ตอนที่ 636 ต่างหยั่งเชิงกัน
หลิงอวี้จื้อเพิ่งจะลุกขึ้น ฮองเฮาก็เดินเข้ามาแล้ว หลิงอวี้จื้อพิจารณาหลิงฮองเฮาแล้วเห็นว่าเป็นคนที่ดูอ่อนโยนน่าเข้าหา แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นสตรีที่ใจดีมีเมตตา
มู่หรงกวานเยว่ไม่มีความน่าชิดใกล้เลย ทั้งร่างมีเพียงความสง่าและน่าเกรงขาม ดูมีอำนาจบารมี ยามอยู่กับนางทำให้รู้สึกกดดัน แต่หลินฮองเฮาดูอ่อนโยนอย่างยิ่ง ไม่มีท่าทีคุกคาม ส่วนเรื่องอายุก็เห็นๆ กันอยู่
หลิงอวี้จื้อถวายพระพรให้หลินฮองเฮา หลินฮองเฮายิ้มให้หลิงอวี้จื้อ “หยวนเฟย ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถิด”
พูดจบก็นั่งลงตรงตำแหน่งประธาน ไห่ถังคอยยืนอยู่ข้างกาย หลิงอวี้จื้อนั่งอยู่ด้านข้าง รอให้หลินฮองเฮาเอ่ยพูดก่อน
เมื่อหลินฮองเฮาเดินเข้ามาก็ได้พิจารณาหลิงอวี้จื้อแล้ว นางดูมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะดวงตาดำขลับนั้นช่างมีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนยิ่ง ทั้งร่างมีกลิ่นอายของความซุกซนซ่อนอยู่
ในวังมีแต่ชายาสนมที่เคร่งครัดกับกฎระเบียบ พวกนางเรียนรู้ธรรมเนียมมาตั้งแต่เล็ก ไม่ว่าพูดจา เดินเหิน กินข้าว หรือหลับนอน ล้วนต้องรักษากิริยาไว้ไม่ให้ทำท่าอันไม่สมควรออกมา
แต่ไม่มีผู้ใดเหมือนกับหลิงอวี้จื้อเลย คล้ายว่านางไม่อยู่ภายใต้บทบัญญัติทุกประการ ทำให้สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันเป็นอิสระจากตัวนาง
ความจริงการเป็นอิสระเช่นนี้คือสิ่งที่หลินฮองเฮาปรารถนายิ่ง เพียงแต่ฐานะของนางไม่เอื้อให้นางไปครุ่นคิดถึงมัน
“เดิมควรเป็นหม่อมฉันที่ต้องไปถวายพระพรฮองเฮา คิดไม่ถึงว่าพระองค์จะเสด็จมาถึงที่นี่ก่อน ครั้งนี้หม่อมฉันผิดเอง ขอฮองเฮาโปรดทรงให้อภัยด้วยเพคะ”
พูดแล้วก็คุกเข่าลง หลินฮองเฮาจึงรีบเข้าไปประคองหลิงอวี้จื้อไว้ด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่านางจะรู้ธรรมเนียมในวังด้วย ทั้งยังทำอย่างคุ้นเคย หรือนางจะเป็นพระชายาของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จริงๆ
“ข้าเป็นคนดูแลวังหลังทุกหมด น้องสาวเข้าวังมาครั้งแรก ข้ามาเยี่ยมเป็นเรื่องที่สมควรกระทำ ไม่ทราบว่าน้องหยวนเฟยพอจะคุ้นเคยบ้างแล้วหรือไม่”
“ด้วยความดูแลของฮองเฮา หม่อมฉันสบายดียิ่งเพคะ”
คนทั้งสองพูดคุยกันอย่างเกรงอกเกรงใจ ไม่มีผู้ใดเสียมารยาท ต่างคอยหยั่งเชิงกันไปมา
“ฝ่าบาททรงรักและโปรดปรานน้องสาวมาก เราอยู่ร่วมกับพระองค์มาสองปี นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นพระองค์โปรดปรานสตรีสักคน เข้าวังมาได้ไม่นานก็ได้เป็นถึงหยวนเฟย น้องสาวช่างมีวาสนานัก”
“ภายหน้าข้าจะต้องดูแลน้องสาวแทนฝ่าบาทเป็นอย่างดี เพราะช่วงนี้ฝ่าบาททรงยุ่งราชกิจ เกรงว่าอาจไม่มีเวลามาอยู่เป็นเพื่อนน้องสาวมากนัก”
