บทที่ 368.3 หลี่เอ้อร์เดินทางไกล จั่วโย่วไม่ลำบากใจ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

สองวันมานี้หลี่หลิ่วเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไกลครั้งหนึ่ง นางกำลังนวดไหล่ให้ท่านแม่อยู่ในร้าน ฟังสตรีแต่งงานแล้วเล่าเรื่องจุกจิกของแต่ละครอบครัว บ่นเรื่องการชิงดีชิงเด่นของเพื่อนบ้านที่หาแก่นสารไม่ได้

หลี่เอ้อร์นั่งอยู่บนประตูอาบแสงอาทิตย์ปลายฤดูหนาว สตรีแต่งงานแล้วยิ่งมองก็ยิ่งหงุดหงิดใจ คนไม่ได้เรื่อง!

บุรุษของบ้านอื่น ต่อให้หน้าเหมือนหนูผอมเหมือนไม้เสียบผีเมียก็ยังคอยบ่นคอยด่า ร้องไห้คร่ำครวญว่าบุรุษของตัวเองไปลักลอบมีความสัมพันธ์กับนางจิ้งจอกของบ้านใด หลี่เอ้อร์กลับดีนัก ทำตัวให้นางวางใจได้จริงๆ! แต่หากหลี่เอ้อร์มีแผนการในใจอันแยบยล คาดว่านางเองก็คงต้องหยิบมีดหั่นผักมาเฉือนขาที่สามของหลี่เอ้อร์ก่อน จากนั้นค่อยไปสู้ตายกับนางแพศยานั่น แต่สำหรับคนนอก สตรีแต่งงานแล้วไม่กล้าใช้มีดจริงๆ นางอยู่ที่นี่ไม่คุ้นเคยกับทั้งคนและสถานที่ ทำแบบนั้นต้องถูกคนอื่นรวมตัวกันมารังแกแน่นอน

ในเรื่องที่เก่งแต่ในผ้าห่มตัวเองนี่ หลี่ไหวเหมือนนาง

หลี่เอ้อร์เช็ดปาก ไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตที่สงบสุขของที่นี่เป็นสิ่งที่เกินจะทานทน อันที่จริงเขาคุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้มานานแล้ว และก็ชอบแค่ชีวิตแบบนี้เท่านั้น แต่ถึงอย่างไรตอนนี้สามคนในครอบครัวต่างก็อยู่ที่อุตรกุรุทวีป มีเพียงหลี่ไหวคนเดียวที่อยู่ต่อในสำนักศึกษาต้าสุยของแจกันสมบัติทวีป ชายฉกรรจ์เป็นคนไม่ช่างพูด แล้วก็ชอบเก็บเรื่องทุกอย่างไว้ในใจ ทว่าใต้หล้านี้จะมีบิดาคนใดที่ไม่เป็นห่วงว่าบุตรของตัวเองจะหิวหรือไม่ จะหนาวหรือไม่บ้างเล่า

หลี่หลิ่วปรนนิบัติแม่ของตัวเองเสร็จก็ยกม้านั่งตัวเล็กสองตัวมาที่หน้าประตู พ่อลูกสองคนนั่งกันคนละตัว

เฉาซีเซียนกระบี่แห่งนาตยทวีปที่ทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาของหลี่หลิ่วอยู่ที่ยอดเขาราชสีห์มานานมากแล้ว ทุกครั้งที่ลงจากเขาล้วนต้องคอยคุ้มกันหลี่หลิ่วเวลาที่นางไปเยือนสถานที่ลึกลับที่หายเข้ากลีบเมฆ หรือไม่ก็ซากปรักหักพังของจวนตระกูลเซียนที่ควันธูปขาดสะบั้น คอยมองดูนางเก็บเอาสมบัติมา

คือการเก็บจริงๆ

เฉาซีไม่ต้องลงมือทำอะไร แค่คอยมองหลี่หลิ่วที่เดินทางกลับพร้อมสมบัติเต็มมือครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ด้านข้างเท่านั้น

