บทที่ 849 : ปิดประตูตีแมว!
  “อะไรนะ!”
  เจ้าของโรงแรมไคเฉวียนคือ..หลิงหยุน! เป็นไปได้อย่างไรกัน?!
  หลี่จิ่วเจียงมีสีหน้างุนงงและถึงกับทำหน้าไม่ถูก เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนช้าๆ
  หลิงหยุนที่อยืนอยู่บนเวทีก็จ้องมองมาทางหลี่จิ่วเจียงเช่นกันสายตาที่คมกริบของหลิงหยุนนั้นทำให้หลี่จิ่วเจียงถึงกับไม่กล้าสบตา!
  “ไม่..เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด! เจ้าของโรงแรมไคเฉวียนคือเฉียนหงยี่ต่างหากล่ะ แกกลายมาเป็นเจ้าของตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!”
  หลี่จิ่วเจียงพยายามปิดบังความรู้สึกไม่มั่นใจของตนเองด้วยการแสดงออกมาว่าตนเองนั้นรู้จักกับเจ้าของโรงแรมไคเฉวียนเพราะหากโรงแรมแห่งนี้เป็นของหลิงหยุนจริง เขาคงไม่เลือกมาจัดงานเลี้ยงที่โรงแรมแห่งนี้แน่ เพราะในเมืองจิงฉูก็มีโรงแรมห้าดาวอีกมากมายหลายแห่ง!
  หลี่จิ่วเจียงยกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า“โรงแรมไคเฉวียนทำกำไรปีๆหนึ่งมากกว่าหนึ่งร้อยล้าน ธุรกิจที่ทำกำไรได้ดีแบบนี้ มีเหตุผลอะไรที่เจ้าของโรงแรมจะขายกิจการให้กับแก!”
  หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน“หึ.. เรื่องนี้ผู้อำนวยการหลี่คงจะต้องไปถามเจ้าของโรงแรมคนเก่าดูแล้วล่ะ ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้ขายกิจการโรงแรมนี้ให้กับผม”
  เฉียนหงยี่เพิ่งจะเซ็นสัญญาซื้อขายโรงแรมแห่งนี้ให้กับถังเมิ่งและก่อนหน้านี้ถังเมิ่งก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดการเรื่องเอกสาร!
  ก่อนเวลาสองทุ่มของวันนี้โรงแรมไคเฉวียนยังคงเป็นของเฉียนหงยี่.. แต่เวลานี้มันได้ตกเป็นของหลิงหยุนแต่เพียงผู้เดียวไปแล้ว!
  โรงแรมไคเฉวียนนั้น..ทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีมูลค่ากว่าสามร้อยล้านหยวน มูลค่าการตกแต่งอาคารอีกราวเจ็ดสิบล้านหยวน และคาดว่าภายในปีหน้าจะสามารถทำกำไรได้ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบล้านหยวน ถังเมิ่งจึงทำการเสนอซื้อโรงแรมแห่งนี้ด้วยจำนวนเงินห้าร้อยล้านหยวน และในที่สุดมันก็ตกเป็นของหลิงหยุน!
  ในเมื่อจะจัดการกับใครสักคน..การจัดการในพื้นที่ของตนเองก็จะได้เปรียบกว่า!
  ‘ฉันให้เวลานายยี่สิบนาที..นายต้องจัดการซื้อโรงแรมไคเฉวียนมาเป็นของฉันให้ได้ ไม่ว่าจะราคาเท่าไหร่ฉันก็สู้!’
  และนี่คือคำสั่งของหลิงหยุนที่ถังเมิ่งเพิ่งได้รับก่อนหน้านี้เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงแม้แต่ถังเมิ่งเองยังตกใจจนแทบทำโทรศัพท์มือถือในมือร่วงลงพื้น!
  เอาแต่ใจ!
  นอกเหนือจากคำนี้แล้ว..ถังเมิ่งก็ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำพูดใหนมาอธิบายนิสัยของหลิงหยุนได้ชัดเจนกว่านี้ได้!
  แม้กระทั่งแขกที่อยู่ในห้องจัดเลี้ยงสามร้อยกว่าคนเมื่อได้ยินว่าเจ้าของโรงแรมไคเฉวียนคือหลิงหยุนทุกคนต่างก็พากันตกตะลึง และได้แต่นั่งอ้าปากค้าง สีหน้าบ่งบอกว่าประหลาดใจอย่างที่สุด!
