บทที่ 368.2 หลี่เอ้อร์เดินทางไกล จั่วโย่วไม่ลำบากใจ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เทพหยินแซ่จ้าวมายืนอยู่ตรงม่านไม้ไผ่ของร้านยา “เฉินผิงอัน ข้ามีธุระอยากจะคุยกับเจ้า”

เฉินผิงอันลุกขึ้น เลิกผ้าม่านเดินเข้าไปในร้านยาที่อยู่ด้านหน้า

เทพหยินพาเฉินผิงอันเดินออกมานอกประตูใหญ่ เดินเข้าไปในตรอกเล็ก ไม่รู้ว่าร่ายใช้ค่ายกลอย่างไรถึงสามารถเปลี่ยนตบะของตัวเองให้กลายเป็นขอบเขตหยกดิบที่เฝ้าพิทักษ์อยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ได้ ในตรอกเล็กพลันมืดสลัว แม้ว่าใบหน้าของเทพหยินแซ่จ้าวจะพร่าเลือน แต่ก็ยังพอจะทำให้เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงความระมัดระวังของมันอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอารมณ์หวาดผวาไม่คลายที่หาได้ยากอยู่ด้วย หลังจากที่มันตัดขาดการสำรวจตรวจตราจากโลกภายนอกเรียบร้อยแล้ว เรือนกายที่ล่องลอยก็หยุดยืนนิ่ง พูดกับเฉินผิงอันด้วยเสียงทุ้มหนัก “มีผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่บอกว่าตัวเองมีความเกี่ยวข้องกับฉีจิ้งชุนมาหาข้า หรือควรจะพูดให้ถูกต้องก็คือคุมตัวข้าให้ไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขา เขาบอกว่าตัวเองเป็นอาจารย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ…ของเจ้าเฉินผิงอัน…”

กล่าวมาถึงตรงนี้เทพหยินก็รู้สึกอยากหัวเราะแต่ไม่กล้า

ใต้หล้านี้มีเพียงลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ มีอาจารย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อเสียที่ไหน?

เคารพอาจารย์ให้ความสำคัญกับมรรคาคือกฎเกณฑ์ข้อหนึ่งของใต้หล้าไพศาลที่ไม่อาจเหยียบย่ำได้ตามใจชอบ หากข้ามผ่านบ่อสายฟ้านั้นไป ส่วนใหญ่ก็มักจะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่เจ็บปวดซึ่งหนักหนากว่า ‘ชื่อเสียงฉาวโฉ่’ มากนัก

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไม่ได้เล่ารายละเอียดของเรื่องนี้กับเทพหยินแซ่จ้าว

เทพหยินเองก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เรียง ก็เหมือนกับที่เฉินผิงอันไม่เคยถามตนว่าในเมื่อแซ่จ้าว อีกทั้งยังมีชาติกำเนิดมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู ถ้าอย่างนั้นเป็นบรรพบุรุษของสกุลจ้าวสายไหนกันแน่

หลวงจีนไม่ถามชื่อ นักพรตเต๋าไม่ถามอายุ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาและแม่น้ำไม่ถามเรื่องในอดีตชาติ ล้วนเป็นเหตุผลเดียวกันนี้

มันพูดต่อว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนั้นต้องการให้ข้านำความมาบอกต่อเจ้าว่า อยู่ในนครมังกรเฒ่าจนผ่านพ้นตรุษจีนไปก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง และยังมีของบางอย่างที่จะนำมามอบให้เจ้าช้าสักหน่อย หลังฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า อยากจะไปไหนก็ไป ทำในสิ่งที่เจ้าเฉินผิงอันต้องการก็พอ”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ตกลง”

จากนั้นเฉินผิงอันก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังถามไปตามตรงว่า “ผู้อาวุโสหยางจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเคราะห์กรรมที่เจิ้งต้าเฟิงต้องประสบพบเจอจริงๆ หรือ?”