ครั้งนี้หลังจากคุ้มกันหลี่หลิ่วกลับมาถึงยอดเขาราชสีห์แล้ว เฉาซีผู้ฝึกกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ ในที่สุดก็ไม่ต้องคอยติดตามนังหนูนิสัยประหลาดผู้นั้นเตร็ดเตร่ไปทั่วอย่างส่งเดชอีกแล้ว เขาจึงลงจากภูเขาไปเพียงลำพัง ตอนนี้ไม่รู้ว่าหายไปไหน

ตอนนี้ตรงเอวของหลี่หลิ่วห้อยตราประทับราชสีห์ทองคำหนึ่งแผ่น ยังมีกระบี่สั้นที่สะพายไว้เอียงๆ อีกหนึ่งเล่ม

เพียงแต่ว่าถูกเฉาซีร่ายคาถาอำพรางตาเอาไว้ ขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินก่อกำเนิดลงไปล้วนมองไม่เห็น

หลี่หลิ่วพลันหันมามองหลี่เอ้อร์ สายตาคนทั้งสองสบกันเพียงเล็กน้อย หลี่เอ้อร์ก็ลุกขึ้นยืนบอกว่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอก ส่วนหลี่หลิ่วกลับเข้าไปในห้อง พูดคุยเป็นเพื่อนท่านแม่

สตรีแต่งงานแล้วด่ายิ้มๆ “รู้จักย้ายรังบ้างแล้ว หากมีความสามารถไปเกี้ยวพาเอาผู้หญิงกลับมาบ้าน จะให้ข้ารับนางเป็นน้องสาวก็ยังได้”

หลี่เอ้อร์สาวเท้าเดินเร็วขึ้น

สตรีแต่งงานแล้วตวัดค้อนใส่ บ่นให้หลี่หลิ่วฟัง “ปีนั้นตาบอดจริงๆ ถึงได้แต่งงานกับท่านพ่อเจ้า ตอนนั้นที่เมืองเล็กมีหนุ่มน้อยหล่อเหลาตั้งมากมายเท่าไหร่ที่มาหลงใหลแม่ของเจ้า คงเป็นเพราะถูกผีบังตาล่อลวงจิตใจกระมัง ข้าถึงได้เลือกพ่อเจ้า”

หลี่หลิ่วยิ้มอย่างอ่อนโยน “หากไม่เป็นเช่นนี้ จะมีข้าและน้องชายได้อย่างไร”

สตรีแต่งงานแล้วใช้นิ้วจิ้มหน้าผากหลี่หลิ่วหนึ่งที แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “หลี่ไหวรู้ความตั้งแต่เด็กแล้ว เจ้าล่ะ ดูเจ้าที่เป็นพี่สาวนี่สิ ไม่รู้จักสงสารน้องชายบ้างเลย…ดื้อจะเรียนวิชาเซียนอะไรนั่นให้ได้ เด็กโง่อย่างเจ้าจะเรียนได้หรือ? เวลาบนภูเขาผ่านไปเร็ว แปบเดียวก็ผ่านไปสามปีห้าปีแล้ว ถึงเวลานั้นจากที่เจ้าเป็นสาวน้อยในห้องหอก็จะกลายเป็นหญิงแก่ ใครจะยังเต็มใจอยากแต่งงานกับเจ้าอีก? ไม่เพียงแต่สินสอดจะน้อย ยังต้องให้แม่ควักเอาเงินเก็บก้อนที่ไว้ให้น้องชายเจ้าแต่งเมียมาเพิ่มในสินเจ้าสาวของเจ้าอีก เจ้าทำแบบนี้จะไม่รู้สึกผิดต่อหลี่ไหวหรือ…”

บ่นยาวไม่หยุด

อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว เรียกได้ว่าลำเอียงจนเลอะเลือนแล้ว

หลี่หลิ่วกลับไม่รู้สึกโกรธ กลับกันดวงตาคลอประกายน้ำคู่นั้นยังหยีลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว “ฝึกวิชาเซียนบนภูเขา ทุกเดือนจะได้รับเงินส่วนหนึ่ง ข้ายังเก็บสะสมไว้ให้หลี่ไหวด้วยนะ วันหน้าเมื่อเขาแต่งภรรยาจะได้ไม่ต้องถูกคนดูแคลน”

สตรีแต่งงานแล้วได้ยินก็ตกตะลึงระคนยินดี แต่แล้วก็ร้อนใจขึ้นมาครามครัน ยื่นมือออกมา “แล้วไม่รีบพูด?! รีบเอาออกมาเร็วเข้า หากวันใดเจ้าไปเจอกับคนเสเพลปากหวานช่างเอาใจ ถูกเขาเอาเงินไปผลาญจนหมด หลี่ไหวจะทำอย่างไร? ข้าต้องช่วยเก็บไว้แทนเจ้า!”

