บทที่ 217 การไปเยือนชานเมืองครั้งแรก

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 217 การไปเยือนชานเมืองครั้งแรก

หลังการแถลงข่าว ชื่อเสียงของมู่หรงเสวี่ยก็ดังไปทั่วจังหวัด Aอีกครั้ง แน่นอนว่าเฉพาะแค่ในจังหวัดA

พวกคนดังและบุคคลสำคัญในเมืองหลวงไม่สนใจเรื่องของจังหวัดเล็กๆหรอก

นี่ก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วตั้งแต่ที่เธอกลับมาที่จังหวัดA หลินหงทำให้มู่หรงเสวี่ยมองเขาด้วยความชื่นชมอย่างมากได้จริงๆ มู่หรงเสวี่ยค่อยๆโอนงานของมู่หรงกรุ๊ปให้หลินหง อันที่จริงเธออยากที่จะโอนหุ้นของเธอให้เขา 0.5% ด้วย แต่แน่นอนไม่มีใครโอนหุ้นของพ่อเธอได้และหลินหงก็ไม่มีวันรับด้วย เขาบอกว่ามู่หรงเฟิงฮัวมอบชีวิตที่สมบูรณ์ให้เขาแล้วซึ่งเขารู้สึกร่ำรวยมากพอแล้ว

เหตุผลที่มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะยกหุ้นก็เธอให้เขาก็แค่เพื่อที่จะผูกมัดเขา ยังไงซะถ้าเขารับเขาก็ทำงานหนักขึ้นกว่าเดิมอยู่แล้ว แต่สายตาของหลินหงเปล่งประกายตอนที่เธอพูดเรื่องนี้ซึ่งแม้แต่เธอเองก็ยังตกใจ

อย่างไรก็ตามมู่หรงเสวี่ยยังไม่มั่นใจที่จะยกบริษัทให้อยู่ในมือของคนคนเดียว ดังนั้นมู่หรงเสวี่ยจึงขอให้พี่กู่ส่งคนที่เชื่อใจได้เข้ามารับผิดชอบแค่เรื่องตรวจสอบความผิดปกติของบริษัทเท่านั้น

วันนี้แผนการล้อมเมืองจากชนบทของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปกำลังพัฒนาไปได้ดีมาก หลังจากที่อธิบายเรื่องงานทั้งมดของมู่หรงกรุ๊ปแล้ว มู่หรงเสวี่ยก็มีแผนที่จะไปชานเมืองเพื่อที่จะดูว่าแผนการขยายบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปจะเป็นยังไงบ้าง

ก่อนหน้านี้เธอเคยลองที่จะปลูกผักต่างๆที่ด้านนอกวิลล่าของเธอมาแล้วซึ่งผลที่ได้แย่กว่าผักในมิติลับมาก ดังนั้นเธอจึงเจือจางนำแห่งจิตวิญญาณ 1000 ส่วนและน้ำมารดพวกผัก ก็พบว่าผักที่เธอปลูกไม่หวานเหมือนกับผักในมิติลับเลยแต่ก็ไม่ถึงกับแย่เท่าไร ดังนั้นเธอจึงวางแผนที่จะใช้เส้นทางการพัฒนาต่างๆ ในชนบทเธอจะรวบรวมไร่นา จากนั้นก็ตั้งฐานเกษตรกรรมโดยไม่ใช้ดินเพื่อปลูกผักปลอดสารพิษ เธอแบ่งน้ำแห่งจิตวิญญาณที่จำเป็นจะต้องใช้ให้กับคนที่สำคัญเท่านั้น ซึ่งคนพวกนี้จะใส่น้ำแห่งจิตวิญญาณลงไปผสมกับน้ำทุกวันแล้วให้คนงานเอาไปรดน้ำนี้ไปรดพวกผัก นอกจากนี้คนงานทุกคนที่อยู่ในฐานจะต้องถูกตรวจว่าเอาอะไรติดตัวออกไปหรือเปล่า แม้แต่น้ำสักหยดก็ห้ามนำออกไป

เพราะเงินเดือนที่บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปให้สูงกว่าบริษัทหรือโรงงานทั่วๆไปมาก ดังนั้นชาวไร่หลายคนจึงยินดีที่จะมาทำงานที่ฐานของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเพื่อปลูกผักที่พวกเขาคุ้นเคยดี ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเรื่องขาดคนงาน

