บทที่ 418 พานเหลียงผิงที่ไม่ยอมตายใจ

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

ตามที่คาดไว้ เมื่อเย่เทียนกลับมาที่ห้องวีไอพี บรรยากาศที่ตึงเครียดก็หายไป และผู้หญิงทั้งสามก็รวมตัวกันเพื่อพูดคุยกันอย่างมีความสุข

“สะ สะใภ้…”

เย่เทียนดีใจอยู่ลึกๆ หน้าด้านนั่งลงข้างๆ…

“เห้ยๆๆ สายตาไม่มีแววเลยสักนิด?”

ไม่รอให้เฉินหวั่นชิงเปิดปากพูด เซ่เจียกลับพูดออกมาอย่างไม่ชอบใจ “ไม่เห็นว่าพวกเรากำลังคุยหัวข้อผู้หญิงๆอยู่? นายผู้ชายแท้ๆทำไมถึงหน้าด้านกล้าเข้ามาล่ะ?”

“เห้ย?!” เย่เทียนประหม่า ได้สติเตรียมจะตอบโต้ แววตากลับเห็นเฉินหวั่นชิงที่เมื่อกี้ยิ้มบานราวกับดอกไม้ สีหน้าก็ดึงกลับลงมาอีกครั้ง

ไม่เพียงแต่เฉินหวั่นชิง แต่ยังมีฉินโล่หยินที่ควรจะอยู่ข้างเขา ก็ยังจ้องมองตัวเองด้วยความโกรธ

เมื่อเห็นท่าทีของความเกลียดชังและความโกรธของหญิงทั้งสาม เย่เทียนที่กำลังจะตอบโต้ก็รีบกลืนเข้าไปทันที รู้สึกน้อยใจเหมือนกับเด็กนักเรียนประถมที่กำลังถูกตำหนิอย่างนั้น ขยับร่างกายของเขาอย่างเชื่อฟังและนั่งอีกข้างหนึ่งของโต๊ะอย่างโกรธเคือง

แน่นอน ในใจของเย่เทียนเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ ฉินโล่หยินนี่ถึงกับทำได้ยังไง?

นี่ตัวเองเพิ่งจะออกไปครู่เดียว แม้แต่ความโกรธของเฉินหวั่นชิงก็หายไป กระทั่งฉินโล่หยินก็ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนกัน นี่มันเวอร์เกินไปหรือเปล่า?

“คุณหนูใหญ่! คุณหนูใหญ่! ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?”

เวลานี้ ผู้จัดการของฉินโล่หยินถึงจะรีบมา คนยังไม่ทันเข้าไปในห้องวีไอพี เสียงเรียกก็เข้ามาก่อนแล้ว

ปัง!

วินาทีนั้น ผู้จัดการก็พา รปภ.ร่างใหญ่10คนมาเตะประตู พุ่งเข้ามากระวนกระวาย

ฉินโล่หยินพูดยังไงเธอก็เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลฉิน ตอนที่เขาเห็น พานเหลียงผิงและขี้เมาหลายคนกำลังมาหาฉินโล่หยิน ไหนเธอจะไม่รู้ว่ากำลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น เธอตกใจมากจึงรีบไปแจ้งผู้จัดการ

ผู้จัดการยิ่งตกใจเข้าไปใหญ่ กระวนกระวายอยากจะรีบไป แต่พอมาคิดพานเหลียงผิงมีหลายคน ได้แต่ระงับความตื่นตระหนกไว้ จึงไปเรียก รปภ.ถึงจะเข้ามา

“ทำอะไรกัน? ใครให้พวกนายเข้ามา!”

ฉินโล่หยินคิ้วขมวดขึ้นทันที แสดงสีหน้าไม่พอใจ “ไม่เห็นเหรอว่าพวกเรามีแขกสำคัญที่นี่? ลุกลี้ลุกลนเหมือนอะไรกัน?!

“คุณ คุณหนูใหญ่ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?”

พอเข้ามาห้องวีไอพี ผู้จัดการก็รีบถามอย่างตกใจ

เขาเป็นผู้จัดการของฉินโหลวเสมอมา ปกติเป็นบุคคลที่มีหูตากว้างขวาง ไหนจะไม่รู้สถานะเฉินหวั่นชิงทั้งสามคน แน่นอนเป็นแขกระดับสูง!

