ปัง!

 

ก่อนที่คนอื่นจะได้ทันตั้งตัวอะไร เฉินเฉินเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมหยีหลานและปิดประตู

 

กู่ฉินเจิ้งยังคงยิ้มอยู่ แต่รอยยิ้มของเธอนั้นแข็งค้างไปแล้ว

 

กินฟรี!

 

มันนานมากแล้วที่เธอได้ยินคำพูดดูถูกเช่นนี้และเธอเริ่มนึกถึงช่วงเวลาที่เธอพึ่งจะเข้าร่วมวงการนี้

 

“อสูรน้อย เขาไม่ตกหลุมเจ้าละ! ฮ่าๆ!”

 

ฮัวฮงหยานขึ้นไปบนรถม้าด้วยความสุขเต็มเปี่ยม

 

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สามารถโน้มน้าวให้เฉินเฉินมาพักที่หอโสเภณีเธอได้ เธอก็มีความสุขที่ได้เห็นเขา

 

เหล่าสาวงามคนอื่นต่างรู้สึกเช่นเดียวกัน พวกเธอต่างมองไปที่กู่ฉินเจิ้งด้วยท่าทางซุกซน

 

“คุณหญิงครับ พวกเราจะทำยังไงต่อดี?” ชายแก่จากบ้านดอกไม้พระจันทร์ถามอย่างกระอักกระอ่วนใจ

 

หลังจากได้ยินดังนั้น กู่ฉินเจิ้งหันไปมองป้ายของโรงเตี๊ยมหยีหลาน เธอกระทืบเท้าอย่างโกรธเคืองก่อนที่จะขึ้นไปบนรถม้า

 

“จะทำอะไรได้อีก? ไปกันได้แล้ว!”

 

ภายในรถม้า กู่ฉินเจิ้งนั้นโกรธเคืองมากขึ้นเรื่อยๆ

 

‘ข้า กู่ฉินเจิ้งคือสาวงามที่สุดในประเทศแห่งนี้!’

 

‘ข้าได้รับหินวิญญาณมานับไม่ถ้วนกับการพูดคุยกับคนอื่น แต่ข้าไม่ได้รับหินวิญญาณสักก้อนกับการพูดจาดีๆกับเขามากมายวันนี้’

 

‘แต่เขายังกล้าที่จะกล่าวว่าตัวเองไม่ใช่พวกกินฟรีอีก!’

 

‘ถุ้ย! เขานี่แหละคนชอบกินฟรีที่สุดบนโลกใบนี้!’

 

‘เขาคิดว่าตัวเองจะไม่ต้องจ่ายอะไรเลย หลังจากที่จ้างคนขายตัวและได้มาฟรีๆงั้นเหรอ?’

 

‘เขายังไม่มีชื่อเสียงเลยสักนิด แต่เขากล้าที่จะทำตัวแบบนั้นนี่นะ! ฮึ่ม! ข้าจะรับความแค้นนี้ไว้!’ กู่ฉินเจิ้งเก็บความแค้นอันนี้เอาไว้

 

ด้านนอกรถม้า ชายแก่ถามออกมาอย่างระมัดระวัง “คุณหญิง แล้วพวกนักแต่งนิยายโง่เง่าพวกนั้นละ? พวกเขายังต้องเขียนนิยายรักต่อไปอีกไหม?”

 

“บอกให้พวกเขาไสหัวไป! ไสหัวไปให้หมด!”

 

..

 

เฉินเฉินกลับเข้ามาในโรงเตี๊ยมอย่างอารมณ์ดี

 

เขาได้รับความชื่นชมมาโดยไม่ต้องเสียอะไรและไม่ต้องจ่ายอะไรสักนิด ด้วยเหตุนี้เขาจึงอารมณ์ดีมาก

 

ในอีกด้านหนึ่ง จิ่วเหนียงแอบดูผู้สืบทอดเทียนหยุนจากระยะไกล ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความงุนงง

 

เธอไม่เข้าใจเขาเลยสักนิด

 

ทำไมผู้สืบทอดถึงเลือกที่จะอยู่ในโรงเตี๊ยมหยีหลานกัน?

 

ถ้ามันเป็นเพราะหินวิญญาณแล้ว มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด เนื่องจากบ้านแดงเมามายได้เสนอให้เขากว่า 2,500 หินวิญญาณ

 

ถ้าเรื่องสาวงามแล้ว….จิ่วเหนียงรู้ดีว่ากู่ฉินเจิ้งสูงส่งกว่าเธอยิ่งนัก

 

และผู้สืบทอดต้องการอะไรกัน?

