บทที่ 216 การแถลงข่าว
“คุณหนูครับ มันจะไม่ค่อยดีกับผมหรือเปล่าครับ?” หลินหงพูด
มู่หรงเสวี่ยนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ถือปากกาไว้ในมือ “นายพูดมาเถอะ ฉันจะตัดสินอย่างเป็นกลางเอง!”
ท่าทางของหลินหงดีขึ้น “ผู้จัดการหวู่เป็นคนที่น่าเชื่อถือและมั่นคง เขาเหมาะที่จะเป็นประธานกรรมการมาโดยตลอด นอกจากนี้ผู้จัดการฝ่ายการเงินก็เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังมาก…”
หลังจากที่พูดแนะนำออกไปหลายคน หลินหงก็หยุดพูดและยืนอยู่นิ่งๆรอคำสั่งจากมู่หรงเสวี่ย
“แล้วทำไมนายไม่พูดถึงตัวเองบ้างล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
หลินหงเงยหน้าขึ้นมาอย่างประหลาดใจ ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของมู่หรงเสวี่ยยังไง
“มีอะไรเหรอ?! นายไม่คู่ควรหรือทำงานได้ไม่ดีงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยยังคงถามต่อ
“เปล่านะครับ จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง? ผมชอบมู่หรงกรุ๊ปมาโดยตลอด…อีกอย่างผมก็รักงานนี้มากด้วย…” เขารู้สึกขอบคุณท่านประธานกับทุกอย่างที่ท่านมอบให้เขา
มู่หรงเสวี่ยวางปากกาลง แล้วเอามือรวบมาวางที่โต๊ะ ท่าทางแบบนี้ทำให้หลินหงรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก “ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมนายไม่แนะนำถึงตัวเองล่ะ? ฉันบอกให้นายพูดถึงตัวเลือกที่น่าไว้ใจที่สุดในบริษัทไม่ใช่เหรอ?”
“มันคงไม่ดีเท่าไรที่ผมจะพูดแนะนำตัวเอง!”
“ทำไมล่ะ? ในโลกนี้ถ้านายอยากที่จะพัฒนาให้มากขึ้น นายจะมานั่งรอให้คนอื่นหยิบยื่นโอกาสมาให้ไม่ได้หรอกนะ นายต้องออกไปสู้เพื่อชิงมันมาเอง ใครจะมารับผิดชอบชีวิตของนายได้กันล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยพูดออกไปกลายๆว่าเธออยากที่จะหาคนที่เหมาะสมมาคอยดูแลบริษัทเพราะเธอจะอยู่ในบริษัทตลอดไม่ได้หรอก หลินหงเป็นตัวเลือกที่ดีแต่ถ้าเขาไม่มีความกล้า มันก็ไม่รอดหรอก
หลินหงกำหมัดแน่น คำพูดของมู่หรงเสวี่ยราวกับธนูที่ปักเข้ากลางใจเขา เขายังจำได้ว่าตอนที่เจอท่านประธานครั้งแรกมันเกิดอะไรขึ้น เขาเป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เด็กๆ ถึงแม้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจะให้ความช่วยเหลือกับเขาเยอะมาก แต่มันก็สิ้นสุดแค่ตอนที่เขาอายุได้ 12 สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าไม่ได้มีแหล่งเงินทุนมากนักแถมยังต้องคอยดูแลเด็กกำพร้าคนอื่นๆอีกด้วย เขาอยากที่จะพึ่งพาตัวเองแต่ในหลายๆทางแต่หลายคนดูไม่ชอบเด็กตัวเล็กผอมแบบเขาแถมยังเด็กอีกด้วยจึงไม่ค่อยที่จะให้งานเท่าไรเพียงแค่ให้อาหารและเสื้อผ้าแค่นั้น
จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็เจอเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตเขา ในตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาความกล้ามาจากไหน เขาจับชุดสูทของท่านประธานด้วยมือที่สกปรกไว้แน่นพร้อมทั้งพูดออกไปว่า “ผมยอมทำทุกอย่าง ช่วยรับผมทีนะครับ” นั่นคือสิ่งที่เขาพูดออกไปตอนนั้น
ท่านประธานเริ่มที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย “ปล่อยมือก่อน ในโลกนี้มีคนอีกตั้งมากมายที่ต้องการความช่วยเหลือ นายคิดว่าฉันจะช่วยคนได้ทั้งโลกหรือไง?”
