บทที่ 847 : เริ่มลงมือ!
  หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเป็นพิธีกรก็คือจะต้องเป็นสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนให้มาอยู่ที่ตนเองได้ตั้งแต่ต้นจนจบ..
  พิธีกรทั้งสองคนนั้นเป็นพิธีกรที่มาจากสถานที่โทรทัศน์ท้องถิ่นและเคยผ่านงานระดับใหญ่ๆโตๆมาหลายงานแล้ว ตลอดระยะการทำงานก็ประสบความสำเร็จในฐานะพิธีกรมืออาชีพมาโดยตลอด และสำหรับงานเลี้ยงเล็กๆเพียงแค่นี้ จึงนับว่าเป็นงานที่ง่ายเสียยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปากเสียอีก
  ทั้งคู่เพิ่งจะโชว์ศักยภาพในการเรียกความสนใจของแขกในงานกลับคืนมาได้และสามารถควบคุมสถานการณ์ภายในห้องจัดเลี้ยงไว้ได้แล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าขณะที่กำลังจะกล่าวสุนทรพจน์เพื่อเปิดงาน กลับถูกใครไม่รู้ขโมยซีนไปต่อหน้าต่อตา ทั้งสองคนจึงแทบอยากจะกรีดร้องออกมาด้วยความโมโห..
  และเสียงของหลิงหยุนที่แทรกขึ้นมากลางปล้องนั้นแม้จะพูดโดยไม่มีไมโครโฟนช แต่กลับดังกึกก้องไปทั่วห้องจนกลบเสียงพูดผ่านไมโครโฟนของพิธีกรทั้งสองคนในทันที ทำให้พิธีกรทั้งคู่รู้สึกตกใจและงุนงงอย่างมาก!
  และเมื่อได้ยินคำว่า“หยุดก่อน..” สีหน้าของพิธีกรทั้งคู่ก็เปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองขึ้นมาทันที!
  นี่เป็นงานเลี้ยงฉลองที่จัดขึ้นโดยหลี่จิ่วเจียง– ผู้อำนวยการกองการศึกษาประจำมณฑลเจียงหนาน และทั้งคู่ก็เป็นถึงพิธีกรชื่อดังของสถานีโทรทัศนท้องถิ่น แล้วใครกันนะที่ช่างกล้าเข้ามาก่อกวนในงานเลี้ยงเช่นนี้!
  พิธีกรทั้งคู่ดูเหมือนจะโกรธมากและเมื่อพิธีกรหญิงเงยหน้าขึ้นมองไปทางหน้าห้องจัดเลี้ยง เธอก็เห็นหลิงหยุนกำลังเดินเข้ามาในห้องจัดเลี้ยงโดยไม่สนใจกับสายตาหลายร้อยคู่ที่กำลังจ้องมองมา
  แวบแรกที่พิธีกรหญิงเห็นหลิงหยุนนั้นเธอรู้สึกตกใจจนมือที่ถือไมโครโฟนนั้นอ่อนแรง และไมโครโฟนเกือบจะร่วงหล่นลงพื้น!
  พิธีกรทั้งสองคนหยุดพูดทันทีและภายในห้องจัดเลี้ยงก็กลับกลายเป็นเงียบสนิท มันเงียบเสียยิ่งกว่าตอนที่หลินเมิ่งหานและสาวงามคนอื่นๆเดินเข้ามาในตอนแรกเสียอีก!
  ภายใต้ความเงียบสงัดนั้นเสียงลมหายใจของแขกภายในห้องจึงกลับกลายเป็นเสียงที่ดังที่สุด หลิงหยุนเดินไปตามทางเดินที่อยู่ตรงกลางห้องจัดเลี้ยงท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมามากกว่าสามร้อยคู่ เขากำลังมุ่งหน้าไปยังเวทีที่พิธีกรทั้งสองคนยืนอยู่
  จากประตูทางเข้าห้องจัดเลี้ยงไปจนถึงเวทีนั้นเป็นระยะทางอย่างน้อยสี่สิบเมตร แต่หลิงหยุนก็ไม่เร่งรีบเดินจนเร็วเกินไป แล้วก็ไม่ช้าจนเกินไปเช่นกัน เมื่อหลิงหยุนเดินมาได้เพียงแค่ครึ่งทาง เสียงผลักโต๊ะลากเก้าอี้ก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว เพราะแขกที่นั่งอยู่ต่างก็พากันลุกขึ้นยืนอย่างลืมตัว และพากันวิพากษ์วิจารณ์จนเสียงดังไปทั่วทั้งห้อง!