เดิมทีเทพหยินแซ่จ้าวไม่ยินดีพูดเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเสินจวินผู้เฒ่า แต่พอนึกถึงบุรุษที่นอนป่วยอยู่บนเตียงในร้าน มันก็ยอมแหกกฎเป็นครั้งแรก พูดเบาๆ ว่า “เสินจวินผู้เฒ่ามองการณ์ไกลยิ่งกว่าทุกคน ถึงได้เย็นชาไม่เห็นใจใครเป็นพิเศษ แต่สำหรับหลี่เอ้อร์และเจิ้งต้าเฟิง แม้จะมีเพียงสถานะอาจารย์และศิษย์ ไม่เกี่ยวพันไปถึงเรื่องการถ่ายทอดมรรคา แต่เทพหยินตัวเล็กๆ อย่างข้าที่มีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ บนโลกใบนี้กล้าพูดประโยคหนึ่งว่า ความรู้สึกที่มีต่อพวกเขาแตกต่างไปจากพวกเราอยู่มาก”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ข้าเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน”

เทพหยินพูดเกลี้ยกล่อม “แม้เจิ้งต้าเฟิงจะไม่มีตบะวิถีวรยุทธ์แล้ว แต่สภาพจิตใจยังดีอยู่ พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลมากไป หากพวกเราเอาแต่มองเขาด้วยสายตาสงสารเวทนาทุกวัน แบบนั้นต่างหากถึงจะทำให้เจิ้งต้าเฟิงรับไม่ได้มากที่สุด”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องนี้ข้ารู้ว่าควรทำเช่นไร”

เทพหยินเอ่ยชื่นชม “ในเรื่องนี้ อันที่จริงเจ้าทำได้ดีที่สุด…”

เฉินผิงอันโบกมือเป็นพัลวัน “ทำไม หรือว่าพอมาอยู่ร้านยาฮุยเฉินแล้วก็เริ่มชอบพูดประจบเอาใจคนอื่นแล้ว?”

เทพหยินหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี สลายตราผนึกทิ้งแล้วพุ่งทะยานจากไป

จากนั้นเฉินผิงอันก็เห็นสตรีสวมชุดกระโปรงสีเขียวที่มุมหัวเลี้ยว ฟ่านจวิ้นเม่า

ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเหตุใดในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนางถึงเลือกลงมือช่วยเหลือหลูป๋ายเซี่ยงและเว่ยเซี่ยน เป็นเพราะรู้สึกว่าตู้เม่าไม่ได้เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป ก็เลยรีบปักดอกไม้ลงบนผ้าแพร? แสดงความเป็นมิตรต่อร้านยาฮุยเฉิน?

แต่นี่ดูเหมือนว่าจะไม่สอดคล้องกับนิสัยของนางที่เฉินผิงอันรู้จักมาสักเท่าไหร่

ฟ่านจวิ้นเม่าเดินเข้ามาในตรอกเล็ก โยนกาเหล้าใบหนึ่งให้เฉินผิงอัน “ด้านในบรรจุโอสถทองของเจียวเฒ่าที่ข้าหล่อหลอมระดับเล็กไปแล้ว ตอนนี้เจ้ากับเจิ้งต้าเฟิงต่างก็ต้องการสิ่งนี้ ทุกวันข่มกลั้นความเจ็บปวดดื่มสักสองสามคำ สำหรับการซ่อมแซมร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์แล้วมีประโยชน์ยิ่งกว่ายาวิเศษทุกชนิด โอสถปีศาจของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองเอามาหลอมเป็นเหล้า ฤทธิ์จะแรงเกินไป ตอนนี้พวกเจ้าดื่มไปมีแต่จะตาย หากเป็นโอสถทองของเผ่าปีศาจทั่วไปก็จะไม่พออีก เหล้าที่แช่จากโอสถทองของเจียวเฒ่าก่อกำเนิดเม็ดนี้จึงกำลังดี”

เฉินผิงอันถาม “เหล้าไหนี้ข้ารับไว้แล้ว แต่เจ้าเป็นคนทำการค้า ต้องการให้ข้าจ่ายด้วยอะไร?”