  “อ่อ..ที่แท้เขาก็ซื้อกิจการของโรงแรมนี้ไปแล้วนี่เอง ถึงได้กล้าทำอะไรแบบนี้!”
  “เงินแค่น้อยนิด..ฉันเคยเห็นกับตาตัวเองตอนที่หลิงหยุนพนันหินชนะ และได้หยกจักรพรรดิมาครอบครอง!”
  “นี่ถ้าโรงแรมนี้เป็นของหลิงหยุนจริงๆพนักงานทั้งหมดของโรงแรมก็คงต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา!”
  “นั่นสิ..คงไม่จำเป็นต้องเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยแล้วล่ะ! เพราะพวกเขาก็คงต้องฟังคำสั่งหลิงหยุนเหมือนกัน!”
  “ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ!”
  ……
  หลังจากที่ภายในห้องจัดเลี้ยงตกอยู่ในความเงียบสงัดครู่ใหญ่เมื่อผู้คนหายจากอาการตกตะลึง หลายคนต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา
  หลี่จิ่วเจียงได้ฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังขึ้นเขาก็เริ่มโมโหมากจนเส้นเลือดในสมองแทบแตก และเลือดในกายก็พลุ่งพล่านขึ้นในทันที
  หลี่จิ่วเจียงได้แต่คิดอยู่ในใจว่า..เพียงเพื่อจะจัดการกับตนเอง หลิงหยุนถึงกับลงทุนซื้อโรงแรมนี้เชียวหรือ! นี่มันอะไรกัน?!
  นับว่าหลิงหยุนเปิดเกมได้ใหญ่โตเกินกว่าที่คาดคิดมากแม้แต่หลี่จิ่วเจียงเองก็ถึงกับรับมือไม่ถูกเช่นกัน!
  “เลขาหวัง..โทรตามคุณเฉียนมาเดี๋ยวนี้ จะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
  หลี่จิ่วเจียงเริ่มกังวลใจขึ้นมาทันทีแต่คนอย่างเขานั้นไม่เห็นโลงศพย่อมยังไม่หลั่งน้ำตา เขายังคงไม่เชื่อว่าสิ่งที่หลิงหยุนพูดนั้นจะเป็นความจริง และไม่มีทางเชื่อว่าหลิงหยุนซื้อโรงแรมไคเฉวียนอย่างแน่นอน!
  นั่นเพราะก่อนที่จะเลือกมาจัดงานที่โรงแรมนี้เขาก็รู้แล้วว่าเจ้าของโรงแรมคือใคร เพราะนี่เป็นเรื่องเกี่ยวพันกับความปลอดภัยของตนเอง!
  หากโรงแรมนี้ยังคงเป็นของเฉียนหงยี่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็จะต้องมาจัดการกับหลิงหยุน และต่อให้ไม่สามารถหยุดหลิงหยุนได้ พวกเขาก็จะต้องโทรเรียกตำรวจให้มาควบคุมสถานการณ์อย่างแน่นอน และคงจะหาทางจัดการให้เรื่องจบโดยเร็วที่สุดเพื่อไม่ให้โรงแรมเสียหาย!
  แต่หากโรงแรมนี้เป็นของหลิงหยุนอย่างที่พูดจริงความเป็นไปได้ข้างต้นก็จะเป็นไปไม่ได้ทันที! และทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับหลิงหยุนเพียงคนเดียว
  หลี่จิ่วเจียงนึกถึงอาจารย์ลึกลับทั้งสามท่านที่ตระกูลซันส่งมาคุ้มครองตนเองแล้วก็รู้สึกมั่นใจว่าตนเองจะสามารถออกไปจากโรงแรมนี้ได้อย่างปลอดภัยแน่นอน..
  ที่หน้าประตูทางเข้าห้องจัดเลี้ยงเสี่ยวเม่ยหนิงถึงกับยืนอ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึง พร้อมกับชี้นิ้วไปทางถังเมิ่ง
  “ถังเมิ่ง..ที่นายพูดเมื่อครู่.. ก็คือเรื่องนี้ใช่มั๊ย!”