  “พระเจ้า..นั่นมันหลิงหยุนนี่! ฉันจำได้.. ฉันเคยเห็นเขาในวันเปิดคลินิกสามัญชน ทักษะทางการแพทย์ของเขาล้ำเลิศมากจริงๆ!”
  “หลิงหยุน!เขาก็คือคนที่จัดการกับหลัวจ้งผู้อำนวยการสำนักงานรักษาความมั่นคงคนก่อนจนต้องติดคุกติดตารางใช่มั๊ย! แล้วเขามาที่นี่ทำไมกัน?!”
  “ที่รักดูสิ..ใช่คนที่พนันได้หยกจักรพรรดิก้อนที่ใหญ่ที่สุด และมีมูลค่าแพงที่สุดมั๊ย!”
  “อ่อ..คนนี้ไงที่ทุบบ้านคนอื่นครั้งเดียวพร้อมกันถึงสองหลัง!”
  “หมอคนนี้ล่ะที่รักษาคนไข้อาการสาหัสพร้อมกันถึงยี่สิบกว่าคน!”
  “โอ้โห..หน้าตาหล่อยิ่งกว่าพระเอกหนังซะอีก!”
  แม้หลิงหยุนจะเคยเป็นคนที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของใครมาก่อนแต่เวลานี้สิ่งที่เขาเคยทำนั้น ก็ได้ทำให้ตนเองกลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งเมืองจิงฉูแล้ว!
  ถึงแม้ว่าคลิปวีดีโอและภาพต่างๆของหลิงหยุนจะถูกอำนาจรัฐทำให้หายไปจากสื่อต่างๆและโลกอินเทอร์เน็ตแล้ว แต่นั่นก็ไม่สามารถปิดกั้นความโด่งดังเป็นที่รู้จักของหลิงหยุนจากผู้คนได้
  โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่หลิงหยุนเคยทำต่อหน้านักเรียนนับพันในโรงเรียนมัธยมจิงฉูนั้นบรรดานักเรียนเหล่านั้นต่างก็มีเพื่อนต่างโรงเรียน แล้วก็มีพ่อแม่ผู้ปกครอง พ่อแม่ผู้ปกครองต่างก็มีเพื่อนฝูงอีกมากมาย ดังนั้นจากคำพูดปากต่อปาก จาสิบจึงขยายเป็นร้อย จากร้อยกระจายเป็นพัน และอีกมากมาย..
  เรียกได้ว่าในเมืองจิงฉูนั้นหาคนที่ไม่รู้จักหลิงหยุน หรือไม่เคยได้ฟังเรื่องของเขาได้น้อยมาก เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้!
  อีกทั้งแขกเหรื่อที่มาร่วมงานเลี้ยงฉลองที่หลี่จิ่วเจียงจัดขึ้นในวันนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนมีหน้ามีตาในเมืองจิงฉูทั้งสิ้น..
  และภายในงานนี้ก็มีแขกที่เคยไปร่วมพิธีเปิดคลินิกสามัญชนของหลิงหยุนและได้นำของขวัญไปมอบให้กับเขาร่วมอยู่ด้วย..
  ดังนั้นจึงไม่มีใครที่เมื่อได้ยินชื่อหลิงหยุนหรือได้พบเขาจะไม่รู้สึกตื่นเต้นจนต้องร้องอุทานออกมา..
  “โชคดีมากเลยที่ได้พบหลิงหยุนอีกครั้ง!คิดไม่ถึงว่าเขาจะมางานเลี้ยงฉลองให้กับหลี่เทียนด้วย!”
  “นั่นสิ!ผมคงต้องไปขอชนแก้วกับหลิงหยุนบ้างแล้วล่ะ! ผมเองก็ประทับใจในทักษะทางการแพทย์ของเขามากจริงๆ!”
  “ผมไปด้วย!การได้รู้จักกับหลิงหยุนนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก! ใครปล่อยโอกาสดีๆแบบนี้ให้หลุดมือไปก็นับว่าโง่มากเลย!”
  ……..
  เวลานี้หลิงหยุนได้กลายเป็นจุดสนใจภายในงานเลี้ยงแต่เพียงคนเดียว!