ฟ่านจวิ้นเม่าส่ายหน้า “ถือซะว่าเป็นสิ่งที่ตระกูลฟ่านพวกเราชดเชยให้ร้านยา ไม่ต้องให้เจ้าเฉินผิงอันจ่ายอะไรเพิ่มเติม”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “ได้ยินเจ้าอธิบายแบบนี้ ข้าก็ไม่ค่อยกล้ารับของขวัญล้ำค่าชิ้นนี้ไว้สักเท่าไหร่”

ฟ่านจวิ้นเม่าแค่นเสียงเย็น “แล้วถ้าข้าบอกว่า ตระกูลฟ่านยังจะทุบหม้อขายเหล็กช่วยจ่ายเงินห้าสิบเหรียญฝนธัญพืชให้ตำหนักพยัคฆ์เขียวยอดเขาเทียนแจว๋แทนเจ้า เจ้าจะไม่ยิ่งตกใจจนโยนกาเหล้าคืนมาให้ข้าเลยหรือ?”

เฉินผิงอันถาม “เป็นเพราะอะไรกันแน่?”

ฟ่านจวิ้นเม่ามองประเมินคนหนุ่มที่ตอนนี้ลักษณะคล้ายคนขี้โรค “ถูกเรือกลืนกระบี่อาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตของตู้เม่าที่เป็นขอบเขตบินทะยานแทงทะลุหน้าท้องจนเป็นรู ไม่ตายก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะมีคนช่วยเจ้าไว้นี่นะ แต่ตอนนี้กลับสามารถกระโดดโลดเต้น เดินเหินเป็นปกติ หมายความว่าพื้นฐานขอบเขตห้าของเจ้าปูมาดีจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ในฐานะที่ข้าเป็นคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจอยู่เบื้องหลังตระกูลฟ่าน ก็มีเหตุผลให้ข้าลงเดิมพันข้างเจ้า ลงเดิมพันอย่างหนัก! เฉินผิงอัน ปราณแท้จริงที่บริสุทธ์หนึ่งเฮือกที่อยู่ในร่างกายของเจ้าตอนนี้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งโคจรได้ไม่ราบรื่นแล้วใช่ไหม ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่อยู่บนร่างก็ยิ่งขาดยับเยินเหมือนกระท่อมที่เต็มไปด้วยรูรั่ว รอจนปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นเสื่อมถอยลง ปราณวิญญาณกรอกเข้าใส่ร่างรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าจะไม่เพียงแต่ตบะวิถีวรยุทธ์ถดถอยลงครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่สะพานแห่งความเป็นอมตะก็ต้องพังถล่มลงมาด้วย คิดอยากจะลองเดิมพันดูสักครั้งไหมล่ะ?”

เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนปฏิเสธหรือตอบรับ เพียงถามด้วยรอยยิ้ม “เดิมพันอย่างไร?”

ฟ่านจวิ้นเม่าชี้ไปยังทะเลเมฆที่อยู่เหนือศีรษะ “เจ้าอยากหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุน้ำไม่ใช่หรือ? ตอนนี้เจ้ามีคาถา กระถางยาและวัตถุดิบวิเศษในจำนวนที่มากพอแล้ว คนสามัคคีรวบรวมได้ครบถ้วน ข้าก็จะช่วยหาฟ้าอำนวยดินอวยพรมาให้เจ้า หากหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้ ในร่างเจ้ามีจวนแห่งแรกที่สามารถบรรจุปราณวิญญาณฟ้าดินไว้ได้ ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ขุมนั้นของเจ้าไม่ต้องถูกเผาผลาญไปกับเรื่องการคุมเชิง การสู้รบที่ไม่มีความหมายอีกต่อไป ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว เฉินผิงอัน เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

เฉินผิงอันพลันกล่าวว่า “หากเดาไม่ผิด เจ้าต้องรู้จักคนคนหนึ่ง ใช่ไหม?”

