ตอนที่ 746 จุดประสงค์ที่แท้จริง

Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย

ตอนที่ 746 จุดประสงค์ที่แท้จริง

 

ค่ายหนานตู้ต้องเพิ่มเก้าอี้จำนวนมากในงานเลี้ยงเนื่องจากมีเหล่าตัวแทนจากค่ายทั้งหลายมาร่วมงานอย่างกระทันหันรวมถึงต้องเพิ่มปริมาณอาหารและเครื่องดื่ม อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นงานเร่งด่วนแต่ทุกอย่างก็ยังสามารถเสร็จได้ตามเวลางานเลี้ยง ซึ่งมันก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของค่ายหนานตู้อย่างมาก ค่ายมีรากฐานการบริหารที่แข็งแกร่ง

  

โลกาวินาศทำให้คำ่คืนมืดมิดยิ่งกว่าในยุคศิวิไลซ์พระอาทิตย์ตกดินที่เวลา 6 โมงตรง ซึ่งมื้อค่ำก็จะเริ่มที่เวลานี้ทันที ห้องโถงขนาดใหญ่ถูกตกแต่งอย่างดงาม มีโต๊ะอาหารยาวตั้งอยู่กลางห้อง ทุกคนนั่งประจำที่ แต่งองค์ทรงเครื่องกันมาพร้อม

  

ฉางกวนหลงนั่งอยู่หัวโต๊ะและรับรู้ได้ถึงแรงกดดันมากมายที่ถูกส่งมาจากดวงตาหลายคู่ที่จับจ้องมา นี้สินะ วันนี้มีหลายคนรีบมุ่งหน้ามาค่ายหนานตู้อย่างกระทันหัน?

  

แค่เพราะอยากจะเห็นชูฮัน?

  

ไม่เห็นจะจำเป็นอะไรเลย…

  

ฉางกวนยวีซินนั่งถัดจากพ่อของเธอเธอเองก็ค่อนข้างเป็นกังวล เพื่อนับจำนวนคนในระยะสายตาแล้ว นอกเหนือจากคนของค่ายซางจิงและค่ายตวน มีคนเกือบร้อยคนจากทั่วทั้งจีน ค่าย 100 ค่ายทั่วทั้งจีนต่างมากันหมด งานเลี้ยงครั้งนี้แทบไม่ต่างกับการประชุมประจำปีที่ค่ายซางจิงเลยด้วยซ้ำ

  

ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวและถือเป็นโชคดีสำหรับค่ายหนานตู้คือมีเพียงแค่ค่ายหลักที่ส่งทูตเป็นตัวแทนมาแทน ในขณะที่ค่ายขนาดกลางจะเป็นผู้นำของค่ายมาเอง

  

บางคนก็ยอมยืนอยู่ในวงนอกเนื่องจากจะให้นั่งทุกคนก็เป็นไปไม่ได้ส่วนเหล่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงก็นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารยาว ทุกคนนั่งอยู่บนเก้าอี้และหันหน้าไปทิศทางเดียวกัน รอคอยการเปิดงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ ซึ่งก็คือเก้าอี้ตัวถัดมาอีกข้างของฉางกวนหลงที่ว่างเปล่ามาตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ ซึ่งทำให้ทุกคนในที่นี้รับรู้ได้ทันทีว่าเก้าอี้นี้เป็นของใคร ท่ามกลางงานที่ใหญ่โตขนาดนี้ คนที่อาจหาญกล้ามาสายทั้งๆที่ทุกคนกำลังรออยู่

  

”แม้ว่าแขกส่วนใหญ่ในงานเลี้ยงจะมีพลตรีและพลโทเข้าร่วมจำนวนมากและมีระดับพลเอกเพียงแค่สองคน แต่แม้แต่พลเอกผู้นำของค่ายหนานตู้ก็มาถึงงานแล้ว แต่พลเอกชูฮันที่เด็กกว่ากลับยังไม่มา นี้คือเขาไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาหรือยังไงกัน?” ชายที่แต่งตัวดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมหวีเรียบแปล้ ผุดขึ้นยืนท่ามกลางเสียงซุบซิบ บนหน้าอกมีตราของพลตรีติดอยู่

  

ทันใดนั้นหัวใจของฉางกวนยวีซินก็ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มหลายคนมุ่งหน้ามาที่งานเลี้ยงในวันนี้เพราะหวังว่าจะได้เจอกับชูฮัน ทุกคนคาดหวังในตัวพ่อของเธอ แต่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมชูฮันถึงยังไม่มากัน?

  

สถานการณ์เริ่มแย่ขึ้นเรื่อยๆฉางกวนยวีซินหันไปมองหน้าฉางกวนหลง

  

”จงไคพูดถูกชูฮันไอ้เด็กนี่ยังไม่มาสักที นี่มันไม่เห็นฉันในสายตาเลยใช่มั้ย?” ฉางกวนหลงเองก็เข้าร่วมการวิจารณ์ชูฮันด้วย แววตาแสดงความไม่พอใจออกมาชัดเจน ถึงอย่างไรแล้วฉางกวนหลงก็ไม่ได้พอใจในตัวชูฮันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

  

จงไคพลตรีหนุ่มที่ผุดขึ้นยืนและต่อว่าชูฮันไม่คิดว่าฉางกวนหลงจะกล้าแสดงเจตนารมณ์ออกมาตรงๆแบบนี้ ซึ่งมันทำให้จงไคดีใจอย่างมากกับความสำเร็จในครั้งนี้ “ท่านพลเอกพูดถูก ชูฮันนั้นทำตัวใหญ่โตเหลือเกิน ให้แม้กระทั่งเหล่าผู้นำระดับสูงทั้งหลายรวมถึงแขกมากมายรอเขาอยู่คนเดียว ไร้การศึกษาสิ้นดี!”

  

หลายคนพึมพำอย่างเห็นด้วยอย่างไม่พอใจเห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สบอารมณ์อย่างมากกับการเดินทางในครั้งนี้

  

”การกระทำเช่นนี้ถือว่าชูฮันหยาบคายอย่างมาก ดังนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขาเหมือนกัน” ชายอีกคนซึ่งเป็นพลโทลุกขึ้นยืนอย่างโมโห แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน “นั่นสิ ทำไมเราไม่เริ่มกันเลยล่ะ? จะปล่อยให้เหล่าตัวแทนรอได้อย่างไรกัน?”

  

แววตาของจงไคแวววาวสบตากับอีกฝ่ายไปมา มันมีความไม่ลงรอยกันระหว่างทั้งสองฝ่ายจางๆ

  

เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ฉางกวนหลงและฉางกวนยวีซินก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง พ่อลูกได้แต่สบตากันไปมาและได้กลิ่นบางอย่างที่ผิดปกติ

  

คนพวกนี้มาที่ค่ายหนานตู้เวลานี้ทำไมจุดประสงค์ของพวกเขาคืออะไรกันแน่?

  

ขณะที่แต่ละคนเริ่มแสดงจุดยืนของตัวเองออกมาและต้องการให้งานเลี้ยงเริ่มต้นทันทีโดยไม่สนใจว่าชูฮันจะมาเมื่อไหร่ มันก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้นเบาๆ

  

”ทำไมคนเยอะจัง?”ชูฮันเดินเข้ามาสบายๆ เสื้อผ้าเรียบง่าย แม้แต่ตราแสดงสัญลักษณ์ของพลเอกเขาก็ไม่ได้ติดมา เขาเดินเข้ามาโดยไม่สนใจสายตาของทุกคนที่มองเลย

  

เมื่อได้เห็นชูฮันปรากฏตัวขึ้นด้วยการแต่งกายที่แสนจะธรรมดามันก็มีแววตาดูถูกเหยียดหยามฉายอยู่ในนัยน์ตาของหลายคน

  

ฉางกวนหลงคิ้วกระตุกขณะกำลังจะอ้าปากพูด——

  

”พ่อห้ามพูดอะไรทั้งนั้น”ฉางกวนยวีซินห้ามพ่อของเธอทันทีด้วยเสียงกระซิบเบาๆที่ได้ยินกันแค่สองคน หากมันเต็มไปด้วยการเตือนชัดเจน

  

ฉางกวนหลงโกรธมากตาแข็งกร้าวสบตากับลูกสาวของตัวเองเขม็ง ความไม่พอใจที่มีต่อชูฮันยิ่งทวีคูณเข้าไปอีก