  “พี่หลิงหยุนยอดเยี่ยมมากจริงๆ!”
  ที่โต๊ะสุดท้ายทางด้านขวามือของประตูทางเข้านั้นคือโต๊ะที่สาวงามทั้งหกคนที่เข้ามาก่อนหน้านี้นั่งอยู่ ไป๋เซียนเอ๋อที่สวมแว่นกันแดดเห็นหลิงหยุนเดินเข้ามา จึงร้องออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ
  ส่วนหลินเมิ่งและคนอื่นๆนั้น เพียงแค่มีรอยยิ้มเท่านั้น แต่ยังคงอยู่ในอาการสงบนิ่ง นั่นเพราะพวกเธอต่างก็เห็นภาพเช่นนี้มาจนชินตาแล้ว และต่างก็รู้ว่านี่เป็นเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น และการแสดงที่แท้จริงก็เพิ่งจะเริ่ม..
  หลงหวู่อดรนทนไม่ได้ได้แต่กรอกตาอย่างไม่พอใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เฮ้อ.. ก็แค่จับตัวหลี่จิ่วเจียงส่งให้คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยก็สิ้นเรื่อง จะต้องเสียเวลามากมายแบบนี้ทำไมกัน..!”
  เกาเฉินเฉินเหลือบมองหลงหวู่พร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ“ถ้ากลัวก็กลับไปได้เลย..”
  หลงหวู่ย้อนถามด้วยความไม่พอใจ“นี่เธอพูดอะไร”
  เกาเฉินเฉินจ้องหน้าหลงหวู่พร้อมกับตอบไปว่า“พูดอะไรน่ะเหรอ! อย่าลืมว่าเรื่องที่เธอไปนั่งโต๊ะฉัน ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีเลย!”
  ความขัดแย้งระหว่างสาวสวยทั้งสองยังคงไม่ได้รับการแก้ไขและยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
  เหมี่ยวเสี่ยวเหมารีบห้ามศึก“เอาล่ะ.. หยุดทะเลาะกันก่อน! หลิงหยุนเดินขึ้นไปบนเวทีแล้ว!”
  และคำพูดประโยคนี้ของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ได้ผลมากทั้งเกาเฉินเฉินและหลงหวู่ต่างก็หยุดทะเลาะกันทันที และรีบหันหน้ามองไปทางเวทีพร้อมกัน..
  หลิงหยุนขึ้นไปยืนอยู่ทางด้านขวามือของพิธีกรทั้งสองคนจากนั้นจึงหันไปยิ้มให้กับแขกที่อยู่ด้านล่างพร้อมกับพูดขึ้นว่า..
  “ผมต้องขอโทษท่านผู้มีเกียรติทุกท่านในที่นี้ด้วยจากนี้ไปอาจมีเรื่องน่าตกเกิดขึ้นบ้าง แต่ทุกท่านอย่าได้กังวลใจหรือหวาดวิตกไป ผมเพียงแค่ต้องการให้ทุกท่านในห้องนี้อยู่เป็นพยานให้ผมด้วย และผมคงจะรบกวนเวลาของทุกท่านไม่นานนัก!”
  พูดจบหลิงหยุนก็หันไปมองทางเดินเล็กๆของห้องจัดเลี้ยงและพบว่าเลขาหวังกำลังเดินนำบอดี้การ์ดทั้งหกเข้ามา..
  นี่กำลังจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
  บรรดาแขกเหรื่อที่อยู่ภายในห้องนั้นหลังจากที่ได้ฟังคำประกาศของหลิงหยุน ทุกคนต่างก็พากันตกตะลึง เพราะจากคำพูดดูเหมือนว่าหลิงหยุนจะไม่ได้ตั้งใจมาแสดงความยินดีกับนักเรียนที่ทำคะแนนสอบได้สูงสุดเลยสักนิด แต่น่าจะมาสะสางปัญหาอะไรบางอย่างเสียมากกว่า!
  หลิงหยุนยิ้มบางก่อนจะพูดต่อว่า“ขอความกรุณาทุกท่านนั่งลงประจำที่ได้แล้ว ผมคงจะรบกวนเวลารับประทานอาหารของทุกท่านไม่นานมากนัก..”
  จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปมองพิธีกรทั้งสองคนพร้อมกับบอกไปว่า“ขออภัยที่ผมขึ้นมาขัดจังหวะของพวกคุณทั้งสองคน และต้องขอรบกวนให้พวกคุณทั้งสองคนไปหลบอยู่ตรงนั้นจะดีกว่า จะได้ไม่โดนลูกหลงจนได้รับบาดเจ็บ..”
  พิธีกรทั้งสองคนถึงกับอึ้งไปและได้แต่แอบคิดในใจว่า ‘ได้รับบาดเจ็บงั้นเหรอ! นี่จะเกิดเหตุการณ์รุนแรงหรืออย่างไร?! แต่นี่.. นี่มันคือห้องจัดเลี้ยงในโรงแรมระดับห้าดาวเชียวนะ! จะเกิดเรื่องรุนแรงได้อย่างไรกัน?!’
  แต่เพราะทั้งคู่กำลังอยู่ในอาการตกตะลึงกับการกระทำของหลิงหยุนทั้งสองคนจึงไม่ได้พูดในสิ่งที่คิดออกมา และหลบไปยืนอยู่ด้านข้างตามที่หลิงหยุนบอกทันที!
  ในเวลานั้นเองเลขาหวังก็เดินนำบอดี้การ์ทั้งหกคนมาถึงหน้าเวที พร้อมกับจ้องมองหลิงหยุนที่อยู่บนเวทีอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง..
  เพื่อจัดการกับหลิงหยุน..หลี่จิ่วเจียงจึงต้องทำความรู้จักหลิงหยุนก่อน และเลขาหวังก็คือผู้ที่จัดการค้นหาข้อมูลของหลิงหยุนทั้งหมด เขาจึงรู้จักหลิงหยุนดีกว่าหลี่จิ่วเจียงมาก!
  และถึงแม้ว่าเลขาหวังจะไม่เคยพบเจอหลิงหยุนมาก่อนแต่เขาก็ได้เคยเห็นหลิงหยุนในรูป จึงจำได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น..
  เลขาหวังถึงกับร้องตะโกนออกไป..“เป็นแกจริงๆด้วย!”
  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบไปว่า“ใช่.. ผมเอง!”
  เลขาหวังยกมือขึ้นชี้ไปทางหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนสั่งทันที“แก.. แกลงมาจากเวทีเดี๋ยวนี้ กล้าดียังไงถึงได้มาป่วนงานเลี้ยงแบบนี้ แล้วตอนนี้หลี่เทียนเป็นยังไงบ้าง!”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับยักไหล่และยกมือขึ้นผายออกทั้งสองข้างอย่างไม่ยี่หระพร้อมกับพูดจายอกย้อนกลับไป
  “ผมไม่ลงและจะยืนอยู่บนนี้ ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไร! ส่วนหลี่เทียน.. ผมว่าคุณไปดูด้วยตาตัวเองจะดีกว่า เพราะตอนนี้สภาพของมันบอกได้คำเดียวว่า.. ยับเยิน!”
  “ห๊ะ!”
  สีหน้าของเลขาหวังเปลี่ยนเป็นกระวนกระวายขึ้นมาทันทีและรีบสั่งหนึ่งในบอดี้การ์ดให้ออกไปดูทันที..
  “แกออกไปดูว่าคุณหนูหลี่เทียนเป็นยังไงบ้าง”
  “ส่วนแกก็รีบกลับไปรายงานผู้อำนวยาการว่าหลิงหยุนมาที่นี่แล้ว!”
  “พวกแกทั้งสี่คนไปจัดการลากตัวหลิงหยุนลงมาจากเวทีเดี๋ยวนี้!”
  ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย..เลขาหวังยังสามารถสั่งการได้อย่างรวดเร็ว!
  หากเป็นคนธรรมดาก็คงทำอะไรไม่ถูก..แต่สำหรับหลิงหยุนแล้ว เรื่องแค่นี้รับรองว่าเด็กๆ! และนับว่าเป็นการจัดการที่ผิดพลาดอย่างมากของเลขาหวัง..
  บอดี้การ์ดทั้งสี่คนนี่นะจะเป็นคนไปลากตัวหลิงหยุนลงมาจากเวที..ช่างน่าขันสิ้นดี!
  ทันทีที่รับคำสั่งจากเลขาหวังแล้ว..บอดี้การ์ดหนึ่งคนก็เดินตรงไปยังหน้าห้องจัดเลี้ยงเพื่อดูหลี่เทียน ส่วนอีกคนก็เดินไปรายงานสถานการณ์ให้หลี่จิ่วเจียงรู้ ส่วนที่เหลืออีกสี่คนก็กำลังย่างสามขุมไปยังเวทีเพื่อลากตัวหลิงหยุนลงมา!
