแตกต่างกัน
ไม่ว่าคุณจะได้บัตรเชิญมาจากไหน จะเป็นการดีที่สุดถ้าคุณไม่ไป เพราะสำหรับคุณแล้ว
มันอันตรายเกินไป ”
หยางโปมองหน้าเหยียนหรูหยู “ กุญแจดอกนี้คืออะไร ? ”
“ คุณไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไป แล้วจะมาสนใจกุญแจไปทำไม ? ”เหยียนหรูหยูกล่าว พอพูดจบเธอก็โบกมือให้
หยางโปมองเหยียนหรูหยูแล้วเดินออกไป เขารู้เรื่องหนึ่งดี เหลียงหรูซิงมีวรยุทธ์อยู่ในขั้นหยิ่นชี่จิง ทำไมถึงได้บัตรเชิญมา แล้วบัตรเชิญของเขามาจากไหน ? หยางโปกลับไม่ถือสาท่าทีของเหยียนหรูหยู แต่ก่อนเธอยังเย็นชากว่านี้ เธอพูดกับเขาได้มากขนาดนี้ มันก็ไม่ง่ายแล้ว เขาครุ่นคิดดู และคิดว่าบางทีตัวเองน่าจะไปเข้าร่วมการประชุมใหญ่ครั้งนี้ เพราะถึงยังไงซะมันก็เป็นโอกาสที่จะได้หาประสบการณ์จากโลกภายนอกครั้งหนึ่ง
แต่หยางโปก็ไม่ได้รีบร้อน ยังมีเวลาอีกกว่าสองเดือนก่อนจะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ บางทีเมื่อถึงเวลานั้นเขาอาจจะอยู่ในขั้นวรยุทธ์เลี่ยนชี่จิงแล้ว ! ไอลีนโนเวล
ลัวย่าวหัวถือโอกาสมาหาในช่วงพักเที่ยง “ ท่าทีเมื่อวานนี้ของนายช่างน่าผิดหวังจริงๆ โอกาสดีๆแบบนี้ นายจะยอมแพ้แบบนี้เลยเหรอ นายไม่รู้ ฉันได้โทรไปทางนั้นและเลือกคนไว้ให้เเล้ว
จนรอให้นายไป แต่นายกลับ…”
หยางโปเหลือบมองหน้าลัวย่าวหัว แต่ไม่ได้พูดอะไร ลัวย่าวหัวเงียบกริบไปทันที
“ เอาล่ะ ฉันจะไม่ว่านายแล้ว แต่ผู้ชายคนเมื่อคืนนี้ เก่งกาจมาก นายรู้จักเขาไหม ถ้าฉันเจอเขาควรทำไงดี ? ” เมื่อวานนี้ลัวย่าวหัวถามไปแล้วครั้งหนึ่ง วันนี้ก็ถามอีกแล้ว
“ นายนี่มัน ! ” หยางโปเหลือบมองลัวย่าวหัว “ แน่นอนว่า ต้องหันหลังเดินหนีสิ ”
“ งั้นก็น่าอายสิ ฉันไม่ควรทำอะไรเลยเหรอ ? ” ลัวย่าวหัวพูด
“ นายทำอะไรไม่ได้ ถ้านายเผชิญหน้ากับเขาก็เหมือนเด็กสามขวบที่เผชิญหน้ากับผู้ชายตัวโตคนหนึ่ง ไม่มีอะไรเทียบได้เลย ที่ฉันพูดมา นายเข้าใจใช่ไหม ? ” หยางโปถาม
ลัวย่าวหัวเบิกตาโต “ ที่แท้เขาก็เก่งกาจขนาดนี้เลยเหรอ ฉันรู้แล้ว ”
พอพูดจบ ลัวย่าวหัวก็หันไปทางหยางโป ” ฉันจะบอกนายให้ ไนต์คลับร้านเมื่อคืนดีมาก คืนนี้จะมีการแสดงที่สนุกสนานมากกว่า ฉันจะพานายไปดูเอาไหม ? ”
“ ไม่ไปแล้ว ” หยางโปตอบกลับ
ลัวย่าวหัว ” ฉันจะบอกให้นะ นายจะทำแบบนี้ไม่ได้ นายอยากออกไปเที่ยวเล่น ฉันก็ไปดื่มกินเล่นกับนาย พอฉันอยากออกไปเที่ยวเล่น ดูท่าทีของนายสิ นี่ถือเป็นเพื่อนกันอยู่รึเปล่า ! ”
หยางโปมองหน้าลัวย่าวหัว ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ” นายช่วยฉันตามหาคนคนหนึ่งก่อน แล้วฉันจะไปเป็นเพื่อนนายให้ ”
“ ตกลง นายบอกมาเลย ว่าให้ตามหาใคร ! ” ลัวย่าวหัวถาม
หยางโปลังเลเล็กน้อย เขาเข้าหยิบกระดาษขาวแผ่นหนึ่งออกมาจากห้องหนังสือ จากนั้นเริ่มใช้พู่กันขีดเขียน
หยางโปจับมีดแกะสลักมาก่อน แต่ไม่เคยจับพู่กันเลย แต่เขาคิดไม่ถึงว่าพอพู่กันสัมผัสเข้ากับกระดาษ ก็เกิดภาพวาดขึ้นมา ดูเหมือนมีชีวิตอยู่จริงๆ เมื่อคืนก่อนถึงแม้อีกฝ่ายจะปิดหน้าปิดตา แต่หยางโปก็มองเห็นหน้าอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
หยางโปวาดภาพเหมือนออกมารูปหนึ่งและมอบให้ลัวย่าวหัว “ นี่คือคนที่ขโมยกระจกแสงจันทร์ของฉันไปคืนนี้ ”
ลัวย่าวหัวแปลกใจมาก เขาเคยเห็นความมหัศจรรย์ของกระจกแสงจันทร์ จึงประหลาดใจในทันที “ เขาขโมยไปได้ยังไง และยังให้นายเห็นอีก ! ”
“ เขาขโมยไปต่อหน้าต่อตาฉัน อีกฝ่ายคงยากที่จะรับมือมาก หลังจากตามหาตัวเขาพบ
รีบรายงานให้ฉันรู้ในทันทีก็พอ ฉันจะไปที่นั่นด้วยตัวฉันเอง ” หยางโปสั่ง
ลัวย่าวหัวพยักหน้า “ ถ้ามันยากจริงๆ คงต้องให้นายออกโรงเองแล้ว แต่ฉันขอปล่อยข่าวออกไปก่อน หวังว่าจะตามหาคนๆนี้พบ ”
พ่อของลัวย่าวหัวเป็นข้าราชการระดับสูง แต่เขากลับติดต่อกับสำนักนักคิดต่างๆ หยางโปเห็นเขาเดินออกจากเรือนสี่ประสาน หลังจากออกไปได้ไม่นานมาก ลัวย่าวหัวก็ส่งภาพเหมือนที่ถ่ายสำเนาไปให้ จากนั้นเขาก็ให้หยางโปรอฟังข่าว “ นายเอาไปให้ใคร ? ” พอถึงช่วงบ่าย หยางโปยังมองหน้าลัวย่าวหัวด้วยความสงสัย
ลัวย่าวหัวภาคภูมิใจมาก “ งูมีทางงู หนูก็มีทางหนู แม้ว่าบางคนจะลืมตาอ้างปากไม่ได้ แต่ก็มีความสุขมากที่ได้ตามหาคนพวกนี้ กลับไปฉันแค่จ่ายค่าตอบแทนให้คนละร้อยแปดสิบหยวนก็จบ ”
หยางโปไม่ได้เอ่ยถามอะไรมาก เพราะเขาเคยเห็นคนหนุ่มสาวว่างงานเดินเตร่อยู่แถวๆนี้
ทุกวันพวกเขาก็อยากร่ำรวยขึ้นมา แต่มันจะตื่นสาย ปากก็บ่นว่าทนกับข้อจำกัดของโรงงานไม่ได้และไม่ยอมไปทำงานกัน ถือได้ว่าขี้เกียจมาก
ลัวย่าวหัวนำภาพเหมือนให้คนพวกนี้ และก็ให้ถูกคนด้วย คนพวกนี้ไปมาทุกที่ มีความเป็นไปได้ที่จะตามหาบุคคลที่น่าสงสัยพบ
หยางโปคุยโอ้อวดกับลัวย่าวหัวอยู่ที่บ้าน
หยางโปชอบอาบแดด จิบชาและเอาหนังสือมาวางไว้บนหน้า และนอนหลับไปแบบนั้น
เขายังไม่ทันนอน เสียงโทรศัพท์ของลัวย่าวหัวก็ดังขึ้น
เมื่อกดรับสาย ลัวย่าวหัวก็รีบเอ่ยทันทีว่า “ หาเจอแล้ว ! ”