อย่างไรก็ตามเขาก็ยังดื้อไม่ยอมที่จะปล่อยมือ “ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง ตราบใดที่ผมยังไม่ตาย ผมก็สร้างปาฏิหาริย์ได้!”
ในตอนนี้ การ์ดที่อยู่รอบๆตัวท่านประธานเดินเข้ามาและพยายามที่จะดึงเขาออกไป อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาแรงมาจากไหน เขากอดขาท่านประธานไว้แน่น บางทีในจิตใจสำนึกตอนนั้นเขาคิดว่าถ้าตัวเองพลาดครั้งนี้ อนาคตก็คงจะไม่เหลืออะไรแล้ว
การ์ดพยายามดึงเขาออกอย่างแรงจนเจ็บ แต่เขาก็กัดฟันแน่นแล้วไม่ยอมปล่อย
ต่อมาท่านประธานก็รับเขาเข้ามา ในตอนนั้นท่านพูดแค่เพียงว่า “จำความหนักแน่นของตัวเองเอาไว้!”
หลังจากที่เวลาผ่านมานานเขาก็ศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเองมาโดยตลอด เพื่อที่วันหนึ่งจะได้ช่วยท่านประธานในตำแหน่งเลขาของท่านได้ เขามีความสุขอย่างมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม ท่านประธานถึงมองเขาด้วยสายตาแปลกๆเสมอและบางครั้งก็จะพูดออกมาว่า “หลินหง นายลืมอะไรไปหรือเปล่า?!!”
ในตอนนั้น เขาไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจจริงๆ แต่ตอนนี้จู่ๆก็ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของเขา ใช่ เขาลืมที่จะไล่ตาม เขาคิดว่าตราบใดที่ตัวเองยังทำงานในบริษัทนี้ เขาก็จะตอบแทนความเมตตาของท่านประธาน แต่ตั้งแต่ต้นสิ่งที่ท่านประธานต้องการไม่ใช่เขาในฐานะเลขา
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้เร่งคำตอบจากเขา ถ้าเธอทำให้เขาเข้าใจได้ว่าตัวเองขาดอะไร มันก็คงจะดีกว่านี้
“คุณหนูครับ กรุณาให้โอกาสผมด้วย ผมจะพยายามให้ดีกว่านี้ครับ!” สายตาที่หนักแน่นของหลินหงและคำพูดที่ตอบออกมาอย่างเคร่งขรึม
มู่หรงเสวี่ยเผยรอยยิ้มจางๆ ประกายแห่งความพอใจแวบขึ้นมาในสายตาแล้วจึงพูดออกมาว่า “ขอฉันดูความตั้งใจของนายก่อน”
“ครับ เชิญเลยครับ ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง…”
“…”
คืนนั้นมู่หรงเสวี่ยที่กลับไปที่ฐาน หยิบโทรศัพทืมือถือออกมาแต่ก็พบว่าวันนี้ฮวงฟูอี้ไม่ได้โทรหรือส่งข้อความมาหาเธอเลย เธอรู้สึกไม่สบายใจจึงรีบกดโทรหาฮวงฟูอี้ทันที อย่างไรก็ตามฮวงฟูอี้ไม่ได้รับสายแต่กลับตรงเข้าเสียงเครื่องตอบรับทันที
ยุ่งอยู่หรือไงนะ?! มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้วและกดโทรต่อไปอีก
อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีใครรับสายอยู่ดี
จนสุดท้ายมู่หรงก็ทำได้เพียงส่งข้อความไปแทน “อี้ ฉันคิดถึงนาย!”