  หลิงหยุนไม่สนใจบอดี้การ์ดสองคนที่เดินออกไปเขายิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ความจริงเลขาหวังนับว่าเป็นคนเก่งคนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ทำงานให้กับคนผิด เอาล่ะ.. ผมไม่เกรงใจแล้วนะ!”
  พูดจบ..หลิงหยุนก็ยกมือขึ้นซัดฝ่ามือออกไป ลมปราณที่รุนแรงราวกับพายุเฮอริเคนนั้นกระแทกเข้ากับร่างของบอดี้การ์ทั้งสี่คน จนล้มลงไปกองกับพื้นในทันที และทั้งหมดก็กรีดร้องออกมาเสียงดัง!
บทที่ 848 : เจ้าของโรงแรม!
  ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้นอกเหนือจากคนของหลิงหยุนแล้ว แขกเหรื่อที่อยู่ในห้องจัดเลี้ยงต่างก็พากันตกอกตกใจจนแทบช็อค!
  “นี่จะมีเรื่องกันจริงๆน่ะเหรอ!”
  “ผมงงไปหมดแล้ว..นี่มันเกิดบ้าอะไรกันแน่ จู่ๆทำไมทั้งสองฝ่ายถึงได้มีเรื่องกัน”
  “ฉันไม่เห็นว่าหลิงหยุนจะทำอะไรคนพวกนั้นเลย..พวกมันกระเด็นออกไปเองไม่ใช่หรือยังไง”
  “คุณจะไปรู้อะไรหลิงหยุนมีพลังวิเศษ คุณไม่เห็นหรือยังไง?”
  เลขาหวังกำลังอยู่ในอาการตกตะลึงอย่างที่สุดสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด และสมองก็หยุดทำงานไปชั่วขณะ!
  เลขาหวังเป็นคนที่อยู่ใกล้กับบอดี้การ์ดทั้งสี่คนมากที่สุดเขาจึงเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน เลขาหวังเห็นบอดี้การ์ดทั้งสี่คนที่อยู่ห่างจากหลิงหยุนราวหนึ่งเมตรนั้น ลอยละลิ่วก่อนจะล้มลงไปกระแทกกับพื้นดังปังราวกับเกิดแผ่นดินไหว!
  ‘นั่นมันเซียนหรือว่าปีศาจกันแน่!นี่มันเกิดเรื่องบ้าบออะไรกัน?! หรือว่าฉันบ้าไปแล้ว!’
  ที่หน้าประตูทางเข้าห้องจัดเลี้ยงนั้นหนิงหลิงยู่ที่คอยยืนคุ้มกันฉีเสี่ยวชิงเห็นบอดี้การ์ดคนหนึ่งกำลังวิ่งออกมา เธอเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพุ่งร่างบอบบางนั้นไปหา และนิ้วในมือของเธอก็ทำงานได้อย่างรวดเร็วไม่แพ้การเคลื่อนไหว!
  บอดี้การ์ดผู้นั้นรู้สึกจู่ๆก็มีอาการชาไปทั่วทั้งร่างและไม่สามารถขยับขาได้อีก และร่างกายที่โน้มไปข้างหน้านั้นก็ล้มลงอย่างหมดท่า!
  นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงหลิงยู่ทดสอบวรยุทธของตนเองหลังจากที่ฝึกฝนมา!
  หนิงหลิงยู่ไม่คิดที่จะปกปิดฝีมือของตนเองและการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของเธอนั้น ก็ทำให้ฉีเสี่ยวชิงถึงกับยืนอ้าปากหวอ และอยู่ในอาการตกตะลึง!
  “นี่.. นี่มันอะไรกัน!”
  จู่ๆฉีเสี่ยวชิงก็รู้สึกว่าตนเองไม่สามารถทำความเข้าใจกับสิ่งที่พบเจอได้อีกต่อไป..
  ฉีเสี่ยวชิงไม่เพียงแค่เป็นเด็กเรียนดีแต่ยังชื่นชอบการเล่นกีฬาอีกด้วย สถิติการวิ่งร้อยเมตรของเธอนั้นเป็นที่หนึ่งของโรงเรียนทั้งหมดในเมืองจิงฉู แต่เมื่อได้เห็นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ของหนิลหลิงยู่เวลานี้ เธอก็รู้ได้ทันทีว่านั่นมันเหนือขีดจำกัดของคนธรรมดาทั่วไป!