“น้องสาวคงเคยได้ยินเรื่องของเซียวเหยี่ยนอดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตอนนี้เขาตั้งตนเป็นอ๋อง ทั้งคิดก่อกบฏทำให้ฝ่าบาทกลัดกลุ้มยิ่ง ข้าเป็นเพียงสตรี มิอาจช่วยราชกิจได้ ทำได้เพียงช่วยดูแลเรื่องในวังหลังมิให้ฝ่าบาทต้องกังวลพระทัยเท่านั้น”
หลิงอวี้จื้อยังคงมีสีหน้าเช่นเดิม หลังจากได้ยินหลินฮองเฮาเอ่ยเช่นนี้ก็ทำเพียงพยักหน้าติดๆ กัน “ฮองเฮาทรงพูดถูก หม่อมฉันน้อมรับคำชี้แนะจากพระองค์ทุกอย่างเพคะ”
หากเธอเดาไม่ผิด ต่อจากนี้หลินฮองเฮาคงจะพูดเรื่องเซียวเหยี่ยนเป็นแน่ คล้ายว่ากำลังลอบหยั่งเชิงเธออยู่ หรือฮองเฮารู้ฐานะของเธอแล้ว แต่ก็ดูไม่สมเหตุสมผลนัก
เฉินม่อฉือต้องไม่ยอมเปิดเผยฐานะของเธอแน่ เรียกได้ว่าต้องการปิดเป็นความลับเลยเชียวแหละ
หลิงอวี้จื้อไม่มีทางยอมเปิดเผยฐานะตนแน่ เพราะคงไม่มีใครเชื่อ และมันอาจนำความยุ่งยากอันไม่จำเป็นมาให้เธอ ตอนนี้เซียวเหยี่ยนและเฉินม่อฉืออยู่ในฐานะศัตรู
หากมีคนรู้ถึงความสัมพันธ์ของเธอกับเซียวเหยี่ยน เธอก็อาจจะกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ข่มขู่เซียวเหยี่ยน ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างระวังกับการเปิดเผยฐานะของตัวเอง
หลินฮองเฮาคงคิดจะมาหยั่งเชิงเธอ แต่คงคิดผิดแล้ว ด้วยฝีมือการแสดงของเธอ ต่อให้ในใจจะมีความหวาดหวั่นตื่นเต้นอันใดอยู่ก็ยังคงรักษาความเยือกเย็นบนใบหน้าได้ดีอยู่เสมอ
คิดไปคิดมาก็คิดถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาได้ คนผู้นั้นคือเฉินปี ตอนนี้คนที่รู้ฐานะของเธอมีเพียงเฉินปี้ เธอไม่รู้ว่าเฉินม่อฉือจัดการกับเฉินปี้หรือไม่ แต่ดูท่าแล้วคงไม่ได้จัดการอันใดแน่
ตอนที่ 637 บุตรชายของมู่หรงนี่อวิ๋น
หลินฮองเฮาสังเกตสีหน้าของหลิงอวี้จื้อแล้วพูดต่อไปว่า “แม้เซียวเหยี่ยนจะกบฏ แต่เขากลับรักพระชายาที่จากไปด้วยใจจริง”
ข้าได้ยินว่าเซียวเหยี่ยนวางโลงศพของหลิงอวี้จื้อไว้ข้างกายตลอดเวลา กระทั่งว่าเข้าไปนอนในโลงกับนางด้วยซ้ำ ห้าปีมานี่ไม่เพียงไม่แต่งพระชายาใหม่ แม้สตรีข้างกายยังไม่มีสักคน เขามีความรักที่ลึกซึ้งเช่นนี้ หลิงอวี้จื้อที่ไปสู่ภพปรโลกแล้วสบายใจ
หลิงอวี้จื้อยังคงสีหน้าเช่นเดิม และถามด้วยความไร้เดียงสาว่า “ฮองเฮาเพคะ เหตุใดจึงพูดเรื่องพวกนี้กับหม่อมฉันด้วยเล่าเพคะ เซียวเหยี่ยนจะปฏิบัติต่อชายาของเขาเช่นไรแล้วเกี่ยวอันใดกับเราหรือ หม่อมฉันไม่เข้าใจพระประสงค์ของฮองเฮาจริงๆ หรือฮองเฮาทรงรู้สึกว่าฝ่าบาทดูแลพระองค์ไม่ดีเท่ากับที่เซียวเหยี่ยนปฏิบัติต่อชายาที่จากไปแล้วเล่าเพคะ”
หลินฮองเฮาถึงกับพูดอันใดไม่ออกเมื่อหลิงอวี้จื้อเอ่ยถามเช่นนี้ สีหน้าของนางก็ดูเป็นธรรมชาติยิ่ง แววตาสงสัยดูจริงใจเหลือเกิน คล้ายว่าเซียวเหยี่ยนเป็นบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับนางเลย หลินฮองเฮาจึงเริ่มแคลงใจในวาจาของเฉินปี้ขึ้นมา ท่าทีทีของหลิงอวี้จื้อไม่เหมือนคนที่รู้จักกับเซียวเหยี่ยนเลย