 

ยิ่งเธอคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีก เธอรู้สึกว่าผู้สืบทอดของเทียนหยุนทั้งลึกลับและพิเศษกว่าใคร มันไม่มีใครที่เข้าใจเขาเลยสักคน

 

ในเวลาเดียวกัน จางจีและซุนเทียนกังก็เดินเข้ามาด้านในโรงเตี๊ยม

 

“พี่ชายครับ ข้าได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องของเหล่าผู้สืบทอดของหลายสำนักแล้วครับ นี่คือข้อมูลที่ข้าได้รับมาครับ”

 

เขาพูดออกมาและยื่นมันให้กับเฉินเฉิน

 

เฉินเฉินรับมัน ก่อนที่จะตรวจสอบและรับข้อมูลเข้าไปในหัว

 

เมื่อเห็นดังนี้ ซุนเทียนกังก็ส่งกระดาษออกไปด้วยเช่นกัน เขาพูดอย่างนอบน้อม “นี่คือเหตุการณ์ใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้าครับ ศิษย์พี่ อ่านมันด้วยครับ!”

 

“ฮ่า! เจ้าสุภาพมากเลยนะ หื้ม? เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ด้วย” เฉินเฉินพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ

 

เขารับกระดาษไปและเหลือบไปมอง ก่อนที่จะครุ่นคิด ‘ว้าว มันจะมีการประมูลกันถึง 28แห่งเลย พวกเขากำลังพยายามที่จะปล้นผู้สืบทอดกันใช่ไหม?!’

 

ยังไงก็ตาม เมื่อเขาอ่านมัน สีหน้าของเขาหม่นหมองลง

 

นี่มันเป็นเพราะยังมีการนัดพบปะกันระหว่างผู้สืบทอดทั้ง 36 สำนัก ยกตัวอย่างเช่น แปดสำนักจากทางเหนือตกลงที่จะพบกันที่บ้านพยัคฆ์ทรงพลังซึ่งเป็นที่ที่สำนักพยัคฆ์ขาวรวมตัวกันอยู่

 

ผู้สืบทอดสำนักมังกรมรกตหลินจินก็เชิญผู้สืบทอดกว่าครึ่งหนึ่งไปยังหอปราณม่วง

 

นอกจากเรื่องนี้แล้ว มันยังมีการพบปะกันอีกหลายแห่ง

 

แต่ไม่มีใครกับเชิญเขาเลยสักคน ผู้สืบทอดจากสำนักเทียนหยุน!

 

“พวกบัดซบนี่มัน! พวกเขากล้าดีที่จะดูถูกข้าแบบนี้ได้ยังไงกัน!? ข้าเข้าสำนักหลังพวกเขาไม่กี่ปีเอง นอกจากนี้ข้ายังพักอยู่ที่หอโสเภณีแบบนี้ มันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรกัน?”

 

สีหน้าของเฉินเฉินเปลี่ยนไปอีกครั้งและอีกครั้ง ในขณะที่ซุนเทียนกังที่อยู่ด้านข้างดูสับสน

 

เขารู้ว่าเฉินเฉินจะไม่มีความสุข หลังจากที่อ่านมันแล้ว

 

“พวกเราควรจะทำยังไงกันต่อดี?” ซุนเทียนกังถามออกมาเบาๆ

 

“พวกเราจะรอจนกว่าพิธีขึ้นครองราชย์จบลงก่อน นี่ไม่ใช่เวลาที่จะทำตัววุ่นวายและปล่อยความโกรธนี้ผ่านไป”

 

เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเฉินเฉินแล้ว ซุนเทียนกังกลับไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น

 

เขาไม่ได้คาดคิดว่าเฉินเฉินจะอดทนรับมันไหว เขาดูไม่เหมือนผู้สืบทอดที่มีสถานะสูงศักดิ์ในสำนักเทียนหยุนที่ส่งเขากระเด็นออกไปด้วยกระบวนท่าเพียงกระบวนท่าเดียว!

 

“ศิษย์น้องซุน อย่าลืมเป้าหมายที่ว่าทำไมพวกเราถึงมาที่นี่ สำนักมังกรมรกต สำนักพยัคฆ์ขาว สำนักซวนวู สำนักวิหคสีชาดต่างเป็นสี่สำนักที่เป็นกองกำลังหลักในการเผชิญหน้ากับการรวมตัวของสำนักอู๋ซิ่น มันไม่ใช่เรื่องที่ดีที่จะทะเลาะกับพวกเขา ไม่อย่างงั้นแล้วมันจะดูเหมือนว่าสำนักเทียนหยุนของพวกเรากำลังทำให้อู๋ซิ่นมีความสุข เจ้ายังเด็กและมุทะลุมากเกินไป!”