  ยิ่งไปกว่านั้น..หนิงหลิงยู่ยังสามารถจัดการกับบอดี้การ์ที่วิ่งออกมาด้วยการใช้นิ้วจี้ไปที่เอวของมัน.. มันเป็นเรื่องอัศจรรย์มากจนเกินไป!
  “ฮ่า..ฮ่า.. ไม่น่าเชื่อว่าหลิงหยุนจะเก่งขนาดนี้! ดูเหมือนว่าผมจะมาช้าไปสินะ ก็เลยพลาดช็อตเด็ดไป!”
  แล้วเสียงพูดของใครคนหต่งก็ดังขึ้นมาทางด้านหลังและแล้วถังเมิ่ง ตี้เสี่ยวอู๋ และอาปิงก็ปรากฏตัวขึ้นที่มุมหนึ่งทางด้านหน้าจัดเลี้ยง และกำลังเดินตรงเข้ามาหาหนิงหลิงยู่..
  แน่นอนว่าเสียงที่ดังขึ้นนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากถังเมิ่ง!
  “ถังเมิ่ง..นี่นายคงครั่นเนื้อครั่นตัวมากสินะ! พวกเรายืนคอยนายจนเมื่อยขาไปหมดแล้ว!”
  เมื่อเด็กสาวตัวแสบเห็นถังเมิ่งปรากฏตัวก็รีบร้องโวยวายออกไปด้วยความโมโห เสี่ยวเม่ยหนิงตั้งใจแต่งตัวงดงามก็เพื่อจะได้เดินเคียงข้างหลิงหยุนเข้าไปในงาน แต่เพราะถังเมิ่งมาถึงช้ากว่ากำหนด เธอจึงต้องพลาดโอกาสดีๆเช่นนั้นไป..
  “นี่หนิงน้อย.. อย่าเพิ่งโกรธไปเลย! พอดีผมต้องรีบจัดการเรื่องด่วนก็เลยมาช้า..”
  ถังเมิ่งนั้นไม่กล้าที่จะยั่วโมโหเสี่ยวเม่ยหนิงเขาจึงได้แต่ยิ้มและรีบอธิบายให้เธอฟัง จากนั้นจึงโบกมือเรียกพี่น้องแก๊งมังกรเขียวที่ตามมาให้นำร่างของบอดี้การ์ดไปกองรวมกันกับหลี่เทียน
  เสี่ยวเม่ยหนิงถามกลับมาด้วยเสียงที่ห้วน“แล้วมีเรื่องสำคัญอะไร”
  ถังเมิ่งตอบกลับยิ้มๆ“ความลับ.. รออีกเดี๋ยวคุณก็จะรู้เอง!”
  เสี่ยวเม่ยหนิงยกแขนขึ้นพร้อมกับร้องตะโกนอย่างไม่พอใจ“นี่นายกล้ามีความลับกับฉันเหรอ คิดว่าฉันไม่กล้าจัดการกับนายหรือยังไง?”
  ถังเมิ่งตกใจกลัวจนต้องวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังของตี้เสี่ยวอู๋และร้องอุทานออกมาว่า “ผมขอโทษจริงๆ มันเป็นความลับ ถ้าไม่เชื่อคุณก็ลองถามตี้เสี่ยวอู๋ดู..”
  ภาพของถังเมิ่งตี้เสี่ยวอู๋ อาปิง และพี่น้องแก๊งมังกรเขียวอีกสิบกว่าคนที่ตามหลังมานั้น สร้างความตื่นตระหนกตกใจให้กับทุกคนที่ได้พบเห็นเป็นอย่างมาก และไม่มีใครกล้าที่จะพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว!
  เสี่ยวเม่ยหนิงนั้นปฏิบัติกับตี้เสี่ยวอู๋ต่างจากที่ปฏิบัติกับถังเมิ่งมากเธอชักฝ่ามือกลับทันที และหันไปมองตี้เสี่ยวอู๋แทนคำถาม..
  นั่นเพราะตี้เสี่ยวอู๋ได้ชนะใจเธอด้วยการที่อดหลับอดนอนฝึกฝนวิชาทั้งวันทั้งคืนนั่นเอง!