ฟ่านจวิ้นเม่าไม่ได้ปฏิเสธ แต่กลับส่ายหน้ายิ้มพูด “คน?”

เฉินผิงอันเงียบงันไม่ตอบ

สายตาของฟ่านจวิ้นเม่าอึมครึมมืดลึกอย่างถึงที่สุด ดวงตางดงามคู่หนึ่งกลายเป็นเหมือนบ่อโบราณมืดสนิทที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง “เจ้าช่างไม่คู่ควรจริงๆ ไม่จริงๆ ไม่จริงๆ!”

สตรีชุดกระโปรงสีเขียวผู้ได้ครอบครองทะเลเมฆพูดคำว่า ‘จริงๆ’ ถึงสามครั้งติด

เฉินผิงอันถามยิ้มๆ “เจ้าเป็นคนตัดสินใจหรือไง?”

ฟ่านจวิ้นเม่าสะอึกอึ้งพูดไม่ออก ได้แต่ขบฟันอย่างโมโห

เฉินผิงอันไม่คิดจะหาเรื่องหญิง ‘สาว’ ที่นิสัยไม่ค่อยดีผู้นี้ต่อ “ฟ่านเอ้อร์ล่ะ เขาไม่เป็นไรใช่ไหม?”

พอได้ยินชื่อเจ้าหมอนี่ ฟ่านจวิ้นเม่าก็เหลือกตามองด้านบนอย่างอดไม่อยู่ “อย่าพูดถึงเลย ถูกกักบริเวณอยู่ในบ้าน วันๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่แบกจอบเล็กๆ ไปขุดตรงนั้นที ขุดตรงนี้ที ตักดินใส่ถุงเล็กๆ สะสมไว้สิบกว่าถุง บอกว่าเตรียมไว้ใช้ในยามที่จำเป็น แม่รองเจ็บปวดใจยิ่งนัก ท่านแม่ข้าเองก็ร้องไห้ตาแดงก่ำอยู่หลายครั้ง ไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมเขาไม่ให้เสียสติอย่างไรดีแล้ว”

มุมปากเฉินผิงอันขยับโค้งขึ้น

ไม่ว่ารากฐานของนครมังกรเฒ่าจะเละเทะถึงขนาดไหน ขอแค่มีฟ่านเอ้อร์อยู่ วันหน้าขอแค่มีโอกาส เฉินผิงอันก็ยังเต็มใจจะมาเยือน

ก่อนที่ฟ่านจวิ้นเม่าจะจากไป นางพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่ไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก “สำนักใบถงอาจถูกคิดบัญชีย้อนหลังอย่างหนัก”

เฉินผิงอันสีหน้าเย็นชา “ปลูกแตงได้แตง ปลูกถั่วได้ถั่ว ใช้ชีวิตไร้เหตุผลอย่างสุขสบายมาจนเคยชินแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องจดจำบ้างแล้วว่าเวลาปกติควรหมั่นจุดธูปให้มากๆ ขอร้องสวรรค์อย่าให้ตนเองได้พบเจอคนที่สามารถพูดคุยกับพวกเขาด้วยเหตุผล ในเมื่อได้พบเจอแล้วก็ต้องยืนรอให้โดนตีแต่โดยดี หากถูกตีจนตายก็ค่อยไปเกิดในชาติใหม่”