  ถังเมิ่งพยักหน้ายิ้มๆพร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก“ถูกต้อง.. ตอนนี้โรงแรมไคเฉวียนกลายเป็นของพี่หลิงหยุนแล้ว แล้วก็เป็นผู้ถือครองแต่เพียงผู้เดียวด้วยนะ!”
  ระหว่างที่เล่าให้เสี่ยวเม่ยหนิงฟังนั้นถังเมิ่งก็ยกกระเป๋าสีดำขึ้นโบกตรงหน้าเธอพร้อมกับหัวเราะ
  “เอกสารซื้อขายและการโอนทั้งหมดอยู่ในนี้แล้ว..”
  หนิงหลิงยู่ถึงกับยิ้มออกมาอย่างพอใจ..
  ฉีเสี่ยวชิงถึงกับอึ้งไปริมฝีปากเล็กๆได้แต่พึมพำออกมา “นี่.. นี่..” แต่ก็พูดได้เพียงเท่านั้น..
  ถังเมิ่งยิ้มพร้อมกับหันไปบอกฉีเสี่ยวชิง..“เงินจำนวนเล็กๆน้อยๆเท่านั้น!”
  หลิงหยุนได้ครอบครองหยกจักรพรรดิก้อนมหึมาที่มีมูลค่าเป็นพันล้านเงินจำนวนห้าร้อยล้านที่ใช้ซื้อโรงแรมจึงนับว่าเล็กน้อยจริงๆ
  และเพียงแค่ครู่เดียวชายร่างอ้วนผิวขาวก็เดินหน้าตาตื่นเข้ามา ใบหน้าของเขามีเหงื่อท่วมไปหมด และกำลังเดินมุ่งหน้าไปทางห้องจัดเลี้ยง
  “คุณเฉียน..”
  และแน่นอนว่าชายร่างอ้วนผู้นี้ก็คือเฉียนหงยี่ทันทีที่เห็นเฉียนหงยี่เดินเข้ามา เขาก็รีบเอ่ยทักทาย
  “อ้าวคุณชายถัง..ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ”
  เฉียนหงยี่ได้จัดการลงนามเอกสารโอนโรงแรมให้กับถังเมิ่งแล้วเขาจึงรู้จักถังเมิ่ง และรีบตอบกลับอย่างมีมารยาท
  ถังเมิ่งเห็นสีหน้าและแววตากระวนกระวายของเฉียนหงยี่จึงโน้มตัวเข้าไปหาพร้อมกับกระซิบเสียงเบา
  “คุณเฉียน..ผมขอเตือนว่าคนที่ยืนอยู่บนเวทีในห้องจัดเลี้ยงนั้นเป็นพี่ชายของผมเอง และเขาก็คือคนที่ซื้อโรงแรมนี้จากคุณ เพราะฉะนั้นจะพูดจะจาอะไรก็คิดให้ดีก่อนนะ..”
  เพื่อให้ได้ครอบครองโรงแรมไคเฉวียนแห่งนี้ถังเมิ่งถึงกับเสนอกำไรในปีหน้าทั้งปี และเพิ่มอีกสิบล้านให้กับเฉียนหงยี่ เช่นนี้แล้วเขาจะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเอ่ยเตือนเฉียหงยี่เชียวหรือ!
  และในยุคสมัยที่เงินคือพระเจ้าเช่นนี้ถังเมิ่งไม่เพียงแค่มีเงิน แต่ยังมีศักยภาพ และความสามารถอีกด้วย!
  “ขอบคุณคุณชายถังที่เตือนผมผมเข้าใจดี และจะเข้าไปบอกกับทุกคนให้เข้าใจเดี๋ยวนี้ล่ะ!”
  เฉียนหงยี่เป็นคนเข้าใจอะไรง่ายเขาเห็นถังเมิ่งมาพร้อมกับคนของแก๊งมังกรเขียวเป็นสิบคนเช่นนี้ และเห็นคนสองคนที่นั่งกองอยู่ที่พื้น มีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นที่โรงแรม
  ‘เฮ้อ..โชคดีจริงๆที่เวลานี้โรงแรมไม่ได้เป็นของฉันแล้ว ไม่งั้นคงไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหายังไง’
  เฉียนหงยี่ถึงกับยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลเปียกเต็มหน้า..
  “งั้นก็เชิญ!”