อยู่ในจินตนาการของเขา สถานการณ์ในห้องวีไอพีเดิมควรเป็นพวกพานเหลียงผิงดื่มเหล้าสร้างเรื่องถึงจะถูก แต่มาตอนนี้ พานเหลียงผิงและทุกคนกลับไม่เห็นเงา สถานการณ์ที่แตกต่างกันทำให้เขายังตั้งสติไม่ได้

“นายพูดไร้สาระอะไร?”

ฉินโล่หยินกวาดสายตามองเย่เทียนแล้วครุ่นคิด พูดอย่างเย็นชาว่า “ยังยืนเซ่ออะไรอยู่ตรงนี้? ฉันมานานแค่ไหนแล้ว? น้ำชาล่ะ? กับข้าวล่ะ?”

“มาเดี๋ยวนี้! มาเดี๋ยวนี้!”

เมื่อเห็นว่าฉินโล่หยินดูเหมือนจะโกรธ ผู้จัดการไหนจะกล้าพูดสักคำ รีบนำ รปภ. ออกไปด้วยความเคารพ

ไม่ถึงสามนาที ผู้จัดการก็เดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับบริกรสองสามคน และวางไวน์ชั้นดีและเสิร์ฟอาหารจานอร่อยไว้บนโต๊ะด้วยตนเอง

“คุณฉิน ประธานเฉิน คุณเย่ คุณเซ่ พวกท่านสี่คนค่อยๆทาน ต้องการอะไรเรียกใช้ผมได้เลย ผมจะรีบมาทันที”

พูดจบ ผู้จัดการก็เคารพแล้วค่อยๆถอยออกไป

เย่เทียนที่ถูกสามคนกีดกัน ในที่สุดก็หาเจอข้ออ้างที่น่าอับอายได้ ค่อยๆยัดอาหารเข้าปากอย่างเงียบๆ

ในเวลาเดียวกัน ในลานจอดรถอาคารฉินโหลว พานเหลียงผิงที่ถูกทุบตีจนสลบไปก็ค่อยๆได้สติฟื้นขึ้นมา

แม้ก่อนหน้านี้เขาหมดสติเพราะถูกทุบตีอย่างรุนแรง แต่ที่สามารถนั่งดื่มกับเขาด้วยกันได้ แต่กลับเป็นแพทย์วิชาชีพเดียวกัน

ในเวลานี้ พานเหลียงผิงได้รับการรักษาเบื้องแล้ว และผ้าเช็ดปากสีขาวที่เปื้อนเลือดก็พันรอบศีรษะของเขา

“ไม่ได้!”

พวกเพื่อนๆที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลแนะนำ พานเหลียงผิงรีบปฏิเสธทันที พูดด้วยสีหน้าโกรธว่า “ฉันพานเหลียงผิงเคยได้รับความอัปยศอดสูตั้งแต่เมื่อไหร่? เรื่องนี้ฉันต้องเอาคืนให้ได้!”

“พานเหลียงผิงถ้าให้ฉันพูด ก็ช่างมันเถอะนะ?”

เพื่อนคนหนึ่งยิ้มอย่างขมขื่นเดินไปข้างหน้าสองก้าว ยื่นมือมาตบที่ไหล่ของพานเหลียงผิง ห้ามปรามว่า “ไม่รู้ว่านายสังเกตไหม ในห้องวีไอพีนั้นนอกจากฉินโล่หยินแล้วยังมีเฉินหวั่นชิงประธานบริษัทแซ่เฉินที่กำลังมาแรงและเซ่เจียที่เป็นดาราดัง”

“ผู้หญิงสามคนนี้ก็ไม่ใช่หญิงสาวธรรมดาอะไร ไม่ต้องพูดถึงว่าไอ้หนุ่มนั่นมีความดุร้ายขนาดไหน แต่ในเมื่อเขาสามารถนั่งรวมกับสามทั้งสาว เกรงว่าคงมีที่มาไม่ธรรมดาแน่นอน”

พอเขาเปิดปาก ก็ทำให้เพื่อนๆทุกคนต่างพากันห้ามปรามเขา

“เหลียงผิงที่เสี่ยวหลงพูดนั้นไม่ผิด ดังคำกล่าวที่ว่ามังกรที่แข็งแกร่งไม่สามารถครอบงำงูในท้องถิ่นได้ เราทุกคนมาจากที่อื่นเพื่อเข้าร่วมในสังคมแลกเปลี่ยนทางการแพทย์ มีเรื่องน้อยก็ทุกข์น้อย

“ใช่ๆ! เจ้าหมอนั่นแค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ล่วงเกินได้ง่ายๆ ทางที่ดีก็อย่าสร้างเรื่องให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตดีกว่า?”