  ร่างใหญ่โตแข็งแกร่งของตี้เสี่ยวอู๋นั้นยืนตระหง่านและไม่หลบสายตาของเสี่ยวเม่ยหนิงพร้อมตอบกลับไปว่า “จริงครับ.. เดี๋ยวคุณก็จะรู้เอง!”
  แม้เสี่ยวเม่ยหนิงจะรู้สึกสงสัยและคลางแคลงใจ แต่เธอก็ได้แต่พยักหน้า..
  ถังเมิ่งเห็นเช่นนั้นก็ได้แต่น้ำตาตกใน พร้อมกับแอบคิดอยู่ในใจว่าเขาจะต้องให้หลิงหยุนสอนวรยุทธให้บ้างแล้ว!
  …….
  “อะไรนะ!หลิงหยุนมันมาที่งานงั้นเหรอ? มาคนเดียวด้วย! ช่างกล้ามากจริงๆ!”
  ในเวลาเดียวกันนั้นเองบอดี้การ์ดอีกหนึ่งคนก็รีบวิ่งเข้าไปรายงานหลี่จิ่วเจียงที่ห้องวีไอพีทันที!
  หลังจากที่หลี่จิ่วเจียงได้ฟังเขาก็ถึงกับโกรธจนควันออกหู แล้วรีบลุกขึ้นเตรียมตัวที่จะออกไปดูเหตุการณ์ทันที
  “แล้วหลี่เทียนล่ะ!”
  หลี่จิ่วเจียงดูเหมือนจะเป็นห่วงเป็นใยหลานชายของตนเองมาก!
  บอดี้การ์ดที่มารายงานได้แต่ยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับตอบไปว่า“เอ่อ.. ดูเหมือนว่าจะยับเยินครับท่าน!”
  มันไม่รู้จริงๆว่าตอนนี้หลี่เทียนเป็นอย่างไรบ้างและได้แต่พูดไปตามที่หลิงหยุนบอก!
  “อะไรนะ!”
  สีหน้าของหลี่จิ่วเจียงเต็มไปด้วยความกระวนกรวายใจและความวิตกกังวล เขาหันหน้าไปทางชายลึกลับทั้งสามคนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “เอ่อ..ท่านอาจารย์ทั้งสาม ไม่ทราบว่าผมควรจะทำอย่างไร!”
  ก่อนหน้านี้หลี่จิ่วเจียงเพิ่งทำเหมือนไม่ยี่หระและเพิ่งจะยืนยันอย่างมั่นอกมั่นใจว่าหลิงหยุนไม่มีทางกล้ามาเหยียบที่นี่อย่างแน่นอน เพราะตัวเขาเองเป็นถึงผู้อำนวยการกองการศึกษาประจำมณฑลเจียงหนาน และที่นี่ก็เป็นโรงแรมระดับห้าดาวที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด!
  และที่สำคัญ..แขกในงานทั้งสามร้อยกว่าคนนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีหน้ามีตาในเมืองจิงฉู
  แน่นอว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือแขกทั้งสามร้อยกว่าตนนั้นล้วนเป็นคนมีหน้ามีตาในเมืองจิงฉูหลิงหยุนต้องไม่กล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่อย่างแน่นอน!
  และหากหลิงหยุนกล้าใช้ความรุนแรงกับข้าราชการระดับสูงของประเทศนี้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ยากที่จะได้รับความปราณีจากผู้บริหารระดับสูงคนอื่นๆ
  ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้..หลี่จิ่วเจียงจึงมั่นใจอย่างยิ่งว่า ต่อให้หลิงหยุนบ้าดีเดือดเพียงใด เขาก็คงไม่กล้าที่จะใช้กำลังกับตนเองอย่างแน่นอน!
  แม้หลี่จิ่วเจียงจะคิดถูกว่าหลิงหยุนจะไม่ใช้กำลังในการจัดการกับตนเองแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหลิงหยุนจะไม่กล้าใช้กำลังจัดการกับผู้อื่น รวมทั้งหลี่เทียนหลานชายของเขาด้วย!
  เพราะถึงแม้หลี่เทียนจะมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาแต่เขาก็เป็นเพียงแค่เด็กนักเรียนมัธยมคนหนึ่งเท่านั้น!
  เมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนมา..คนที่ตกใจยิ่งกว่าหลี่จิ่วเจียงคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเสียเจิ้นติงกับกู่เหลียนเฉิง!
  ทั้งสองคนถึงกับกระโจนลุกขึ้นจากเก้าอี้และหันไปมองหน้ากันทันที แววตาหวาดผวาปรากฏขึ้นในดวงตาของคนทั้งคู่ และเหงื่อเย็นก็ไหลออกมาเต็มหน้าผาก!
  นับว่าโชคร้ายอย่างที่สุด!โชคร้ายจริงๆ!
  โรงแรมห้าดาวแล้วยังไง!
  เพราะเมื่อหลายเดือนก่อนหลิงหยุนก็เคยบุกเข้าไปในโรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่ง และได้จัดการเตะกู่เหลียนเฉิงและผู้ชายอีกสิบกว่าคนจนกลายเป็นขันทีมาแล้ว!
  ข้าราชการระดับสูงแล้วยังไง
  หลิงหยุนเองก็เคยชี้หน้าหลัวจ้งซึ่งเป็นถึงผู้อำนวยการสำนักงานรักษาความมั่นคงมาแล้วเรื่องนี้เสียเจิ้นติงรู้ดีกว่าใคร
  “จะทำยังไงกันดี”
  เสียเจิ้นติงและกู่เหลียนเฉิงมีสีหน้าแตกตื่นไม่ต่างจ่ากนกแตกรังทั้งคู่ไม่สามารถสงบอารมณ์ได้อีกต่อไป ต่างคนต่างก็ร้องตะโกนถามอีกฝ่ายไม่หยุด..
  แล้วคำถามก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า..จะทำยังไงดี!
  ชายลึกลับที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงตอบไปว่า “เจ้าเด็กหลิงหยุนนี่ช่างไร้มารยาทนัก! ผู้อำนวยการหลี่ไม่ต้องกังวลใจไป พวกเราจะออกไปดูเอง!”
  พูดจบ..ชายลึกลับที่เป็นหัวหน้าก็ลุกขั้นยืนเอามือปัดเสื้อผ้า
  “ผมจะไปกับอาจารย์ทั้งสามท่านด้วยผมก็อยากจะรู้นักว่าหลิงหยุนมันมีสามเศียรหกกรหรือยังไง ถึงได้ใจกล้ามาป่วนงานเลี้ยงคืนนี้!”
  เมื่อหลี่จิ่วเจียงเห็นว่าอาจารย์ลึกลับทั้งสามคนตั้งใจจะช่วยเหลือก็รู้สึกผ่อนคลาย และรีบเดินนำออกไปนอกห้องทันที
  ส่วนคนอื่นๆที่อยู่ในห้องต่างก็ลุกขึ้นเดินตามออกไปดูด้วยเช่นกัน..
  เสียเจิ้นติงและกู่เหลียนเฉิงต่างก็รู้สึกว่าริมฝีปากของตนเองแห้งผากและได้แต่เดินตามคนอื่นๆออกไปเช่นกัน
  หลิงหยุนยังคงยืนนิ่งเงียบอยู่บนเวทีพร้อมกับกวาดสายตามองไปยังแขกที่อยู่ด้านล่างและกำลังรอให้หลี่จิ่วเจียงปรากฏตัว..
  ที่หลิงหยุนทำไปทั้งหมดนั้นก็เพื่อบีบให้หลี่จิ่วเจียงออกมานั่นเอง!
  และเรื่องในวันนี้..หลิงหยุนต้องการให้แขกทั้งสามร้อยกว่าคนนี้เป็นพยานให้กับเขา!
  “เลขาหวัง..ใครกล้ามาป่วนในงานเลี้ยง แล้วเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยล่ะ.. หายหัวไปใหนหมด? รีบโทรหาเจ้าของโรงแรมไคเฉวียนเดี๋ยวนี้!”
  เมื่อหลี่จิ่วเจียงออกมาเห็นบอดี้การ์ทั้งสี่คนกองอยู่ที่พื้นก็ร้องตะโกนถามเสียงดัง แต่แล้วจู่ๆก็รู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งหลัง จึงรีบหันกลับไปมองที่เวทีทันที..
  และหลี่จิ่วเจียงก็พบว่าหลิงหยุนกำลังยืนอยู่บนนั้น!
  “ผู้อำนวยการหลี่..ผมนี่ล่ะเจ้าของโรงแรมไคเฉวียน!”