  ถังเมิ่งตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแล้วปล่อยให้เฉียนหงยี่เดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง..
  “นี่เรียกว่าปิดประตูตีแมวสินะ!”
  ถังเมิ่งมองตามหลังเฉียนหงยี่ไปพร้อมกับพึมพำออกมายิ้มๆและกำลังรอดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป
  เฉียนหงยี่ไม่สนใจผู้คนรอบตัวอีกและรีบเดินตรงเข้าไปหาผู้อำนวยการหลี่ที่อยู่ในห้องจัดเลี้ยงทันที เมื่อไปถึงก็รีบเอ่ยถามขึ้นทันที
  “ผู้อำนวยการหลี่..เลขาหวัง.. ไม่ทราบว่าโทรเรียกผมมามีอะไรงั้นหรือครับ”
  แม้หลิงหยุนจะไม่แยแสหลี่จิ่วเจียงแต่ใช่ว่าคนอื่นๆจะไม่เกรงกลัวหลี่จิ่วเจียง เฉียนหงยี่จึงต้องพูดกับเขาอย่างมีมารยาท
  “นี่คุณเฉียน..ผมขอถามเรื่องโรงแรมนี้หน่อย! นี่มันเกิดเรื่องบ้าบออะไรกัน ตอนนี้โรงแรมนี้เป็นของใครกันแน่”
  เมื่อเลขาหวังเห็นเฉียนหงยี่เขาก็รีบตะโกนถามด้วยความโมโห หลี่จิ่วเจียงสามารถคาดเดาปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ มีหรือที่เลขาหวังจะคิดไม่ได้เช่นกัน!
  “เลขาหวัง..ตอนนี้ผมได้ขายโรงแรมไคเฉวียนให้กับคนที่ชื่อหลิงหยุนแล้ว.. และคุณหลิงก็อยู่..”
  เฉียนหงยี่พูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองหลิงหยุนที่อยู่บนเวทีหลิงหยุนเองก็ส่งยิ้มลงมาให้เฉียนหงยี่เช่นกัน
  เสียงพูดของเฉียนหงยี่นั้นค่อนข้างดังผู้คนที่อยู่ด้านหน้าห้องจัดเลี้ยงจึงสามารถได้ยินอย่างชัดเจน พวกเขาจึงได้แต่งุนงง!
  “นี่มัน..”
  หลี่จิ่วเจียงได้ฟังถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจและน้ำตาแทบไหลออกจากเบ้า เขากัดฟันพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปที่เฉียนหงยี่ แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว..
  เมื่อเฉียนหงยี่เห็นผู้อำนวยการหลี่โมโหและทำท่าคล้ายจะตำหนิตนเอง ก็ถึงกับหวาดกลัวจนตัวสั่น เฉียนหงยี่รู้ตัวว่าไม่ควรอยู่ที่นี่ต่อไปนานนัก จึงรีบระล่ำระลักอธิบายพร้อมกับเอ่ยขอตัวทันที
  “ผู้อำนวยการหลี่..ความจริงผมเองก็ไม่อยากจะขายโรงแรมนี้ แต่ราคาที่พวกเขาเสนอให้นั้น ผมไม่สามารถปฏิเสธได้จริงๆ วันนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัว คงต้องขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อน..”
  แทบไม่ต้องรอให้พูดจบประโยค..เฉียนหงยี่ก็รีบหันหลัง และวิ่งออกไปตามทางที่วิ่งเข้ามาเมื่อครู่ทันที เขาอยากจะรีบออกไปให้พ้นๆจากห้องจัดเลี้ยงนี้ให้เร็วที่สุด
  ตั้งแตที่เฉียนหงยี่วิ่งเข้ามาจนกระทั่งวิ่งออกไปนั้นหลิงหยุนก็เพียงแค่ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร หลังจากที่เฉียนหงยี่ออกไปแล้ว หลิงหยุนจึงหันไปแสยะยิ้มให้กับหลี่จิ่วเจียงพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน..
  “ผู้อำนวยการหลี่..ผมยืนอยู่บนเวทีในโรงแรมของผมเอง แต่อันธพาลสองตัวนั่นพุ่งเข้ามาจะทำร้ายผม ผมสั่งสอนพวกมันเล็กๆน้อยๆแค่นี้ ไม่ทราบว่าผมทำเกินไปงั้นเหรอ หรือว่าการป้องกันตัวเองก็เป็นเรื่องที่ผิดกฏหมาย?”