หลี่หลิ่วหยิบถุงเงินใบหนึ่งออกมา มีเงินอยู่ข้างในประมาณยี่สิบสามสิบตำลึง “อันที่จริงบนภูเขายังมีอีก”

สตรีแต่งงานแล้วรีบเก็บไว้ ในที่สุดมโนธรรมในใจก็เริ่มทำงาน “ส่วนที่เหลือเจ้าเก็บไว้เองเถอะ อยู่บนภูเขาต้องคบค้าสมาคมกับพวกลูกศิษย์เทพเซียน ย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลักการเล็กน้อยแค่นี้แม่ยังรู้อยู่บ้าง เจ้าไปบอกพวกเขาว่า หากลงจากภูเขามาซื้อของที่ร้านพวกเรา ข้าจะลดราคาให้”

หลี่หลิ่วอืมรับอย่างว่าง่าย

คำว่า ‘ยังมีอีก’ ของนาง

แม้แต่เซียนกระบี่แห่งนาตยทวีปที่เคยเห็นเงินทองมากมายมาจนชินตาก็ยังอดหวั่นไหวไม่ได้

สตรีแต่งงานแล้วได้เงินก้อนใหญ่ที่เหมือนหล่นลงมาจากฟ้าก้อนนี้ อารมณ์ก็ดีขึ้นทันตา ลูบมือเล็กๆ อ่อนนุ่มของบุตรสาวตัวเอง “วันหน้าแต่งงานให้กับคนดีๆ แม่กับพ่อของเจ้าก็วางใจแล้ว จำไว้นะว่า ทางที่ดีที่สุดควรจะหาคนจากครอบครัวใหญ่ที่สามารถช่วยเหลือน้องชายเจ้าได้”

หลี่หลิ่วตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ทราบแล้ว”

ตอนที่หลี่เอ้อร์กลับมา สีหน้าของเขามืดทะมึนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

สตรีแต่งงานแล้วประหลาดใจเล็กน้อย แต่จากนั้นก็โมโหอย่างหนัก “ทำไม มองผู้หญิงบ้านไหนนานหน่อยเลยถูกนางด่าเข้าหรือ? คิดจะก่อกบฏหรือไร แค่มองไม่กี่ทีเนื้อหน้าอกของนางจะหายไปอย่างนั้นหรือ ข้าจะไปด่านางเอง!”

หลี่เอ้อร์ส่ายหน้า “พวกเราสามคนไปคุยกันที่เรือนหลังบ้าน”

ก่อนหน้านี้เบื้องหน้าหลี่เอ้อร์มีควันธูปกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา

จากนั้นเขาก็พุ่งขึ้นเขาไปอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่งของยอดเขาราชสีห์ พอได้ยินข่าวหนึ่งก็รีบกลับมาที่ร้านทันที

ข้างโต๊ะของเรือนหลัง สตรีแต่งงานแล้วเริ่มกระวนกระวายมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะน้อยครั้งนักที่หลี่เอ้อร์จะทำท่าทางเช่นนี้ ชั่วชีวิตที่ผ่านมาเคยมีแค่ครั้งเดียว ครั้งนั้นหลี่เอ้อร์คนขี้ขลาดที่ดีแต่จะรังแกนางบนเตียง แต่เวลาพูดกับคนนอกกลับไม่กล้าทำเสียงดังใส่เข้าไปตัดฟืนในภูเขามารอบหนึ่ง เนิ่นนานกว่าจะออกมาจากภูเขา แต่ยังดีที่ได้เงินมาจำนวนหนึ่ง

หลี่หลิ่วนั่งลงข้างกายมารดา เห็นว่าบิดากำลังจะเปิดปากพูดก็รีบเอ่ยถามอย่างคนที่ ‘เข้าใจผู้อื่น’ ทันที “ทางบ้านเกิดส่งจดหมายมาที่เมืองเล็กแห่งนี้หรือ?”