ฟ่านจวิ้นเม่ามองดวงหน้าที่ซีดขาวเพราะอาการบาดเจ็บนั้น

ราวกับเพิ่งเคยรู้จักเฉินผิงอันเป็นครั้งแรก

……

อุตรกุรุทวีปมีก่อกำเนิดท่านหนึ่งเฝ้าพิทักษ์ยอดเขาราชสีห์

อุตรกุรุทวีปมีผู้ฝึกกระบี่มากมายราวกับก้อนเมฆ อีกทั้งไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขาต่างก็เลื่อมใสฝ่ายบู๊อย่างถึงที่สุด แค่ขี่กระบี่สวนไหล่กันบนทะเลเมฆแล้วจ้องหน้ากัน สองฝ่ายก็อาจเปิดฉากสังหารกันจนมืดฟ้ามัวดิน อาจถึงขั้นโพล่งชื่อของภูเขาลูกอื่นออกมาแล้วเปิดฉากทุบทำลายภูเขาที่ตัวเองไม่ชอบขี้หน้า ทุบเสร็จก็เผ่นหนี ภูเขาที่เผชิญกับหายนะอย่างไม่คาดคิด กรอบป้ายโดนคนทุบทำลายเละเทะ ศาลบรรพชนพังถล่มไม่เหลือชิ้นดีก็ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ หลังจากนั้นก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะไปเอาเรื่องกับภูเขาลูกอื่น และเดี๋ยวก็ต้องมีคนรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรม หาเรื่องไประบายความแค้นใส่ภูเขาที่เล็กกว่าซึ่งห่างจากสำนักของตัวเองไปไกลเป็นทอดๆ กันไป

 อุตรกุรุทวีปก็คือสถานที่ประหลาดที่การฝึกตนเน้นเรื่องการฝึกพละกำลังอย่างสุดโต่ง และมีผู้ฝึกกระบี่เป็นผู้นำของผู้ฝึกตนทั้งหมด

ไม่อย่างนั้นก็คงไม่แย่งเอาคำว่า ‘อุตร’ ของธวัลทวีปที่อยู่ทางเหนือมาครองทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของใต้หล้าไพศาล

เพียงแต่ว่าหลังจากอริยะจากสถานศึกษาอวี๋ฝูท่านนั้นลงมือจัดการกับสามผู้ฝึกตนใหญ่อย่างสองก่อกำเนิดหนึ่งหยกดิบจน ‘หมดสภาพ’ จากนั้นก็ป่าวประกาศห้ามไม่ให้ผู้ฝึกกระบี่ของฝ่ายต่างๆ ใช้อำนาจรังแกคนอื่นอย่างไร้เหตุผล กองกำลังของแต่ละฝ่ายถึงได้สำรวมกันมากขึ้น

ตอนนี้ตลอดทั้งยอดเขาราชสีห์ หลังจากที่ได้เห็นกับตาว่าหลี่หลิ่วสามารถเข้าออกสถานที่ต้องห้ามที่แม้แต่เซียนดินก็ยากจะเยื้องกรายเข้าไปได้อย่างอิสระเสรี อีกทั้งยังนำตราประทับราชสีห์สีทองหนึ่งชิ้นออกมา เลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตกลางได้ในรวดเดียว ทุกคนต่างก็ตระหนักได้อย่างลึกซึ้งถึงความไม่ธรรมดาของ ‘หลี่หลิ่ว’ ผู้นั้น เมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน ฐานะของหลี่หลิ่วในหัวใจของผู้ฝึกตนบนภูเขาจึงเป็นดั่งเรือที่ลอยสูงตามกระแสน้ำ จนกระทั่งเป็นรองแค่เจ้าขุนเขาผู้เฒ่าเท่านั้น ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตก่อกำเนิดที่เคยประมือกับอริยะสถานศึกษาอวี๋ฝูมาก่อน ตอนที่พูดคุยกับหลี่หลิ่วเป็นการส่วนตัวก็ยังวางตนอ่อนน้อมยิ่งกว่าตอนที่พวกผู้ฝึกลมปราณที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในสำนักได้พบกับหลี่หลิ่วเสียอีก!