  “พ่อหนุ่ม..ต่อให้ใครจะเป็นเจ้าของโรงแรมนี้ก็ตาม แต่เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายร่างกายผู้อื่นในที่สาธารณะ และใช้วรยุทธกับคนธรรมดาเช่นนี้ เจ้ากำลังฝ่าฝืนกฏของเหล่าชาวยุทธ..”
  จู่ๆชายลึกลับที่เป็นหัวหน้าก็ก้าวเดินออกมาด้านหน้า และพูดกับหลิงหยุนด้วยท่าทางที่สงบนิ่ง!
บทที่ 850 : จัดการกับยอดฝีมือตระกูลซัน!
  “ฝ่าฝืนกฏของเหล่าชาวยุทธงั้นรึ!ฮ่า.. ฮ่า..”
  หลิงหยุนหันไปพูดกับกับยอดฝีมือตระกูลซันพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดังเขาส่ายหน้าไปมาด้วยความเย้ยหยัน ก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียงดัง..
  “นี่เจ้าพล่ามไร้สาระอะไรออกมา!ฟังแล้วช่างน่ารำคาญนัก!”
  หลิงหยุนนั้นรู้ดีว่าสิ่งที่ยอดฝีมือผู้นี้พูดออกมานั้นหมายถึงอะไร– ในโลกยุทธภพของเหล่าจอมยุทธชาวจีนนั้น ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธฝ่ายธรรมะหรือว่าฝ่ายมาร ต่างก็ไม่ควรแสดงวรยุทธ หรือใช้วรยุทธกับคนธรรมดาสามัญทั่วไป
  มิฉะนั้นแล้ว..คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นศัตรูของเหล่าจอมยุทธทั่งทั้งยุทธภพ และอาจจะถูกเหล่าจอมยุทธที่ไม่พอใจไล่ล่าเอาก็ได้!
  และนี่คือสาเหตุที่เกาเฉินเฉินท่านหมอเสี่ยว ตู้กู่โม่ เหล่ากุ่ย และฉินตงเฉี่วย ทุกคนต่างก็มักจะย้ำกับหลิงหยุนนักหนา จนเขาเองได้แต่ฟังจนหูชา!
  ก่อนหน้านี้หลิงหยุนก็ยึดมั่นจริงจังและพยายามอย่างยิ่งที่จะปฏิบัติตามกฎ แต่หลังจากที่ได้เดินทางไปปักกิ่งนั้น เขาก็โยนกฏระเบียบทิ้งไปเสียสิ้น!
  และเหตุผลที่เขาเลิกสนใจกฎยุทธภพก็เพราะว่าหลังจากที่เขาลงมือกับยอดฝีมือตระกูลเฉินจำนวนสิบกว่าคนที่ร้านอาหารของเถ้าแก่ซัน ซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองไปเพียงแค่สองกิโลเมตรในเวลากลางวันแสกๆนั้น
  ถึงแม้ว่าคนของหน่วยนภาและหน่วยมังกรจะไม่ปรากฏตัวแต่เหตุการณ์ในวันนั้นก็ถูกพบเห็นโดยหัวหน้าของหน่วยเทพอินทรีย์ที่มาถึงภายหลัง
  แต่เมื่อสองวันที่แล้ว..หลิงหยุนลองค้นหาภาพและคลิปวีดีโอของเหตุการณในวันนั้นจากสื่อ และอินเทอร์เน็ตต่างๆ แต่ปรากฏว่าไม่มีคลิปหรือภาพการต่อสู้ในวันนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งที่ผ่านมาคลิปการต่อสู้ต่างๆของหลิงหยุนก็ถูกลบออกจากโลกอินเทอร์เน็ตทั้งหมด
  นั่นเพราะสิ่งที่หลิงหยุนทำนั้นเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์และเหลือเชื่อจนเกินไป หากปล่อยให้คลิปและภาพเหล่านี้เผยแพร่ออกไปมากๆ ผู้คนในยุคนนี้คงจะเลิกสนใจการเรียน เลิกทำงานทำการ และคงหมกมุ่นอยู่กับการหาที่เรียนและฝึกฝนวรยุทธแทน!
  และหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นจริงๆประเทศนี้คงโกลาหลวุ่นวายน่าดู..
  และก่อนหน้านี้..หลิงหยุนก็ได้เกริ่นกับแขกสามร้อยกว่าคนในห้องจัดเลี้ยงแล้วว่า อาจมีภาพที่ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกตกใจเกิดขึ้นที่นี่!
  ชายลึกลับที่เป็นหัวหน้านั้นเมื่อเห็นหลิงหยุนกล้าตะโกนใส่หน้าตนเองอย่างจองหองเช่นนั้น ก็ถึงกับโมโหขึ้นมาทันที!
  เขายกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวว่า“อะไรนะ! นี่เจ้ากล้าตะโกนใส่หน้าข้า แล้วยังหาว่าข้าพล่ามไร้สาระอีกรึ?”
  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยขณะที่ตอบกลับไปว่า“ถูกต้อง! เจ้าแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง นี่เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างข้ากับหลี่จิ่วเจียง เหตุใดเจ้าต้องยื่นมือเข้ามาสอดด้วยเล่า”
  คนเป็นหัวหน้าถึงกับกัดฟันกรอดใบหน้าของเขาแดงก่ำไปจนถึงลำคอ พร้อมกับร้องตะโกนออกมาอย่างโมโห
  “นี่เจ้า..เจ้ารนหาที่ตายชัดๆ!”
  หลิงหยุนยักไหล่อย่างไม่ยี่หระก่อนจะหันไปพูดกับแขกด้านหน้าว่า“ทุกท่านดูสิครับ.. เมื่อครู่เขาเป็นคนบอกให้ผมเคารพกฎหมาย แต่ตอนนี้เขากลับขู่ฆ่าผมซะเอง!”
  ชายลึกลับที่เป็นหัวหน้าโมโหจนแทบคลั่งแต่ก็ยังคงยืนนิ่ง และไม่ลงมือกับหลิงหยุน แต่ยอดฝีมืออีกสองคนต่างก็ก้าวขึ้นมาด้านหน้าพร้อมกัน ทั้งคู่จ้องหน้าหลิงหยุนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ และหนึ่งในนั้นก็พูดขึ้นว่า
  “เจ้าหนู..ปากดีเช่นนี้ดูเหมือนว่าเจ้าจะรนหาที่เองนะ แล้วอย่าได้ตำหนิพวกข้าก็แล้วกัน!”
  ยอดฝีมืออีกหนึ่งคนรีบสมทบขึ้นทันที“เจ้าหนู.. ในเมื่อเจ้าช่างเจรจาเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่กล้าออกไปหาสถานที่เงียบๆประมือกับพวกเราดูเล่า”
  หลิงหยุนได้ฟังก็ถึงกับยิ้มออกมาเขายกมือขึ้นชี้ไปทางหน้าต่างพร้อมกับตอบไปว่า “พวกเจ้าสองช่างโง่นัก.. ไม่รู้รึว่าข้างนอกฝนตกหนักเพียงใด”
  และในระหว่างนที่พูดนั้นสายฟ้าที่อยู่ด้านนอกก็ยังคงแลบแปลบปลาบไม่หยุด และฝนก็ยังคงกระหน่ำลงมาอย่างหนักเช่นกัน
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา“พวกเจ้าคงเป็นคนของตระกูลซันสินะ”
  พูดจบหลิงหยุนก็หันไปพูดกับหลี่จิ่วเจียง“คุณรู้มั๊ยว่าเพราะอะไรผมถึงได้ซื้อโรงแรมไคเฉวียน เคยได้ยินคำว่าปิดประตูตีแมวบ้างมั๊ย?”
  จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปมองยอดฝีมือตระกูลซันทั้งสามคนพร้อมกับสั่งว่า“ในเมื่อพวกเจ้าสามคนเข้ามาที่นี่แล้ว ก็อย่าหวังว่าจะออกไปได้เลย! หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จ ข้าจะไปเยี่ยมเยียนตระกูลซันต่อ และพวกเจ้าต้องเป็นคนนำข้าไป!”