หลี่เอ้อร์ไม่ใช่คนโง่ รีบพยักหน้าตอบรับทันที พูดอย่างอัดอั้นว่า “ท่านอาจารย์บอกเรื่องหนึ่งมา ข้าจึงอยากจะปรึกษากับพวกเจ้าสองแม่ลูก”

สตรีแต่งงานแล้วกลืนน้ำลาย “คงไม่ใช่ว่าตาเฒ่านั่นตายแล้วไม่มีคนช่วยเก็บศพให้ เลยต้องการให้ลูกศิษย์อย่างเจ้ากลับไปช่วยจัดการงานศพให้กระมัง? นี่มันไกลมากเลยนะ พวกเราแค่ส่งเงินกลับไป บอกให้คนของร้านยาตระกูลหยางช่วยทำแทนไม่ได้หรือ? ตาแก่นั่นก็จริงๆ เลย จะตายทั้งทีไม่รู้จักตายให้ดี พวกเราเพิ่งจะหยัดยืนอยู่ที่นี่ได้อย่างมั่นคง เขาก็ไปพบยมบาลซะแล้ว หากข้าเห็นโลงศพเขาจะต้องด่าให้ตาแก่นั่นฟื้นคืนชีพกลับมาเลย!”

หลี่หลิ่วปิดปากหัวเราะ

หลี่เอ้อร์อ้าปากค้าง อึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “ท่านอาจารย์ผู้อาวุโสสบายดี ก็แค่…เกิดเรื่องกับเจิ้งต้าเฟิงแล้ว”

สตรีแต่งงานแล้วกะพริบตาปริบๆ “เจ้าคนบ้ากามหน้าไม่อายนั่นหรือ คนที่ทำเรื่องชั่วเก่งแบบนั้นจะเกิดเรื่องอะไรได้? ทำไม ไหนบอกว่าเขาไปอยู่ทางใต้ไม่ใช่หรือ หรือพอไปอยู่ที่นั่นแอบไปถ้ำมองเด็กสาวหน้าตางดงาม หรือแอบไปขโมยของประจำกายของสตรีแต่งงานแล้วมา ก็เลยถูกคนตีจนตาย?”

หลี่เอ้อร์จ้องมองผิวโต๊ะ พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ยังไม่ตาย แต่ถูกคนตีจนกลายเป็นคนพิการ กระดูกสันหลังหักหมด ตอนนี้ยังนอนอยู่บนเตียง วันหน้าต่อให้อาการป่วยดีขึ้นแล้วก็กลายเป็นบุรุษที่ไม่อาจยืดสันหลังได้ตรงอีก อีกทั้งคราวนี้ศิษย์น้องไม่ได้หาเรื่อง แต่เป็นคนอื่นที่มาหาเรื่องเขา ข้าถามอาจารย์ว่าทำไมไม่ดูแลเขาบ้าง ท่านอาจารย์ผู้อาวุโสบอกว่าไม่ใช่พ่อแม่ของต้าเฟิงสักหน่อย สอนวิชาให้เขาแล้ว เขาไม่ได้ตายอยู่ข้างนอกสักหน่อย ยังจะทำอะไรได้อีก”

หลี่หลิ่วหรี่ดวงตาที่งดงามเรียวยาวดุจใบหลิ่วคู่นั้นลง

สตรีแต่งงานแล้วอึ้งตะลึง พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

เจ้าสารเลวเจิ้งต้าเฟิงผู้นี้เป็นคนปากเปราะ แม้นางจะชอบด่าเขาว่ามีชะตาชีวิตต้อยต่ำเป็นได้แค่ชายโสด แต่ศิษย์น้องของบุรุษของตนผู้นี้ อันที่จริงเขา…ไม่ใช่คนเลวร้าย

หลี่เอ้อร์เงยหน้าขึ้นมองภรรยาของตัวเอง “ข้าอยากไปหาศิษย์น้อง แต่กลัวว่าเจ้า…จะไม่ยอม”

สตรีแต่งงานแล้วตาแดงก่ำ สบถด่าเสียงดัง “หากเจ้าไม่ไป เจ้าหลี่เอ้อร์ยังเป็นคนอยู่ไหม?”

หลี่เอ้อร์ยิ้มกว้างทันที

สตรีแต่งงานแล้วถามอย่างระมัดระวัง “ไปแล้ว เจ้าห้ามแขนขาดขาขาดกลับมาได้ไหม?”

หลี่เอ้อร์พยักหน้ารับ “สู้ไม่ได้ก็หนี ไม่ใช่เรื่องใหญ่”

สตรีแต่งงานแล้วเป็นกังวลขึ้นมาทันที “อะไรนะ? ยังจะต้องต่อยตีกับคนอื่นด้วยหรือ?!”

หลี่เอ้อร์ไหล่ลู่คอตก ไม่ค่อยอยากโกหกภรรยาของตัวเองสักเท่าไหร่

หลี่หลิ่วรีบพูดโน้มน้าว “ท่านแม่ ไม่เป็นไรหรอก สถานที่ที่เจิ้งต้าเฟิงอยู่อาศัยไม่เหมือนกับบ้านเกิดของพวกเรา ขอแค่จ่ายเงินให้กับทางการก็สามารถทวงคืนความเป็นธรรมได้แล้ว แค่อาจจะสิ้นเปลืองหน่อยเท่านั้น ใช่ไหม ท่านพ่อ?”

หลี่เอ้อร์รีบพยักหน้ารับ

สุดท้ายก็ยังเป็นบุตรสาวแท้ๆ ที่รู้ใจบิดามากที่สุด

สตรีแต่งงานแล้วเช็ดน้ำตา วางถุงเงินที่เพิ่งได้มาลงบนโต๊ะ แล้วเดินเข้าไปพลิกค้นกล่องและชั้นวางในห้อง หยิบถุงใบใหญ่ออกมาอีกหนึ่งถุง นอกจากเงินแต่งภรรยาของหลี่ไหวบุตรชายที่ต่อให้ตายก็ไม่มีทางแตะต้องแล้ว ทรัพย์สมบัติเกือบทั้งหมดของพวกเขาก็ล้วนเอามามอบให้หลี่เอ้อร์ทั้งหมด ก่อนจะพูดว่า “เดินทางใช้จ่ายประหยัดหน่อย เหลือไว้มากๆ จะได้เอาไปจ่ายให้กับทางการ”

หลี่เอ้อร์หยิบเงินมาแล้วก็ก้าวยาวๆ ออกจากร้านไป เพียงหันมาพูดกับหลี่หลิ่วว่าดูแลท่านแม่ของเจ้าให้ดี

สตรีแต่งงานแล้วนั่งเหม่ออยู่ในเรือนหลัง เนิ่นนานต่อมาจึงถอนหายใจหนึ่งครั้ง “ต้าเฟิงก็เป็นคนน่าสงสาร วันหน้าจะหาเมียยังไงนะ”

หลี่หลิ่วยื่นนิ้วสองนิ้วออกมาลูบด้ามกระบี่ของกระบี่สั้นที่อยู่ตรงเอวเงียบๆ

หลี่เอ้อร์ตรงดิ่งไปยังยอดบนสุดของยอดเขาราชสีห์ ไปหาผู้เฒ่าก่อกำเนิดที่มีชื่อเสียงด้านความเชี่ยวชาญการประลองคาถาอาคม บอกว่าต้องการเรือข้ามฟากลำเล็กของสำนักเพื่อเดินทางไปที่ท่าเรือใหญ่แห่งหนึ่งก่อน แล้วค่อยเดินทางไปแจกันสมบัติทวีป

ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ไม่กล้าถามมาก หนึ่งเพราะบุรุษทึ่มทื่อผู้นี้คือบิดาแท้ๆ ของ ‘บรรพจารย์หลี่หลิ่ว’ ของตน สองเพราะบุรุษคนนี้คือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบ! ด้วยความต่างระหว่างคนทั้งสองในตอนนี้ คิดจะทำร้ายให้เซียนดินก่อกำเนิดอย่างตนบาดเจ็บสาหัส เกรงว่าคงเป็นเรื่องของหมัดเดียวเท่านั้น

อีกอย่างเจ้าขุนเขายอดเขาราชสีห์ก็รู้สึกมาโดยตลอดว่า คนอย่าง ‘หลี่เอ้อร์’ นี้ต่างหากที่น่ากลัวที่สุด

พูดง่ายเกินไป โอนอ่อนผ่อนตามมากเกินไป เมื่อเทียบกับชาวบ้านตามป่าตามเขาที่ขี้ขลาดที่สุดแล้วก็ยังไม่มีความกล้าใดๆ เลย

ดังนั้นหากเป็นช่วงเวลาที่หลี่เอ้อร์ไม่เต็มใจจะพูดคุยดีๆ อย่างน้อยยอดเขาราชสีห์แห่งนี้ของตนก็ไม่มีทางทนรับการทุบตีของอีกฝ่ายได้แน่นอน

ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไปส่งท่านลงจากเขาเดินทางไปยังท่าเรือแห่งนั้นด้วยตัวเองดีกว่า ช่วยอะไรท่านไม่ได้มาก แต่ให้ช่วยลดปัญหายุ่งยากเล็กๆ น้อยๆ กลับยังพอทำได้”

หลี่เอ้อร์ไม่ได้ปฏิเสธ เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ จากนั้นก็โดยสารเรือข้ามฟากที่เจ้าขุนเขาของยอดเขาราชสีห์เป็นผู้บังคับด้วยตัวเองมุ่งหน้าลงใต้ไปอย่างรวดเร็ว

หลี่เอ้อร์ถึงขั้นไปนั่งอยู่บนราวระเบียงบนหัวเรือ

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในพื้นที่เงียบสงบห่างไกล หลังจากที่ควันธูปทั้งสามกลุ่มลอยขึ้นมาก็สามารถมองเห็นภาพที่ผู้เฒ่านั่งอยู่ในลานบ้านด้านหลังร้านยาตระกูลหยางได้อย่างชัดเจน

สุดท้ายหลี่เอ้อร์ถามผู้เฒ่าว่า ตนสามารถไปเยือนสำนักใบถงได้หรือไม่

ผู้เฒ่าทิ้งไว้ประโยคหนึ่งว่า ตามใจเจ้า จากนั้นก็โบกมือสลายควันธูปเหล่านั้น

ตามใจข้าหลี่เอ้อร์

ถ้าอย่างนั้นก็จัดการได้ง่ายแล้ว

หลังจากที่เขาฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตเก้าเลื่อนสู่ขอบเขตสิบถึงได้รู้ว่ายังมีฟ้าดินแห่งใหม่ ที่สำคัญที่สุดก็คือเขารู้ว่าอันดับต่อไปตนควรจะเดินไปบนทางสายนี้อย่างไร ทำอย่างไรถึงจะเดินได้เร็วยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะไปถึงปลายทางของทางสายขาดนี้ เขาหลี่เอ้อร์สามารถเดินไปได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรคตลอดทาง

ได้ยินว่าเจ้าคนที่ชื่อตู้เม่าผู้นั้นจ่ายค่าตอบแทนไปในนครมังกรเฒ่าไม่น้อย สูญเสียอาวุธเซียนแห่งชะตาชีวิตและกายนอกกายจิตหยาง ตอนนี้อย่างมากก็มีแค่ตบะเซียนเหรินขั้นต้นเท่านั้นกระมัง? แต่ท่านผู้เฒ่าบอกว่า ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาของสำนักใบถงไม่ค่อยได้เรื่องสักเท่าไหร่

ถ้าอย่างนั้นทางที่ดีที่สุดคือช่วงนี้เจ้าตู้เม่าควรไปจุดธูปกราบไหว้ที่ศาลบรรพจารย์เยอะๆ ไม่อย่างนั้นวันหน้าก็อาจจะไม่มีโอกาสนี้อีกแล้ว