คงมีแต่มารดาแท้ๆ ของหลี่หลิ่วที่เปิดร้านขายของอยู่ในเมืองเล็กตรงตีนเขาเท่านั้นที่ยังเลอะเลือน เข้าใจผิดคิดว่าบุตรสาวของตัวเองเหยียบขี้หมานำโชคที่ใหญ่เทียมฟ้า ถึงได้ถูกเซียนซือบนภูเขาบางท่านที่วัยวุฒิไม่สูงรับเป็นลูกศิษย์ สตรีแต่งงานแล้วยังถามโน่นถามนี่ กลัวว่าตาแก่หน้าไม่อายบางคนจะปรารถนาในความงามของบุตรสาวตน ถึงได้ให้หลี่หลิ่วไปฝึกวิชาเทพเซียนอะไรพวกนั้น นี่จะไม่ถ่วงเรื่องการแต่งงานของบุตรสาวตนหรอกหรือ? รอจนบุตรสาวอายุมากแล้ว ไหนเลยจะยังมีลูกเขยที่ชาติตระกูลดี ถุงเงินตุงแน่น หน้าตาพอใช้ได้มาหาถึงที่ หรือจะต้องให้นางช่วยหาบุรุษที่พอเข้าท่าเข้าทีจากในเมืองเล็กแห่งนี้ให้หลี่หลิ่วจริงๆ?

สตรีแต่งงานแล้วค่อนข้างจะดูแคลนบุรุษเหล่านี้อยู่บ้าง นางเริ่มเสียใจภายหลังที่ตอนนั้นหน้าไม่หนาพอรั้งตัวลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่เดินทางมาด้วยกันนั่นไว้เสียก่อน ดูเหมือนจะแซ่ซือถูอะไรสักอย่าง? หากให้เขาได้อยู่ต่อสักปีครึ่งปี ไม่แน่ว่าบุตรสาวหลี่หลิ่วอาจไม่ต้องขึ้นภูเขาไปทำเรื่องไร้สาระ แต่งงานเข้าบ้านคนมีเงินอย่างมีหน้ามีตา ชีวิตนี้ก็ถือว่าไม่ต้องทุกข์เรื่องการกินการอยู่อีกแล้ว รอหลี่ไหวโตอีกหน่อยก็รับมาอยู่ด้วยกันที่นี่ ไม่แน่ว่าอาจจะขอให้พี่เขยของเขาช่วยหางานดีๆ ที่ทั้งสบายและได้เงินให้เขาทำ

สตรีแต่งงานแล้วเปิดร้านมาเกือบสองปี อารมณ์ของนางไม่ค่อยจะดีนัก หาเงินได้ไม่มาก วันๆ ยังต้องคอยเป็นกังวลว่าบุตรชายที่อยู่ในสำนักศึกษาจะถูกคนรังแก กังวลว่าบนภูเขาลมแรง บุตรสาวจะผิวพรรณหยาบกร้าน ไม่งดงามบอบบางเหมือนเดิมแล้วหรือไม่

ช่วงเวลานี้ทุกครั้งที่หลี่หลิ่วลงจากภูเขาล้วนต้องมาอยู่ช่วยงานที่ร้านพ่อแม่ อยู่ครั้งหนึ่งก็นานสองสามวัน

คนทั้งบนและล่างยอดเขาราชสีห์ล้วนได้รับคำสั่งอย่างเข้มงวดจากเจ้าขุนเขาผู้เฒ่า ไม่อนุญาตให้เข้าใกล้ร้านเล็กในเมืองแห่งนี้ หากถูกจับได้จะถูกโบยตายคาที่อย่างไม่มีข้อยกเว้น

ดังนั้นจนถึงตอนนี้สตรีแต่งงานแล้วก็ยังไม่รู้ว่า บุตรสาวหลี่หลิ่วที่อยู่บนยอดเขาราชสีห์เป็นเทพเซียนยิ่งกว่าเทพเซียนเสียอีก ไม่ได้เป็นสาวใช้น้อยหน้าตางดงามที่คอยยกน้ำส่งชาอยู่ข้างกายเทพเซียนคนใด

—–