  

การปรากฏตัวของชูฮันทำให้เสียงพูดคุยในห้องโถงเงียบสนิทลงทันทีขณะที่จงไคและพลตรีบางคนยังคงยืนอยู่ แถมท่าทางยังยิ่งภาคภูมิและยโสใส่ชูฮันเข้าไปอีก พวกเขาสบตากับชูฮันอย่างแข็งกร้าว ไร้ซึ่งความเคารพยำเกรง ประกาศความเป็นปรปักษ์ต่อชูฮันอย่างชัดเจน

  

เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ชูฮันก็ยกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจ เดินมุ่งหน้าตรงไปที่เก้าอี้ว่างเปล่าข้างฉางกวนหลง หากตอนที่ชูฮันกำลังจะนั่งลงนั้นเองมันก็มีคนส่งเสียงอย่างต้องการหาเรื่องขึ้นมา

  

”หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ”ยังคงเป็นจงไคที่กระตุ้นอารมณ์ชูฮันก่อนเหมือนเดิม จงไคต้องการเห็นชูฮันหลุดมาดและแสดงอารมณ์ออกมา “นายคือใคร แม้แต่ตราก็ไม่แสดงให้เห็นทันทีที่เข้ามา ทุกคนในที่นี้ต้องแสดงตราประจำตัวกันทั้งนั้น และเราไม่นั่งกับร่วมกับคนที่มีตำแหน่งตำ่กว่าพลตรี”

  

มันเป็นเล่ห์เหลี่ยมที่ค่อนข้างไร้เดียงสาแต่มันไม่ใช่การทดสอบ โดยเฉพาะในเมื่อตอนนี้ชูฮันไม่ได้ติดตรามา ถ้าชูฮันไม่สามารถกำจัดช่องโหว่นี้ไปได้ ในที่สุดจงไคก็จะสามารถขับไล่ชูฮันออกไปจากงานเลี้ยงนี้ได้อย่างสะใจ

  

ทุกคนรอบๆก็แสร้งทำเป็นว่าพวกเขาไม่รู้ว่าคนที่ปรากฏตัวขึ้นคือชูฮันทุกคนแสร้งทำเป็นส่งเสียงพูดคุยกันอย่างไม่ลังเล

  

”ไอ้หนุ่มนี้คือใคร?”

  

”กล้าเข้ามาได้ยังไงไม่รู้เหรอว่าพื้นที่ผู้ลี้ภัยอยู่ตรงไหน?”

  

”คนที่จะนั่งในห้องนี้ได้จะต้องมีตำแหน่งพลตรีขึ้นไปเท่านั้น!”

  

”ออกไปเดี๋ยวนี้ที่นี้ไม่ใช่ที่ที่คนอย่างแกจะเข้ามาได้!”

  

เสียงกดดันจากผู้คนรอบๆดังระงมชูฮันที่ภายนอกเรียบนิ่งแต่ในใจกลับเดือดอย่างมาก ความพวกนี้ระดับสมองมันเท่าไหร่กัน ทำไมถึงกล้าทำอะไรสิ้นคิดแบบนี้…

  

ชูฮันไม่คิดสนใจเลยด้วยซ้ำแต่ในเมื่อคนพวกนี้วอนอยากหาเรื่องเขา…ชูฮันเงยหน้าขึ้น สบตากับจงไคที่เป็นคนแรกที่พูด “ถ้าอย่างนั้นคุณคือใคร?”

  

จงไคไม่รู้เลยว่าเล่ห์เหลี่ยมของตัวเองได้รับการประเมิณจากชูฮันว่าเป็นวิธีที่ต่ำที่สุดกลับกันจงไคดูเหมือนจะรอคอยคำถามนี้มานานแล้ว พอสบโอกาสเขาก็เชิดหน้าขึ้น ชี้นิ้วไปที่ตราตรงหน้าอกตัวและแนะนำตัวเองทันทีอย่างภาคภูมิ “ฉันคือจงไค จากค่ายจงหยาง พ่อของฉันคือผู้นำสูงสุดของค่ายจินหยาง เขาคือหนึ่งในพลเอกอาวุโสของจีน พลเอกจงคุย!”