เธอคิดถึงเขาจริงๆ
ในช่วงเวลาแบบนี้เธอเจอแต่เรื่องที่หยาบคาย เธออยากที่จะเอนกายไปที่แขนของเขาและฟังเสียงเต้นของหัวใจที่คุ้นเคย
หลังจากที่รออยู่สักพัก มู่หรงเสวี่ยก็ยังไม่ได้รับข้อความตอบกลับจากฮวงฟูอี้ เธอจึงวางโทรศัพท์ลงและเดินเข้าไปอาบน้ำเตรียมที่จะนอน
วันต่อมา สิ่งแรกที่เธอทำคือการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแต่ก็ยังไม่มีวี่แววอะไรเลย เธอช่วยไม่ได้แต่ก็วางโทรศัพท์ลงและลุกขึ้นมาจัดการตัวเอง ตอนนี้เธอไม่มีเวลาที่จะเสียแล้ว ทุกนาทีและวินาทีคือสิ่งที่เธอต้องใช้อย่างคุ้มค่า พ่อแม่ของเธอยังรอเธออยู่ สิ่งที่เธอได้เจออยู่ในตอนนี้ทำให้เธอเกิดความคิดที่ไร้สาระ ยังมีอีกโลกที่เธอยังหาไม่เจอหรือเปล่านะ?
คนพวกนั้นอาจจะรู้เกี่ยวกับทุกเรื่อง รวมทั้งเรื่องห้วงเวลาและมิติลับในมิติลับของเธอด้วย เธออยากที่จะรู้ เธอกระหายที่จะรู้
อย่างไรก็ตามไม่มีตรงไหนให้ทำความเข้าใจได้เลยและในมิติลับก็เจอแค่วิธีการบ่มเพาะจิตวิญญาณซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งไม่เข้าใจไปกันใหญ่
มู่หรงเสวี่ยยุ่งมากๆเพราะการหายตัวไปที่กะทันหันของพ่อแม่ ตอนนี้สื่อหลักมากมายก็เริ่มที่จะรายงานเรื่องนี้แล้วด้วย และมู่หรงกรุ๊ปก็ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการหายตัวไปของพ่อเธอ จึงทำให้ราคาหุ้นตกฮวบอย่างมาก แทนที่เหล่าผู้ถือหุ้นจะช่วยกันหาทางออกแต่กลับมาตั้งคำถามกับมู่หรงเสวี่ย
เพื่อที่จะรักษาสถานการณ์นี้ไว้ มู่หรงเสวี่ยต้องทำงานตลอดทั้ววันทั้งคืนจนแทบจะไม่มีเวลากินด้วยซ้ำ ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ตัวเลยว่าฮวงฟูอี้ไม่ได้ติดต่อเธอมาหลายวันแล้ว
พวกสื่อต่างก็สนใจเรื่องอายุของมู่หรงเสวี่ยอย่างมาก แม้แต่ผู้ถือหุ้นที่ถูกกดขี่ก่อนหน้านี้ก็เริ่มที่จะเคลื่อนไหวเล็กน้อยบ้างแล้วเพื่อหวังที่จะไล่มู่หรงเสวี่ยออกไป
จนสุดท้ายมู่หรงเสวี่ยก็ต้องออกมาเปิดเผยว่าเธอเป็นประธานของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปซึ่งทำให้เกิดเสียงฮือฮาอย่างมาก
วันนี้บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปแตกต่างจากในตอนแรกอย่างมาก โดยพื้นฐานแล้วบริษัทเจี๋ยลี่ในจังหวัด A อยู่เหนือกว่าธุรกิจครอบครัวของจังหวัดAมามาก และก้าวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งบริษัทอันดับต้นๆ
นอกจากนี้อุตสาหกรรมยาก็เป็นที่รู้จักในวงกว้างอย่างมากและยังมีคลินิกฟรีที่บริษัทเจี๋ยลี่จัดขึ้นทุกเดือนอีกซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะนึกภาพความมีชื่อเสียงของบริษัทเจี๋ยลี่