 

หลังจากพูดเสร็จ เฉินเฉินหันกลับและเดินเข้าห้องไป

 

ซุนเทียนกังตกตะลึง เขาคิดออกมา “มันเกี่ยวข้องอะไรกับข้ากัน? ข้าไม่ใช่คนที่จะได้รับความอับอายนี่นา”

 

 

ในคืนนั้น เจ้าของหอโสเภณีชื่อดังทั้ง 17แห่ง นอกจากบ้านดอกไม้พระจันทร์ต่างรวมตัวกัน

 

“ข่าวเกี่ยวกับผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนที่อาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมหยีหลานได้แพร่กระจายออกไปแล้ว ชนชั้นสูงหลายคนได้ถามข้าเกี่ยวกับโรงเตี๊ยมหยีหลาน พวกเจ้าคิดยังไงกับเรื่องนี้?”

 

ฮัวฮงหยานนั่งอยู่ที่นั่งของผู้นำและพูดออกมาอย่างใจเย็น ดูเหมือนกับเป็นหัวหน้าใหญ่

 

เมืองหลวงมีขนาดที่จำกัด รวมทั้งจำนวนของลูกค้า การเติบโตขึ้นของหอโสเภณีแห่งหนึ่งนั้นหมายความว่าหอโสเภณีแห่งอื่นจะย่ำแย่ลง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่พวกเธอไม่ต้องการพบเห็น

 

นอกจากนี้แล้ว การเติบโตอย่างรวดเร็วมันขึ้นอยู่กับปัจจัยพิเศษ

 

ยกตัวอย่างเช่นการปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลันของกู่ฉินเจิ้งของบ้านดอกไม้พระจันทร์และผู้สืบทอดที่อาศัยอยู่ในโรงเตี๊ยมหยีหลาน

 

“พวกเราควรหาวิธีทำให้เรื่องนี้มันแย่ลง” หนึ่งในเจ้าของพูดออกมาด้วยเสียงต่ำ

 

“ใช่ ผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนไม่น่าจะเก่งกาจอะไรและชื่อเสียงของเขาก็ไม่ได้ดังมากสักเท่าไหร่ เขาไม่ได้รับการเชิญเข้าร่วมการพบปะของผู้สืบทอดในช่วงสองวันที่ผ่านมาด้วย”

 

“พวกเราสร้างข่าวลือว่าโรงเตี๊ยมหยีหลานเต็มไปด้วยโรคร้ายดีไหม?”

 

เมื่อได้ยินดังนี้ แก้มของเจ้าของกระตุก

 

ข่าวลือนี้จะสร้างความเสียหายกับหอโสเภณีมากที่สุด มันทำให้ผู้คนต่างขยะแขยงกันหมด

 

“มันไม่จำเป็นต้องโหดเหี้ยมขนาดนั้นหรอก การทำให้อิทธิพลของผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุนลดลงก็จะทำให้ผลกระทบลดลง ข้าคิดว่าพวกเราควรกระจายข่าวว่าผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุนอ่อนแอที่สุดและอยู่ล่างสุดของทั้งสามสิบหกสำนัก ซึ่งมันคือเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีในสำนัก พวกเราจะบอกว่าเขายากจนมากด้วยเช่นกันและมันทำให้ผู้สืบทอดสำนักอื่นไม่เลือกที่จะข้องเกี่ยวกับเขา แค่นี้ก็มากพอแล้ว” เจ้าของคนหนึ่งพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเธอแล้ว ผู้คนต่างพยักหน้ากันอย่างต่อเนื่อง

 

คำพูดประโยคสุดท้ายของเธอมันยอดเยี่ยมมาก!

 

คนจำนวนมากนั้นเป็นปัจจัยหลักของมนุษย์ ถ้ากลุ่มของคนที่มีอิทธิพลจำนวนมากชี้ไปว่าเขาผิด คนอื่นก็จะทำตามอย่างไม่รู้ตัว

 

เหล่าลูกค้าและขุนนางคงจะไม่เลือกที่จะเข้าใช้กับโรงเตี๊ยมหยีหลาน เมื่อพวกเขาพบว่าผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุนอ่อนแอ

 

ไม่อย่างงั้นแล้วพวกเขาคงจะทำชื่อเสียงของพวกเขาเองหม่นหมองไป

 

ฮัวฮงหยานตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เธอประกาศออกมา “ใช่ เราทำตามนี้กันเถอะ ส่งคนของพวกเราออกไปกระจายข่าวเรื่องนี้กันเถอะ”

 

 

ในเช้าของวันต่อมา กลุ่มของขุนนางต่างทานมื้ออาหารกันในบ้านแดงเมามาย

 

ในเวลาเดียวกันพวกเขาต่างพูดคุยกันว่าผู้สืบทอดหญิงคนไหนสวยที่สุด

 

หนึ่งในพวกเขาถามขึ้นด้วยความสงสัย “ข้าได้ยินมาว่ามีผู้สืบทอดคนหนึ่งพักอยู่ในหอโสเภณีที่ชื่อว่าโรงเตี๊ยมหยีหลาน พวกเจ้าเคยได้ยินมาก่อนไหม?”

 

“ไม่นะ มันมีสถานที่แห่งนั้นด้วยเหรอ?”

 

เมื่อเห็นพวกเขากำลังพูดคุยเกี่ยวกับโรงเตี๊ยมหยีหลาน พนักงานบริการของบ้านแดงเมามายรีบพูดแทรกขึ้นมาทันที “ท่านครับ ท่านรู้จักผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุนด้วยหรือครับ?”

 

ก่อนที่เขาจะพูดจบ รถม้าก็ปรากฏขึ้น คนที่อยู่บนรถม้าก็ถือกระดาษอยู่

 

เขาอุทานออกมาดังก้อง “สำนักอู๋ซิ่นได้จัดอันดับของผู้สืบทอดทั้ง 36 สำนักตามความสามารถของพวกเขาแล้ว พวกเจ้าต้องการจะดูไหม? จ่ายแค่หินวิญญาณก้อนเดียวเองนะ!”

 

ในชั่วพริบ หินวิญญาณก็ลอยเข้าไปในมือของเขา เขารีบโยนกระดาษให้กับเหล่าขุนนาง

 

พวกเขาต่างลืมเกี่ยวกับโรงเตี๊ยมหยีหลานไปเลย

 

สิ่งที่ผู้คนในเมืองหลวงสงสัยมากที่สุดคือความแข็งแกร่งของผู้สืบทอด

 

นอกจากนี้แล้วรายชื่อเหล่านี้ยังน่าเชื่อถือได้อีกด้วย มันถูกสร้างขึ้นมาโดยสำนักอู๋ซิ่น

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ชนชั้นสูงที่ได้รับรายชื่อรีบเปิดมันออกมา พวกเขาต่างรีบหันมาดู

 

“รายชื่อชั้นยอดของรัฐจิน!”

 

“อันดับหนึ่ง ฉงเย่แห่งสำนักอู๋ซิ่นและราชาองค์ใหม่ของรัฐจิน”

 

“อันดับสอง หลินจิน ผู้สืบทอดของสำนักมังกรมรกต”

 

“อันดับสาม เย่หวู่เชิง ผู้สืบทอดของสำนักพยัคฆ์ขาว”

 

“อันดับสี่ เฉินเฉิน ผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุน”

 

“อันดับห้า เซี่ยวฮวง ผู้สืบทอดของสำนักวิหคสีชาด…”

 

เมื่อดูรายชื่อเหล่านี้แล้ว เหล่าขุนนางต่างประหลาดใจเล็กน้อย พวกเขาส่วนใหญ่ต่างเคยได้ยินผู้สืบทอดทั้งสิบแล้วและไม่ได้ประหลาดใจอะไรมากมาย แต่ผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุนปรากฏตัวขึ้นมาได้ยังไงกัน? เขายังเอาชนะผู้สืบทอดสำนักวิหคสีชาดและสำนักซวนวูได้อีก

 

พวกเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเขามาก่อน

 

ในจุดนี้เอง หนึ่งในพวกเขานึกขึ้นได้ว่าบริกรกำลังจะพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาหันไปถาม “เจ้ากำลังจะพูดอะไรนะ เกี่ยวกับผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุนเมื่อกี้? บอกข้ามาสิ”

 

บริกรชายอึดอัดใจ เขาพูดตะกุกตะกัก “ข้าต้องการที่จะบอกว่า…ผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุนเป็นชายที่ยอดเยี่ยมมากครับ..”