ตอนที่ 49-2 ความรักที่ผิดเพี้ยน

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

นางอุตส่าห์มาถึงตำหนักดงบี ทว่ากลับไม่ได้พบกโยซึล กโยยองรู้สึกเหนื่อยล้า นางรู้สึกราวกับว่าขณะนี้ทุกอย่างกำลังถาโถมมาที่นางจนเกินรับไหว ความรู้สึกอึดอัดใจที่ไหลเวียนอยู่ทำให้นางเกิดความดื้อรั้น วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพบกโยซึลให้ได้

 

 

“เช่นนั้นเราจะเข้าไปรอข้างใน”

 

 

“เพคะ? พระชายารองจะทรง…จะทรงเข้าไปรอข้างในหรือเพคะ” ซังกุงที่เข้าใจว่ากโยยองจะต้องล่าถอยกลับไปเป็นแน่ ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แล้วถามย้ำอีกครั้ง

 

 

“ใช่” กโยยองเอ่ยออกไปสั้นๆ ซังกุงจึงต้องให้นางเข้าไปข้างในอย่างช่วยไม่ได้

 

 

“จะให้หม่อมฉันนำของว่างมาถวายหรือไม่เพคะ”

 

 

“ไม่ต้อง ออกไปเถิด” กโยยองปฏิเสธซังกุง แล้วไล่นางออกไป

 

 

แท้จริงแล้วกโยยองไม่มีแรงที่จะเดินกลับไป เนื่องจากเหนื่อยล้ากับมรสุมที่ตนต้องเผชิญตั้งแต่เมื่อคืน นางไม่อาจคว้าน้ำเหลวจากตำหนักดงบี แล้วเดินผ่านตำหนักดงชอนกลับไปที่ตำหนักของตนได้ ใบหน้าที่ถูกคงไว้อย่างเรียบนิ่งต่อหน้าข้ารับใช้บัดนี้แปรเปลี่ยนไป นางล้มตัวลงนั่งที่ที่นั่งหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ

 

 

“เหตุใด…”

 

 

เมื่อได้อยู่คนเดียว กโยยองก็เผยความในใจที่พยายามอดกลั้นไว้ของตนออกมา ความรู้สึกที่พรั่งพรูออกมาจนถึงตอนนี้ผสมปนเปกันไปหมดจนกลายเป็นความโกรธที่ดำมืด ดั่งสีหลายสีที่ผสมกันจนกลายเป็นสีดำ ความเคียดแค้นพลันบังเกิด กโยยองทุบโต๊ะเขียนหนังสือด้วยกำปั้นเล็ก

 

 

“พระองค์ไม่ขอโทษหม่อมฉันเสียยังดีกว่า!”

 

 

หากบีพาอันไม่ขอโทษ ตนก็คงจะไม่รู้สึกแย่ถึงเพียงนี้ เมื่อคืนก่อนบีพาอันปฏิเสธการยั่วยวนของนาง ทว่าคำขอโทษของเขาในวันนี้ทำให้กโยยองรู้สึกราวกับว่าเขาปฏิเสธแม้กระทั่งการมีตัวตนอยู่ของตน

 

 

“พระองค์น่าจะทรงตำหนิหม่อมฉันเสียยังดีกว่า ฝ่าพระบาทฮวางแทจาผู้แสนเย็นชาเอ่ยคำขอโทษเช่นนี้ หม่อมฉันยิ่งทุกข์ระทมมากขึ้นไปอีกเพคะ”

 

 

กโยยองคร่ำครวญ นางหวนนึกถึงตอนที่ตนเจอกับบีพาอัน แล้วอยู่ๆ นางก็พลันตระหนักถึงความจริงบางอย่างได้ นางคิดถึงภาพที่บีพาอันเดินออกมาทางตำหนักดงบีเพียงลำพัง เบาะรองนั่งว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้าอยู่ภายในสายตาของกโยยอง บีพาอันที่ไม่เคยมาหาตนในยามค่ำคืนเลย บีพาอันที่ขีดเส้นระหว่างเขากับตนอย่างเย็นชาด้วยคำขอโทษที่น่าเวทนาเสียยิ่งว่าคำตำหนิ