หลินฮองเฮารู้สึกประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย ท่าทีจึงดูไม่เป็นธรรมชาติสักเท่าใดนัก “น้องหยวนเฟยเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แค่พูดไปเรื่อยเท่านั้น”
“เพคะ”
หลิงอวี้จื้อรับคำเสียงเรียบ แล้วไม่เอ่ยอันใดต่ออีก
หลินฮองเฮาก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก จึงเอ่ยสนทนาเพียงสองสามประโยคก็บอกลา เดิมนางเชื่อคำของเฉินปี้แต่เมื่อครู่ที่เห็นท่าทีของหลิงอวี้จื้อกลับเริ่มไม่แน่ใจขึ้นมา จึงตัดสินใจว่าจะสืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนเสียก่อน
หลังจากไปส่งหลินฮองเฮาแล้ว หลิงอวี้จื้อก็ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง ทั้งไม่ปิดบังอารมณ์บนใบหน้าตนอีก เธอหมอบฟุบลงบนโต๊ะแล้วปล่อยใจให้จมอยู่กับความคิดถึง
อาเหยี่ยน ทำไมถึงได้โง่แบบนี้ ท่านรอข้า ข้าก็ต้องกลับมาหาท่านอย่างแน่นอน รับรองได้
เมื่อหลิงอวี้จื้อไม่ยอมกินข้าว เฉินม่อฉือจึงยอมรับปากให้ถอนองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูศาลาฟังฝนออก อย่างไรหลิงอวี้จื้อก็ออกจากวังไม่ได้ ในวังมีเวรยามแน่นหนา หลิงอวี้จื้อไม่มีวรยุทธ์ เขาไม่กลัวนางหนีไปหรอก
นอกจากนี้เฉินม่อฉือยังให้สิทธิพิเศษกับเธอมากมาย เช่นสามารถเข้าออกตำหนักกานเฉวียนได้ตามใจชอบ
ไม่จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าเช่นชายาสนมคนอื่นๆ เธอเป็นคนเดียวในวังหลังที่สามารถนอนจนถึงเวลาไหนก็ได้ ไม่ต้องไปถวายพระพรฮองเฮา เธอเองก็ไม่ได้เห็นตัวเองเป็นสนมของฮ่องเต้อยู่แล้ว การไม่ต้องไปถวายพระพรยามเช้าย่อมเป็นเรื่องที่ดี
วันเวลาก็ผ่านไปเช่นนี้ หลิงอวี้จื้อเบื่อมากอย่างยิ่ง ทุกวันเฉินม่อฉือจะมาหาเธอ แต่ท่าทีของหลิงอวี้จื้อกลับยังคงเฉยชาเช่นเดิม ปกติมักจะพูดแค่เพคะ แล้วไม่พูดอะไรกับเฉินม่อฉือต่ออีก สีหน้าดูเบื่อหน่ายคล้ายพูดคุยสิ่งใดล้วนไม่น่าสนใจ
วันนี้หลิงอวี้จื้อเพิ่งกินข้าวเช้าเสร็จ เธอได้ยินเสียงพูดของเด็กน้อยอยู่ข้างนอก ไม่นานก็เห็นเด็กชายอายุสี่ห้าขวบกระโดดโลดเต้นเข้ามา
เด็กน้อยมีผิวขาวยิ่ง ดวงตากลมโตน่ารัก หลังจากที่พินิจดูหน้าตาเขาแล้ว หลิงอวี้จื้อก็ต้องอึ้งงันไป นี่มันมู่หรงนี่อวิ๋นย่อส่วนชัดๆ
“เสด็จพี่ เร็วเข้าสิ”
เด็กน้อยหันหลังไปตะโกนบอก เฉินม่อฉือเดินตามมา เมื่อได้ยินเด็กน้อยเรียกเฉินม่อฉือเช่นนั้น หลิงอวี้จื้อก็ทราบฐานะของเด็กน้อยทันที
นี่ต้องเป็นลูกชายของจูจิ่นกับมู่หรงนี่อวิ๋นอย่างแน่นอน อายุก็เหมาะสม ที่สำคัญคือหน้าตาคล้ายมู่หรงนี่อวิ๋นมาก เมื่อเห็นเขา หลิงอวี้จื้อก็เหมือนได้เห็นมู่หรงนี่อวิ๋น บางทีเขาอาจกลับมาแล้วเช่นกัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลิงอวี้จื้อก็ทั้งตกใจและดีใจ จึงรู้สึกแสบจมูกขึ้นมา
“อวี้จื้อ เขาชื่อว่ามู่หรงเซียงหนาน เป็นบุตรของนี่อวิ๋นกับจูจิ่น” เฉินม่อฉือเอ่ยแนะนำ แล้วลูบศีรษะมู่หรงเซียงหนาน
“เซียงหนาน เรียกพี่สะใภ้สิ”