มู่หรงเสวี่ยและหลงอี้ขับรถตรงไปที่ชานเมือง แน่นอนว่ารถเป็นรถเฉพาะที่กันกระสุนเป็นพิเศษจากฐานของดราก้อนพาวิลเลี่ยน

มู่หรงเสวี่ยที่อยู่ในรถมองโทรศัพท์หลายครั้งจนนับไม่ถ้วน เธอโทรหาฮวงฟูอี้หลายครั้งแต่ก็ไม่มีใครรับสายเลย เขาไม่ได้ส่งข้อความกลับมาหาเธอ เป็นอะไรหรือเปล่า? อย่างไรก็ตามเมื่อเขาถามหลงอี้ เขาก็จะตอบว่าฮวงฟูอี้โทรมาถามเรื่องงานกับเขาทุกวัน

แล้วทำไมไม่รับสายเธอล่ะ ทำไม?

หัวใจของมู่หรงเสวี่ยรู้สึกตื่นตระหนกอย่างอธิบายไม่ได้
แต่ก่อนที่เธอจะมา พวกเธอทั้งคู่ยังดีกันอยู่เลยแถมยังได้เปิดเผยความรู้สึกของกันและกันอีกด้วย เธอคิดว่าระยะห่างระหว่างพวกเธอใกล้กันเข้ามาแล้วซะอีก ไม่ใช่เหรอ?!!

เธออยากที่จะกลับไปที่เมืองหลวงทันทีเพื่อถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตามหลงอี้บอกว่าฮวงฟูอี้ไปจัดการเรื่องงานที่ต่างประเทศ ตอนนี้หลักของเธอยังไม่มั่นคงและก็ยังมีอีกหลายเมืองที่จะต้องเข้าไปสำรวจ ดังนั้นมู่หรงเสวี่ยจึงวางแผนที่จะไปดูการพัฒนาของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปก่อนแล้วค่อยกลับไปที่เมืองหลวง เดาว่าป่านนั้นฮวงฟูอี้ก็คงจะกลับมาเมืองหลวงแล้วด้วยเหมือนกัน

บางทีเขาคงจะยุ่งมาก น่าจะยุ่งมากๆ มู่หรงพยายามปลอบใจตัวเองอยู่เรื่อยๆ อย่างไรก็ตามในหัวก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี…เธอมักจะรู้สึกเสมอว่าตัวเองไม่สามารถที่จะไล่ตามฮวงฟูอี้ได้ แล้วนี่เธอยังไม่รู้ด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น แม้แต่หลงอี้ที่ต้องรายงานดราก้อนมาสเตอร์ทุกวันก็ยังไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น จู่ๆดราก้อนมาสเตอร์ก็บอกเขาว่าไม่ต้องรายงานเรื่องดราก้อนมาสเตอร์ให้คุณมู่หรงรู้ทุกเรื่องแต่เขาก็ยังเป็นห่วงคุณมู่หรงอยู่ทุกวัน แม้แต่เรื่องที่เดี๋ยวนี้คุณมู่หรงกินข้าวได้น้อยลง เขาก็ยังถามอย่างละเอียด

อย่างไรก็ตามดราก้อนมาสเตอร์ไม่อนุญาตให้เขาบอกคุณมู่หรงเรื่องที่เขาเป็นห่วงความรู้สึกของคุณมู่หรง
หลงอี้อยากที่จะถามว่าดราก้อนลอร์ดเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไร? จู่ๆจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยเหรอ? มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ทั้งสองคนรักกันมาก แต่ตอนนี้จู่ๆดราก้อนมาสเตอร์ก็ไม่สนใจว่าคุณมู่หรงจะทำอะไร ยากที่จะเข้าใจจริงๆใช่ไหม?!!!