เป็นเวลานานที่สื่อหลักหลายๆเจ้าต่างก็คิดว่ากู่หมิงคือประธานกรรมการของบริษัทเจี๋ยลี่ ก่อนหน้านี้กู่หมิงไม่ได้ให้คำตอบยืนยันในเรื่องนี้เลยเพราะมู่หรงเสวี่ยบอกว่ามันจำเป็นที่จะต้องเก็บไว้เป็นความลับ ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่าเป็นกู่หมิงไปโดยปริยาย ไม่คิดเลยว่าจู่ๆมู่หรงเสวี่ยจะออกมาเปิดเผยว่าตัวเองคืประธานของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป ดังนั้นเธอจึงมีคุณสมบัติอย่างเต็มที่ที่จะเข้ามาดูแลมู่หรงกรุ๊ป
เรื่องนี้ทำให้โทรศัพท์ที่มู่หรงกรุ๊ปดังกระหน่ำจนสายแทบพังแถมยังมีเหล่านักข่าวมากมายมารอพบมู่หรงเสวี่ยที่หน้าประตูอีก จนสุดท้ายมู่หรงเสวี่ยต้องออกมาบอกว่าเธอจะจัดแถลงข่าวเพื่อที่พวกสื่อจะได้หยุดการกระทำที่บ้าคลั่งพวกนี้ซะที
ในวันที่มีการแถลงข่าว
มู่หรงเสวี่ยและกู่หมิงจัดการแถลงข่าวเป็นพิเศษในห้องโถงขนาดใหญ่
“คุณมู่หรงสร้างบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร?”
“ตอนที่ฉันเรียนอยู่มัธยม ฉันไม่อยากที่จะพึ่งคุณพ่อคุณแม่มากเกินไปจึงได้ก่อตั้งบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปขึ้นมา!”
“ขอถามได้ไหมว่าทำไมคุณมู่หรงถึงต้องปิดบังเรื่องที่คุณเป็นประธานของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปด้วย?”
มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “เราทุกคนต่างก็รู้แม้กระทั่งในวันนี้ ฉันก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กวัยรุ่น ฉันหวังที่จะก่อร่างสร้างตัวอย่างเงียบๆจึงไม่ได้เปิดเผยตัวเอง!”
“ประธานมู่หรงเฟิงฮัวเป็นคนลงทุนในบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปหรือเปล่า?”
“ในตอนแรกคุณพ่อให้กองทุนรวมฉันมาสิบล้านจริง!” มู่หรงเสวี่ยตอบ
“คุณมู่หรงใช้เงินทุนสิบล้านเพื่อนก่อตั้งบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปงั้นเหรอ?! ล้อเล่นหรือเปล่า คุณมู่หรงไม่ได้เป็นคนก่อตั้งบริษัท แต่บังเอิญว่าประธานกู่หมิงมาเจอคุณก็เลยเข้ามาช่วยคุณหรือเปล่า?!”
“เพราะคนที่ก่อตั้งบริษัทคือเด็กสาวอายุ 15 พวกเราก็เลยสงสัยได้หรือเปล่า?”
“อีกอย่างเงินทุนในการสร้างโรงงานและการวิจัยแผนกยาของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปก็มหาศาล คุณสามารถทำทุกอย่างในเวลาอันสั้นได้ยังไง?”
“…”
คำถามของเหล่านักข่าวตรงประเด็นมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังเล็งเป้าไปในด้านลบอีกต่างหาก
“กรุณาเงียบด้วย ฉันแค่กำลังจะบอกว่าฉันเป็นคนก่อตั้งบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปขึ้นมาแต่แน่นอนว่าในบริษัทยังมีเหล่าพนักงานที่มากความสามารถอีกมากมาย ถ้าไม่มีพวกเขาก็คงไม่มีการแถลงข่าวในวันนี้ ส่วนเรื่องแหล่งเงินทุน ฉันก็แค่โชคดีที่บังเอิญไปได้หยกเกรดคุณภาพระดับสูงมาและขายได้ในราคาหลายพันล้านหยวน ส่วนปัญหาเรื่องเทคโนโลยีเพราะเรื่องนี้เป็นความลับดังนั้นฉันจึงบอกเรื่องนี้ไม่ได้!”