“ฉันไม่ต้องการการเสแสร้งของพวกนาย!”

ที่น่าเสียดาย พานเหลียงผิงไหนจะฟังคำเตือนของทุกคนเข้าหู สมองเจ็บปวดทำให้จิตสามัญสำนึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

เห็นแต่เขาสะบัดมือของเพื่อนคนนั้นออก เหลือบมองอีกหลายคนด้วยความโกรธ และกัดฟันพูดว่า “เมื่อกี้ตอนที่ฉันโดนต่อยทำไมไม่เห็นพวกนายสักคนออกมาช่วย ตอนนี้ยังมีหน้าวิ่งมาพูดตัดกำลังใจต่อหน้าฉัน?”

พอพูดเช่นนี้ ทันใดนั้นทุกคนก็ไม่พอใจ แต่ละคนสีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที

“เหลียงผิง คำพูดนี้คุณหมายความว่า? อะไรคือพูดตัดกำลังใจ?”

“ฝีมือของไอ้หนุ่มเมื่อกี้แข็งแกร่งแค่ไหนคุณก็เห็นแล้ว พวกเราพุ่งเข้าไปก็ไม่เท่ากับหาเรื่องเหรอ?”

“ใช่ใช่ เมื่อกี้ถ้าไม่ใช่พวกเราลากนายออกมา ไม่แน่นายอาจจะถูกตีตายไปแล้ว!”

“ไป! ไสหัวไปให้หมด! ฉันไม่มีเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวอย่างพวกนาย!”

คำพูดที่ดูถูกของคนหลายคนแว่วดังมาที่ข้างหูของเขา ซึ่งกระตุ้น พานเหลียงผิงให้มากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย และตะโกนไล่ด่าออกไป

“พวกเราอุตส่าห์หวังดี แต่นายยังกล้าด่าพวกเรา หวังดีไม่ได้ดีจริงๆ!”

“ไอ้แซ่พาน นายคงไม่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ยิ่งใหญ่นะ?”

“ในเมื่อคุณก็พูดถึงขนาดนี้ งั้นพวกพี่ก็ไม่กลัวที่จะบอกคุณ ถ้าไม่ใช่ปู่คุณคือเทพหมอแห่งชาติ ใครจะยอมคลุกคลีกับคุณล่ะ!”

พอถึงตอนนี้พวกเพื่อนๆก็ไม่พอใจละ ใครก็ไม่ยอมกระตือรือร้นเข้าไปแต่โดนอีกฝ่ายนิ่งเฉยใส่หรอกใช่ไหม?

ร่างกายของพานเหลียงผิงสั่นด้วยความโกรธ จ้องมองพวกเขาด้วยท่าทางที่เย็นชา หากดวงตาของเขาสามารถฆ่าคนได้ เกรงว่าพวกเขาคงจะถูกฟันด้วยดาบเป็นพันๆเล่ม

ในเมื่อแตกหักกันแล้ว ไหนใครจะห่วงความรู้สึกของพานเหลียงผิง แต่ละประโยคด่าทอดูถูกเสียดสี เหมือนไม่สนใจพานเหลียงผิง ช่วยกันประคองขึ้นรถแล้วจากไป

เมื่อมองไปที่ไฟท้ายรถที่ค่อยๆหรี่ลง พานเหลียงผิงสองมือกำหมัดแน่น แม้กระทั่งเล็บจิกลงไปในเนื้อก็ไม่รู้สึกตัว

แม้แต่ฝันเขาก็คิดไม่ถึง ว่าพวกเพื่อนๆที่แท้คิดกับเขาอย่างนี้ แต่เขาก็ยังถือพวกเขาเป็นพี่น้อง ตาบอดจริงๆ!

แต่ว่า พอเทียบขึ้นมาเขายิ่งเกลียดเย่เทียนมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าไม่ใช่เย่เทียน ไหนเขาจะถูกชกตีแบบนี้?

คิดถึงตรงนี้ พานเหลียงผิงก็รีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดหมายเลขส่วนตัว “เฮียหยูน ผมถูกทุบตีในฉินโหลว พี่มานี่หน่อยได้ไหม…”