ทุกครั้งที่คุณมู่หรงมองไปที่โทรศัพท์ด้วยสายตาที่เหงาหงอย เขาก็รู้สึกอยากที่จะบอกเธอเหลือเกินว่าดราก้อนมาสเตอร์ถามเรื่องเธอทุกวันเลย อย่างไรก็ตามขาก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งของดราก้อนมาสเตอร์

แต่ดราก้อนมาสเตอร์บอกว่าคุณมู่หรงจะกลับมาที่เมืองหลวงตอนนี้ไม่ได้ เขาถามออกไปด้วยความสงสัย แต่โชคไม่ดีที่ดราก้อนมาสเตอร์ไม่ยอมบอกอะไรเขาเลย

ภาพบรรยากาศนอกหน้าต่างรถผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถนนในเมืองนี้ขับรถได้ค่อนข้างยาก แม้แต่รถที่ถูกสร้างมาอย่างดีก็ยังรู้สึกขรุขระเล็กน้อย แต่นี่ก็ดีมากกว่ารถคันอื่นๆมากแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมบรรยากาศในรถถึงได้เงียบขนาดนี้ ดูเหมือนว่าคุณมู่หรงจะเงียบเกินไป แต่ก่อนเพราะคุณมู่หรงจะชอบแกล้งเขาบ้างเป็นครั้งคราวจึงทำให้บรรยากาศในรถค่อนข้างที่จะผ่อนคลาย นี่เป็นครั้งแรกที่บรรยากาศเงียบมากจนแทบจะไม่เคยชิน

แน่นอนว่านี่ต้องเป็นเพราะดราก้อนมาสเตอร์ คุณมู่หรงจะถือโทรศัพท์ไว้ในมือตลอดเวลาโดยไม่ปล่อยไปไหนเลย

แทนที่จะตรงกลับไปที่ฐานเกษตรกรรมเลยแต่มู่หรงเสวี่ยกับคนอื่นๆกลับไปที่สาขาของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปในเมืองเพื่อดูสถานการณ์แทน

แน่นอนว่าการพัฒนาของเมืองนี้ไม่ได้ดูหรูหราเหมือนกับในจังหวัด A ถึงแม้ถนนจะค่อนข้างดีแต่ก็เป็นเพียงแค่ถนนสายหลักเท่านั้น ถนนในเมืองจะค่อนข้างแคบมาก ตลอดทางจึงเป็นเรื่องยากมากที่รถจะขับเข้ามาถึงได้และนอกจากนี้ตามถนนยังมีแผงลอยและหาบเร่อีกด้วย

เสียงดังจนได้ยิน คนเดินเท้าก็เดินกันเป็นกลุ่มๆ บางคนก็เดินกันกลางถนนโดยไม่สนใจเรื่องกฎจราจรกันเลย เหล่าสมาชิกของดราก้อนพาวิลเลี่ยนรู้สึกโอเคกับเรื่องพวกนี้เพราะบางครั้งพวกเขาจะต้องออกมาทำภารกิจในเมืองแบบนี้จึงเคยเห็นมาแล้ว

แต่สำหรับมู่หรงเสวี่ยนี่เป็นครั้งแรกที่ได้มาสถานที่แบบนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้มาสัมผัสกับสถานที่แบบนี้ไม่ว่าจะในชีวิตที่แล้วหรือชีวิตนี้ก็ตาม

เธอมองจากหน้าต่างออกไปที่ถนน ผู้คนแต่งกายกันด้วยชุดธรรมดาๆและต่างก็ชี้กันมาที่รถของเธอบ้างเป็นบางครั้ง ราวกับว่ารถของเธอเป็นของวิเศษอย่างไงอย่างงั้น อันที่จริงในเมืองก็มีรถเล็กๆมากมาย แต่เพียงแค่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่คนที่นี่ได้เห็นรถที่ดูหรูหราแบบของหลงอี้และคนอื่นๆเป็นครั้งแรก จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัย

มู่หรงเสวี่ยเห็นว่ามีคนมากมายทั้งสองฝั่งถนนที่ขับรถสามล้อกันซึ่งในรถก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้า พวกเขาใช้แผ่นกระดาษแข็งซึ่งดูเหมือนจะถูกฉีกมาจากลังกระดาษ ที่ขอบเว้าและนูน ซึ่งเขียนคำไว้ไม่กี่คำว่า :18 หยวน/ชิ้น!

เธอเบิกตาหว้างและมองไปที่ตัวอักษรขยุกขยิกนั่นซ้ำแล้วซ้ำอีก 18 หยวน/ชิ้นงั้นเหรอ?!! มันจะเป็นไปได้ยังไง? เธอถึงขนาดถามหลงอี้ว่า “หลงอี้ นายเห็นป้ายนั้นไหม? ฉันอ่านผิดหรือเปล่า?”