  หลิงหยุนยืนอยู่บนเวทีเพียงลำพังและคำพูดที่เขาใช้นั้นจะเรียกว่าเป็นการออกคำสั่งก็ว่าได้!
  “เจ้าช่างจองหองพองขนนักนะ!”
  ในที่สุดผู้ที่เป็นหัวหน้าก็ไม่สามารถอดทนอดกลั้นได้อีกต่อไปเขารวบรวมลมปราณภายในร่างกายจนเสื้อผ้าที่สวมใส่ปลิวสะบัดราวกับมีลมพัดแรง!
  และมันคือกระแสลมปราณที่พวยพุ่งออกมาจากร่างกายนั่นเอง!
  ซันเทียนเปียวถูกสังหารในครั้งนั้นแน่นอนว่าครั้งนี้ตระกูลซันจึงต้องส่งยอดฝีมือที่แข็งแกร่งกว่ามาอย่างแน่นอน..
  “วันนี้ข้าจะจัดการกับเจ้าเองดูซิว่าเจ้ายังจะจองหองได้อีกหรือไม่”
  ชายที่เป็นหัวหน้าร้องตะโกนออกมาและเพียงแค่พริบตาเดียวร่างของเขาก็กระโจนขึ้นไปอยู่บนเวทีกับหลิงหยุน พร้อมกับปล่อยหมัดใส่ร่างของเขาทันที!
  หลิงหยุนจ้องมองหมัดที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วนั้นโดยไม่กระพริบตาและร่างของเขาก็ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่มีทีท่าว่าจะหลบหมัดที่พุ่งเข้ามาแต่อย่างใด!
  หากดูด้วยสายตาของคนธรรมดาการต่อสู้ของคนทั้งคู่บนเวทีดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ความจริงแล้วลมปราณที่พวยพุ่งออกมาจากหมัดของผู้ที่เป็นหัวหน้านั้นนับว่ามีพลังมาก มันสามารถทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ถึงกับผมปลิว และรู้สึกเจ็บปวดได้หากกระทบเข้ากับใบหน้า!
  แต่ในระหว่างนั้น..หลิงหยุนเองก็ได้กำหมัดรอไว้แล้ว และเมื่อจังหวะมาถึง เขาก็ยื่นหมัดของตนเองออกไปปะทะทันที..
  ปัง!เสียงหมัดทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง
  ภาพที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทำให้ทุกคนในห้องถึงกับตกใจ เพราะมีเสียงคล้ายกิ่งไม้แห้งหักดังตามมาก่อนจะมีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น..
  และระหว่างที่เสียงกรีดร้องนั้นดังขึ้นร่างสูงใหญ่ของผู้ที่เป็นหัวหน้าก็ลอยละลิ่วลงมาจากเวที กระแทกเข้ากับร่างของยอดฝีมืออีกสองคนที่อยู่ด้านล่างทันที แรงกระแทกทำให้ยอดฝีมือทั้งสองคนถึงกับถอยกรูดไปสองสามก้าว!
  “พี่ใหญ่!”ยอดฝีมือทั้งสองคนนั้นไม่คิดไม่ฝันว่าหัวหน้าของตนเองจะพ่ายแพ้ให้แก่หลิงหยุนเช่นนี้ จึงร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ!
  “แย่แล้ว..ดูเหมือนแขนของเขาจะหักด้วย! น่าหวาดเสียวจริงๆ!”
  “น่ากลัวมาก!”
  โต๊ะที่อยู่ข้างทางเดินนั้นแขกผู้ชายสองคนต่างก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจกับภาพที่ได้เห็น
  น่าขัน..ที่ผ่านมามีใครบ้างที่ปะทะหมัดกับหลิงหยุนแล้ว ยังจะสามารถรักษาแขนและมือให้อยู่ในสภาพเดิมได้บ้าง
  หลังจากที่จัดการชกจนผู้ที่เป็นหัวหน้ากระเด็นออกไปเช่นนั้นแล้วหลิงหยุนก็พูดออกมาอย่างเหยียดหยัน
  “เจ้าแข็งแกร่งไม่เท่าครึ่งของคนตระกูลเฉินแต่กล้าที่จะแลกหมัดกับข้างั้นรึ!”
  ร่างของผู้ที่เป็นหัวหน้านั้นลอยละลิ่วลงกระแทกพื้นและยอดฝีมืออีกสองคนก็รีบเข้าไปช่วยพยุงร่างไว้ ระหว่างที่รู้สึกเจ็บปวดจนสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่างนั้น ใบหน้าของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง และจู่ๆก็กระอักออกมาเป็นเลือด..
  หลังจากที่กระอักเลือดออกมาแล้วใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นซีดขาวราวกับกระดาษ เขาเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนพร้อมกับพึมพำว่า
  “เจ้าหนู..คิดไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!”
  หลิงหยุนทำเสียงล้อเลียน“เจ้าคิดไม่ถึงงั้นรึ ข่าวคราวของข้าในปักกิ่งออกจะโด่งดัง เชื่อว่าตระกูลซันเองก็ต้องรู้เช่นกัน นี่พวกมันไม่ได้เล่าเรื่องของข้าให้เจ้าฟังบ้างเลยงั้นรึ?”
  ความแข็งแกร่งของหลิงหยุนนั้นตระกูลเฉินและหน่วยเทพอินทรีย์ต่างก็รู้ดี และหากตระกูลซันไม่รู้ และไม่ระแคะระคายอะไร ก็นับว่าหน่วยข่าวกรองของตระกูลซันมีค่าแค่ขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น!
  ผู้ที่เป็นหัวหน้านั้นใบหน้าซีดเซียวและดูเหมือนต้องการจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง และหนึ่งในสองยอดฝีมือที่เหลือก็หันไปพูดกับอีกคนว่า
  “ฆ่ามันแก้แค้นให้พี่ใหญ่!”
  ทั้งคู่หยิบกริชคู่กายออกมาและพุ่งเข้าใส่หลิงหยุนทันที!
  ยอดฝีมือที่เป็นหัวหน้ารีบร้องห้ามทันที“อย่า.. พวกเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!”
  แต่ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว!
  ‘คิดจะใช้อาวุธโจมตีข้างั้นรึ’
  แววตาของหลิงหยุนปรากฏรังสีสังหารขึ้นมาวูบหนึ่งและในที่สุดก็ใช้มังกรพรางร่างพุ่งเข้าหายอดฝีมือทั้งสองทันที
  ปัง!ปัง!
  เท้าทั้งสองข้างของหลิงหยุนเตะเข้าที่ข้อมือทั้งสองข้างของคู่ต่อสู้และกริชในมือของยอดฝีมือทั้งสองคนก็หลุดจากมือ และพุ่งขึ้นไปปักที่เพดานคอนกรีตทันที!
  “พวกเจ้ารนหาที่ตายเองอย่าได้ตำหนิข้า!”
  หลิงหยุนร้องบอกยอดฝีมือทั้งสองคนก่อนจะชกกำปั้นเข้าไปที่ร่างของทั้งคู่จนลอยละลิ่วลงไปราวกับกระสอบทราย
  “อ๊าก!”
  “อ๊าก!”
  การต่อสู้ที่น่าสยดสยองเช่นนี้มีหรือที่คนธรรมดาจะไม่รู้สึกหวาดกลัว คนของหลี่จิ่วเจียงที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็พากันหลบออกไปอยู่ห่างๆ ร่างของยอดฝีมือทั้งสองคนที่หล่นลงมาจึงไม่โดนผู้คน และลอยกระแทกเข้ากับผนังห้องจัดเลี้ยง
  หลิงหยุนแข็งแรงมากเพียงใดน่ะหรือดูได้จากการที่ร่างของยอดฝีมือทั้งสองคนกระแทกเข้ากับกำแพงจนเป็นหลุม!
  หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมกับจ้องมองร่างของยอดฝีมือทั้งสามคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นจากนั้นจึงทำเป็นปัดฝุ่นที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง และที่ติดตามเสื้อผ้าของตนเอง
  หลังจากจัดการกับยอดฝีมือตระกูลซันทั้งสามคนแล้วหลิงหยุนก็หันไปมองหลี่จิ่วเจียงที่กำลังสั่นด้วยความหวาดกลัว พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
  “ผู้อำนวยการหลี่..คุณก็เห็นแล้วว่าผมไม่ได้มีสามเศียรหกกร เอาล่ะ.. ตอนนี้พวกเรามาคุยกันด้วยข้อกฏหมายจะดีกว่า!”