 

 

“เหตุใดถึงเสด็จมาตำหนักดงบีที่ไร้เจ้าของเพียงลำพัง”

 

 

ใจของกโยยองสั่นคลอนในฉับพลัน

 

 

***

 

 

ไม่รู้ว่ากโยยองนั่งรออยู่ในห้องบรรทมว่างเปล่านานเพียงใด ในที่สุดเสียงเอ่ยแจ้งของซังกุงก็ดังขึ้นจากทางหน้าประตู

 

 

“พระชายาฮวางแทจา กโยซึลเสด็จ”

 

 

หลังจากนั้นประตูก็ถูกเปิดออก แล้วกโยซึลก็เดินเข้ามาข้างใน นางที่ได้ยินว่ากโยยองมารอตนอยู่ดีใจรีบเข้ามานั่งที่เบาะรองนั่งทันที

 

 

“ขออภัยด้วย รอนานหรือไม่” กโยยองแย้มยิ้มกว้างให้กโยซึลอย่างเคย สีหน้าสดใสของกโยยองในตอนนี้ทำให้ไม่อาจรู้ได้เลยว่านางต้องเจอกับเรื่องอะไรมาบ้าง

 

 

“ไม่เลยเพคะ พระชายาคงจะ…เสด็จไปสถานที่ดีๆ มาเป็นแน่ ใช่หรือไม่เพคะ”

 

 

“สถานที่ที่ดีอย่างนั้นหรือ ดูเป็นเช่นนั้นหรือ”

 

 

“พระเนตรดูสดใส แถมพระปรางยังแดงระเรื่อเช่นนี้ พระพักตร์ของพระองค์ดีกว่าครั้งไหนที่หม่อมฉันเคยเห็นมาเลยเพคะ”

 

 

กโยซึลจับแก้มของตนอย่างเขินอาย กโยยองที่เห็นดังนั้นก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้น

 

 

“จริงหรือ เพียงแค่…ช่วงนี้อากาศดีนัก เราเลยออกไปเดินเล่น เลยอาจทำให้ผิวพรรณดูดีขึ้นกระมัง”

 

 

กโยซึลตอบออกไปอย่างอายๆ สายตาของนางกวาดมองไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ กโยยองที่เห็นท่าทางนั้นเพียงยกยิ้มขึ้น ทว่าภายในใจนั้นกลับคิดอีกอย่าง

 

 

โกหก

 

 

ถึงแม้จะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่กโยยองก็ดูกโยซึลออกทุกอย่าง และกโยซึลที่ไม่ยอมมองมาที่ตนตรงๆ สายตาวอกแวกไปตรงนั้นที ตรงนี้ที อีกทั้งยังพูดตะกุกตะกักเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่านางกำลังโกหก ภาพของบีพาอันที่เดินอยู่ภายในวังตะวันออกเพียงคนเดียวแทรกทับบนใบหน้าของกโยซึลที่ไม่อยู่ในตำหนักเพราะออกไปเดินเล่น ท้องของกโยยองปั่นป่วน นางเริ่มเปิดประเด็นขึ้นทันที

 

 

“จริงด้วย หม่อมฉันมีเรื่องดีจะแจ้งให้ทราบในฐานะสหายเพคะ”

 

 

สหาย คำที่กโยซึลมักใช้เรียกกโยองอยู่เสมอ กโยยองแสดงความสนิทสนมออกมาด้วยการเอ่ยถึงความสัมพันธ์ที่กโยซึลให้ความสำคัญเป็นที่สุด ได้ยินดังนั้นกโยซึลจึงเอนตัวมาข้างหน้า ให้ความสนใจในสิ่งที่

 

 

กโยยองจะพูด

 

 

“เรื่องอะไรหรือ”

 

 

กโยยองมองกโยซึลที่กระพริบตาปริบๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นช้าๆ ด้วยริมฝีปากแห้งผาก หัวใจของนางเต้นรัว “หม่อมฉัน…ได้ร่วมเตียงกับฝ่าพระบาทฮวางแทจาแล้วเพคะ”

 

 

“ร่วมเตียงหรือ”

 

 

“ใช่แล้วเพคะ เมื่อคืนพระองค์เสด็จมาที่ตำหนักของหม่อมฉัน เหล่าข้ารับใช้เองก็รู้กันทั่วเพคะ”

 

 

กโยยองเอ่ยพูดถึงสิ่งที่ไม่จำเป็นเพื่อยืนยันว่าตนนั้นไม่ได้โกหก นางมองกโยซึลด้วยสีหน้าร่าเริง ดวงตาของกโยซึลเบิกกว้างราวกับพระจันทร์เต็มดวง ริมฝีปากห่อเป็นวงกลมอ้ากว้าง ริมฝีปากถูกอ้าอยู่อย่างนั้นราวกับว่ากโยซึลไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี กโยยองยกยิ้มขึ้นอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกหลังจากที่ได้พบกับกโยซึล ทว่าก่อนที่รอยยิ้มนั้นจะปรากฏชัดขึ้น ใบหน้าของกโยยองก็บึ้งตึงลงเสียก่อน

 

 

“ยินดีด้วย!”

 

 

เพราะกโยยองคาดไม่ถึงเลยว่าจะได้รับการตอบสนองเช่นนี้จากกโยซึล

 

 

“ในที่สุดฝ่าพระบาทก็รับรู้ถึงหัวใจของกโยยองแล้วอย่างนั้นหรือ เพราะกโยยองรักพระองค์นี่”

 

 

กโยซึลคว้าหมับเข้าที่มือทั้งสองข้างของกโยยอง ดวงตาเป็นประกาย และรู้สึกดีใจกับกโยยองอย่างแท้จริง กโยยองที่เห็นกโยยองดีใจกับตัวเองไม่อาจปิดบังความสับสนใจไว้ได้

 

 

เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร

 

 

นางบังเกิดความสงสัยที่ไม่อาจเข้าใจได้ ผิดไปจากที่คิดอีกแล้ว ชายาเอกองค์น้อยผู้นี้หาได้มีใจริษยา อีกทั้งยังยินดีกับตนที่ได้ร่วมเตียงกับบีพาอันอย่างจริงใจ กโยยองรู้สึกสับสนไปหมด นางไม่ควรแสดงความยินดีกับเราเช่นนี้ กโยยองถูกความริษยาโอบล้อม นางจมอยู่กับความชอกช้ำ บนแก้มแดงนั่นไม่ควรจะมีรอยยิ้มกว้างเช่นนี้ กโยยองที่กำลังเผชิญหน้ากับการแสดงความยินดีอันแสนบริสุทธิ์ในตอนนี้ยิ่งรับรู้ได้ถึงความน่ารังเกียจของตนมากยิ่งขึ้น น่าขยะแขยงเสียจริง น่ารังเกียจ และน่าอับอายยิ่งนัก

 

 

ไม่ว่าอย่างไร จะด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงใด กโยซึลก็อยู่เคียงข้างนางเสมอ กโยยองที่มองดวงตาเปล่งประกายสดใสของกโยซึลอยู่ยกยิ้มขึ้น

 

 

“ใช่แล้วเพคะ พระชายา ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง” น้ำเสียงพูดกโยยองดังชัดขึ้น

 

 

หลังจากที่กโยยองได้เห็นท่าทางของชายาน้อยที่ดูจะมีความสุขเหลือเกิน นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดเพี้ยนไป