หลงอี้มองสายตาของมู่หรงเสวี่ยและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เขารู้ว่าทำไมมู่หรงเสวี่ยถึงประหลาดใจแล้วคนที่ไม่เคยสวมเสื้อผ้าราคาต่ำกว่า 10,000 หยวนจะเข้าใจชีวิตของคนธรรมดาได้ยังไง “คุณมู่หรง คุณอ่านถูกแล้วครับ นั่นราคา 18 หยวน/ชิ้นครับ!”

“มันจะเป็นไปได้ยังไง? ราคาจะแค่นั้นได้ยังไง? แล้วค่าแรงล่ะเท่าไร?” มู่หรงเสวี่ยจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง ราวกับว่าเธอได้เจอกับเรื่องที่น่าอัศจรรย์อย่างมาก เธอเต็มไปด้วยความสงสัย เธอคิดไม่ออกเลยว่าจะต้องประหยัดกันมากแค่ไหน

“ไม่ใช่ทุกคนที่มีชีวิตที่สุขสบายนะครับ ในโลกนี้ยังมีคนอีกมากมายที่พร้อมจะทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่ออาหาร ส่วนเรื่องราคานั้น ไม่ใช่ชุดของทุกคนที่จะทำมาจากคัทตอนบริสุทธิ์นะครับ ในโลกนี้ยังมีวัสดุสังเคราะห์อีกหลายประเภท…” หลงอี้ตอบเสียงเบาโดยไม่ได้มีการประชดประชันอะไร ยังไงซะมันก็เป็นเรื่องความแตกต่างกันของชีวิต จึงเป็นเรื่องปกติที่คุณมู่หรงจะไม่เข้าใจ

หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลงอี้ มู่หรงเสวี่ยก็ก้มหัวลง เธอนึกได้ถึงเรื่องที่ฮวงเสี่ยวเฟิงเคยพูด ในตอนนั้นฮวงเสี่ยวเฟิงก็เหมือนจะพูดเรื่องอะไรที่คล้ายๆกันนี้เหมือนกัน

เพียงแค่ว่าเธอไม่คิดว่าตัวเองผิด มันผิดเหรอที่เธอเกิดมาจากตระกูลที่สูงศักดิ์ ก็เลยเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะต้องตกนรกงั้นเหรอ?! สิ่งที่เธอไม่เข้าใจคือทำไมฮวงเสี่ยวเฟิงถึงโทษความเป็นเพื่อนที่แตกหักของพวกเธอว่าเป็นเพราะคุณภาพชีวิตที่สุดหรู เป็นเพราะความรู้สึกต่ำต้อยของคนนำไปสู่เรื่องที่เกิดขึ้นงั้นเหรอ?

ที่ถนนยังมีคนอีกมากมาย เธอเห็นว่าหนึ่งในพวกผู้ชายเหงื่อโทรมกายเพราะเขากำลังยืนตะโกนอยู่กลางแสงแดดจ้า เขาพยายามเช็ดเหงื่อที่น่ารำคาญด้วยแขนเสื้อ อย่างไรก็ตามผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเขารีบเข้ามาช่วยเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าให้ แล้วเธอก็ส่งขวดน้ำให้เขา ชายคนนั้นรับมาและทั้งคู่ต่างก็หัวเราะด้วยกัน ใครบอกกันว่าความสุขขึ้นอยู่กับเรื่องเงิน?!! คู่รักที่ถนน มู่หรงเสวี่ยคิดว่าพวกเขามีความสุขอย่างมาก รอยยิ้มของพวกเขาดูมีความสุขมากโดยไม่มีอะไรเจือปน

หลงอี้คิดว่าสิ่งที่เขาพูดมันหนักเกินไป เขาพยายามที่จะอธิบายแต่ก็เห็นว่าคุณมู่หรงมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ เป็นเรื่องจริงที่คุณมู่หรงมีความหนักแน่นของตัวเอง แล้วเธอจะมาสั่นคลอนเพราะโลกสองใบนี้ได้ยังไงล่ะ

หลังจากนั้นสักพักพวกเขาก็มาถึงออฟฟิศสาขาของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปในชานเมือง ฐานของสาขาบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปที่ชานเมืองไม่ได้สูงเหมือนกับในจังหวัด A ที่นี่เป็นเพียงอาคารเดี่ยวขนาดประมาณ 2,000 ตรม. ที่ชั้นบนสุดมีตัวอักษรใหญ่อยู่ไม่กี่คำเขียนไว้ว่า: สาขาบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป!