ตอนที่ 438 ซากปรักหักพังปรากฏ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ในเวลานี้ ภูเขาอเวจีเนืองแน่นไปด้วยผู้คน

บัดนี้เหลือเวลาอีกเพียงสามวันก่อนซากปรักหักพังจะปรากฏขึ้นมา บรรดาจอมยุทธ์และขุมกำลังส่วนใหญ่ในโลกมายามารวมตัวกันที่นี่แล้ว ทุกคนต้องการเข้าไปสำรวจในซากปรักหักพังและเสี่ยงดวงว่าจะได้สามารถครอบครองผลประโยชน์มาได้หรือไม่

ณ พื้นยกสูงเป็นบริเวณกว้างบนภูเขาอเวจี ขุมกำลังใหญ่สองกลุ่มกำลังยืนอยู่ตรงข้ามกัน

“ฮ่าๆๆ เจ้าเมืองทองมายามาเร็วจริงเชียว”

ผู้ที่อยู่ฝั่งตะวันออกคือกลุ่มบุรุษสตรีที่แต่งกายด้วยอาภรณ์สีเขียวเกือบทั้งหมด ผู้นำของพวกเขาคือบุรุษวัยกลางคนที่มีใบหน้าดูชั่วร้ายเล็กน้อย คนผู้นี้คือฉินขุย—เจ้าเมืองไม้มายา

“ฮ่าๆๆ เจ้าเมืองไม้มายาก็มาเร็วไม่ต่างกัน”

กลุ่มที่อยู่ตรงข้ามพวกเขาคือกลุ่มบุรุษสวมชุดเกราะสีทองอร่ามผู้ซึ่งมาจากเมืองทองมายา และบุรุษผู้ที่กล่าวตอบก็มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเจ้าเมืองทองมายา—ฉินจิน

“ข้าอดไม่ได้จริงๆ สำหรับเรื่องที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้พวกเราย่อมอยู่เฉยไม่ได้ พวกเราแทบรอไม่ไหวแล้ว ทว่า..สหายฉินจิน แม้เวลาผ่านมานานหลายปี ความแข็งแกร่งของเมืองทองมายาของท่านก็ดูจะไม่พัฒนาขึ้นเลย”

ฉินขุยยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงถากถาง

ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองใหญ่ของโลกมายาไม่ได้ดีนักซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันโดยทั่วไป ในบรรดาแต่ละเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองไม้มายาและเมืองทองมายาถือว่าเลวร้ายที่สุด นี่ถือเป็นความจริงที่ไม่อาจคัดค้าน

ฉินจินและฉินขุยเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด ทุกคราที่พบหน้ากันก็มักจะเกิดความขัดแย้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับการเผชิญหน้ากันที่ภูเขาอเวจีครานี้ สถานการณ์เช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกเขา

หากไม่ใช่เพราะจำเป็นต้องเก็บแรงไว้เพื่อรอเข้าไปสำรวจซากปรักหักพัง เกรงว่าผู้นำทั้งสองเมืองคงจะนำคนของตนพุ่งเข้าโจมตีฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว

“ฮ่าๆๆ ไม่ต่างกันเลย เมืองไม้มายาของท่านก็ยังย่ำแย่เหมือนเมื่อหลายปีก่อน”

ฉินจินมิใช่คนเป็นมิตร เขาเป็นคนขี้หงุดหงิดและอารมณ์ร้อน ทว่าตอนนี้เขาก็เป็นกังวลเกี่ยวกับผู้คนจำนวนมากที่อยู่โดยรอบ อีกทั้งยังมีเมืองอื่นๆที่ยังมาไม่ถึงและศัตรูที่พวกเขามีร่วมกันอย่างกองทหารหงเฟิงก็ยังมาไม่ถึงเช่นกัน มิฉะนั้น เขาคงยกดาบประจันหน้ากับฉินขุยไปนานแล้ว

“ฮ่าๆๆ ท่านคิดว่าเพราะเหตุใดคนของเมืองวารีมายาและเมืองเพลิงมายาถึงยังมากันไม่ถึงล่ะ?”

ฉินขุยมิได้โกรธเคืองและเพียงหัวเราะเบาๆก่อนกล่าวเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขาทราบดีว่านี่ไม่ใช่เวลาสำหรับการต่อสู้ทำสงคราม และมันเป็นเพียงความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆกับฉินจินเท่านั้นซึ่งไม่จำเป็นต้องถึงขั้นทำสงครามกัน

“เหอะ จากสิ่งที่ข้าทราบเกี่ยวกับฉินเฟิง เกรงว่าเขาคงจะไม่มาร่วมสนุกกับพวกเราหรอก ในทางกลับกัน ฉินส่าวชิงผู้นั้น ด้วยลักษณะนิสัยของเขา เขาน่าจะมาถึงที่นี่นานแล้ว ทว่าตอนนี้กลับไม่มีวี่แววเลยสักนิด เป็นไปได้รึไม่ว่าเกิดเรื่องที่เมืองเพลิงมายาจนเขาไม่กล้ามาที่นี่?”

ฉินจินแค่นเสียงเย็นชา เขารู้จักลักษณะนิสัยของเจ้าเมืองต่างๆพอสมควร

และด้วยลักษณะนิสัยของฉินส่าวชิง บุรุษผู้นั้นควรจะมาถึงที่นี่เป็นเวลานานแล้ว ทว่าฉินจินจะรู้ได้อย่างไรว่าในเวลานี้เจ้าเมืองฉินคือเลี่ยหยางที่ปลอมตัวมา แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่เข้าร่วมเรื่องสนุกเร็วเกินไปและจะค่อยๆปรากฏตัวอย่างเรียบง่ายไม่หวือหวา

 “ดูนั่นเร็ว! นั่นมันคนของกองทหารหงเฟิง!”

จู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นดึงดูดความสนใจของฉินจินและฉินขุยให้มองไปตามทิศทางนั้นทันที

พวกเขาพบกลุ่มคนสวมอาภรณ์สีแดงเข้ม ผ้าโพกศีรษะและผ้าพันปิดบังใบหน้าซึ่งกำลังเดินขึ้นมาบนภูเขาด้วยการนำทางของบุรุษคนหนึ่ง

ผู้ที่เป็นผู้นำของกลุ่มคือบุรุษสวมอาภรณ์สีขาวและหน้ากากสีขาวโดยเผยให้เห็นเพียงดวงตาคู่เดียวเท่านั้น เมื่อไตร่ตรองดูก็ตระหนักได้ว่าเขาน่าจะเป็นผู้บัญชาการลึกลับของกองทหารหงเฟิง

“ฮ่าๆๆ ไม่คิดเลยว่าคนของกองทหารหงเฟิงจะกล้าเสนอหน้ามาที่นี่”

เมื่อมองเห็นคนจากกองทหารหงเฟิงที่เดินไปยังทิศใต้ ฉินจินก็ยิ้มเย้ยหยันออกมา

กองทหารหงเฟิงคือกลุ่มคนที่ไม่หวาดกลัวความตาย แม้ทราบดีว่าเมื่อซากปรักหักพังปรากฏ ฉินเหยียนจะส่งคนไปจัดการกับพวกเขาเป็นแน่ ทว่าพวกเขาก็ยังไร้ซึ่งความลังเลใดๆ  ดูเหมือนว่าพวกเขาเหล่านี้จะไม่เห็นฉินเหยียนอยู่ในสายตาเลยสักนิด

“หึ กองทหารหงเฟิงยโสโอหังมาเสมอและมีชื่อเสียงโด่งดังเมื่อไม่นานมานี้ ผู้บัญชาการของกองทหารหงเฟิงก็ทั้งทรงพลังและลึกลับอย่างยิ่ง ต่อให้ผู้นำฉินเหยียนมาที่นี่ด้วยตัวเองก็อาจเอาชนะเขาไม่ได้ การที่พวกเขามาที่นี่ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด!”

ฉินขุยแค่นเสียงเย็นชาแต่ก็ไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจแต่อย่างใด กองทหารหงเฟิงเป็นขุมกำลังที่ทรงพลังอย่างแท้จริง ในอดีตก็เคยมีเหตุการณ์ที่พวกเขาคนจากเมืองไม้มายาได้ประจันหน้ากับกองทหารหงเฟิงเป็นระยะสั้นๆ ทว่าพวกเขาก็ไม่ใช่คู่มือของกองทหารลึกลับเหล่านี้เลย

เพราะเหตุนั้นเขาจึงหวาดหวั่นต่อพลังอำนาจของกองทหารหงเฟิงอย่างยิ่ง เขาคิดว่าในการสำรวจซากปรักหักพังครานี้ ต่อให้หลายเมืองผนึกกำลังร่วมกันก็อาจไม่สามารถเอาชนะกองทหารหงเฟิงได้

คนจากกองทหารหงเฟิงก็ได้ยินวาจาของฉินจินและฉินขุยเช่นกัน ทว่าพวกเขาก็เมินเฉยไม่แยแสแม้แต่น้อย ผู้บัญชาการกองทหารหงเฟิงก็หลับตานิ่งและใช้ความคิดอย่างเงียบๆราวกับไม่เห็นฉินจินและฉินขุยอยู่ในสายตาเลย

“เหอะ หยิ่งยโสจริงๆ รอให้คนจากเมืองมายามาถึงที่นี่ก่อนเถอะ อยากเห็นนักว่าพวกเจ้าจะกล้าหยิ่งยโสเช่นนี้อีกรึไม่!”

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของฝ่ายกองทหารหงเฟิง ฉินขุยก็ไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม เขาก็ทราบดีถึงความน่าสะพรึงกลัวของกองทหารหงเฟิงและไม่กล้าก้าวออกไปท้าทายหรือยั่วยุโดยตรง เขาเพียงแค่นเสียงเย็นชาและสงบสติอารมณ์ของตนเองเพื่อรอให้คนจากเมืองมายาและเมืองเพลิงคำรามมาถึง

หลังจากนั้นอีกหนึ่งก็วันผ่านไปซึ่งเหลือเวลาเพียงสองวันก่อนที่ซากปรักหักพังจะปรากฏ เป็นในตอนนี้เองที่ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆปรากฏกายบนพื้นยกสูงของภูเขาอเวจีเช่นกัน

“ฮ่าๆๆ คนจากเมืองเพลิงมายาช่างมาช้ากันจริงๆ!”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ เลี่ยหยางและคนอื่นๆปรากฏกาย ฉินขุยก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

“ต่อให้จะมาถึงเร็วก็ได้แต่ยืนโง่เง่าอยู่เฉยๆ หรือว่าสหายฉินขุยจะได้เข้าไปในซากปรักหักพังและออกมาแล้วรึ?”

เลี่ยหยางตอบกลับไปอย่างฉะฉาน บัดนี้เขาอยู่ในคราบของฉินส่าวชิง แน่นอนว่าเขาคาดเดาได้ว่าเจ้าเมืองฉินจะตอบกลับไปอย่างไร หากว่าฉินส่าวชิงอยู่ที่นี่ นี่จะต้องเป็นคำตอบที่เขาตอบกลับไปอย่างแน่นอน

“ฮ่าๆๆ วาจาของส่าวชิงคมบาดลึกขึ้นเรื่อยๆเสียแล้ว”

ฉินจินอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อได้ยินฉินส่าวชิงเอ่ยวาจาเหน็บแนมฉินขุย เขาคิดมาเสมอว่าฝีปากของตนเองสู้ฉินขุยไม่ได้และต้องใช้กำลังเพียงเท่านั้น ทว่าฉินขุยก็มักจะสู้ฝีปากของฉินส่าวชิงไม่ได้เช่นกัน ทุกคราที่ทั้งสองสาดวาจาใส่กัน ฉินจินมักรู้สึกสาแก่ใจอยู่เงียบๆเสมอ เพราะเหตุนั้นความสัมพันธ์ระหว่างฉินจินและฉินส่าวชิงจึงดีกว่าเล็กน้อย

“ขอบคุณสหายฉินจินที่ชมข้า ไม่ได้พบกันเสียนานและตอนนี้ความแข็งแกร่งของท่านก็เพิ่มขึ้นมาก หากท่านมีเวลา ข้าตั้งตารอที่จะได้เห็นการประชันฝีมือของท่านกับสหายฉินขุย เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะเอาใจช่วยท่านอย่างเต็มที่”

เลี่ยหยางยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพซึ่งทำให้รู้สึกไม่ห่างเหินจนเกินไปและเป็นมิตรในระดับหนึ่ง

“ฮ่าๆๆ หากมีโอกาส ข้าเองก็ตั้งตารอเช่นกัน”

ฉินจินยิ้มและชำเลืองมองฉินขุยด้วยแววตาคาดหวัง

ใบหน้าของฉินขุยบิดเบี้ยวเหยเกทว่าไม่อาจสรรหาคำพูดใดเพื่อตอบกลับไป เมื่อเห็นฉินหวยซึ่งอยู่ถัดจากเลี่ยหยาง เขาก็ก้าวออกมาข้างหน้าและกล่าว “ผู้อาวุโสฉินหวย ผู้อาวุโสทั้งหลาย”

“ฮ่าๆๆ เจ้าเมืองฉินขุยเป็นอย่างไรบ้างเล่า?”

ฉินหวยยังคงดูจิตใจดีและเป็นคนดีอย่างแท้จริง

ฉินอวี้โม่ไม่สนใจวาจาท่าทางสุภาพของพวกเขา ทันทีที่นางก้าวขึ้นบนพื้นยกสูงสายตาของนางก็จับจ้องไปที่กองทหารหงเฟิงอย่างเงียบๆ

กองทหารหงเฟิงดูโดดเด่นอย่างยิ่ง แม้ว่าพวกเขาเพียงยืนนิ่งเงียบทว่าก็ดึงดูดความสนใจของคนได้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือบุรุษตรงกลางผู้สวมอาภรณ์และหน้ากากสีขาวดูราวกับเทพมาจุติบนพื้นโลกซึ่งผู้คนไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย

อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่แท้จริงที่ฉินอวี้โม่ให้ความสนใจพวกเขาไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกเหล่านั้น ทว่าเป็นเพราะความผันผวนชั่วขณะที่มาจากทิศทางนั้นทันทีที่นางขึ้นมาบนพื้นยกสูง กลิ่นอายที่แผ่ออกมาทำให้นางรู้สึกถึงความคุ้นเคยอย่างยิ่ง ทว่าแม้พยายามไตร่ตรอง นางก็นึกไม่ได้ว่าเคยสัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้จากที่ใด

“อวี้โม่ กำลังคิดอะไรอยู่รึ?”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฉินอวี้โม่ ซูวั่งชวนก็เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“ท่านปู่ ท่านรู้สึกถึงความผันผวนที่คุ้นเคยเมื่อครู่รึไม่?”

ฉินอวี้โม่ไม่ได้จดจ่อที่กองทหารหงเฟิงอีกต่อไปทว่าหันกลับมามองซูวั่งชวนด้วยความสงสัยใคร่รู้

เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว ซูวั่งชวนก็ตั้งสมาธิเพื่อพยายามสัมผัสถึงความผิดปกติทว่าเขาก็ส่ายศีรษะตอบกลับอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้สึกถึงความผันผวนใดๆ เพียงแต่รู้สึกว่าจะประมาทกองทหารหงเฟิงไม่ได้ก็เท่านั้น

เมื่อเห็นซูวั่งชวนส่ายศีรษะ ฉินอวี้โม่ก็มองไปที่กองทหารหงเฟิงและส่ายศีรษะเบาๆ บางทีนางอาจจะรู้สึกผิดไปเอง ฝ่ายนั้นจะมีคนที่นางรู้จักอยู่ได้อย่างไรกัน?

“ฮ่าๆๆ แม่นางผู้นี้คือผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะซึ่งมีนามว่าอวี้โม่ นางอาจจะเข้ารับตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรแห่งเมืองมายาในอนาคต”

ฉินหวยกล่าวแนะนำตัวตนของฉินอวี้โม่ให้ผู้นำทั้งสองเมืองได้รู้จัก

“โอ้ ผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะที่มีอายุน้อยเช่นนี้รึ?”

เมื่อได้ยินวาจาของฉินหวย ทั้งฉินจินและฉินขุยก็มองสตรีร่างบางด้วยตาสงสัยใคร่รู้ เมื่อพบว่านางเป็นสตรีโฉมงามและเยาว์วัยเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะตกตะลึงไม่น้อย

“ฮ่าๆๆ อย่ามองดูที่อายุของสหายน้อยอวี้โม่เลย เราได้เห็นฝีมือการสยบอสูรมายาของนางด้วยตาตัวเองแล้ว มันไม่ใช่เรื่องเท็จอย่างแน่นอน”

ฉินหวยยิ้มและกล่าวตอบอีกประโยค

ระหว่างทางที่ผ่านมาพวกเขาก็ได้เผชิญหน้ากับอสูรเซียนขั้นสาม ฉินหวยและคนอื่นๆก็ร่วมมือกันปราบปรามมันในขณะที่ฉินอวี้โม่ทำหน้าที่เพียงสยบมันอย่างรวดเร็ว พวกเขาต่างก็มีอสูรมายาระดับสูงกันอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องการมัน อย่างไรก็ตาม ระดับพลังของอสูรมายาของฉินส่าวชิงในตอนนี้ก็ไม่ได้สูงนัก พวกเขาจึงยกอสูรมายาตัวนี้ให้ฉินส่าวชิงทำพันธสัญญา

เดิมทีฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็ไม่ต้องการให้ฉินหวยและคณะได้ทำพันธสัญญากับอสูรที่ทรงพลังเช่นนี้ แน่นอนว่าพวกนางก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งเมื่อได้ยินว่าฉินส่าวชิงจะเป็นผู้ทำพันธสัญญากับอสูรมายาตัวนี้

“ฮ่าๆๆ จอมยุทธ์อวี้โม่ หากมีโอกาสในภายภาคหน้า เชิญท่านมาที่เมืองทองมายาของเราในฐานะแขกเถอะ เมืองทองมายาของเรามีอสูรระดับสูงจำนวนมากและมีโรงประมูลขนาดใหญ่ ข้าเชื่อว่าจอมยุทธ์อวี้โม่จะชื่นชอบมากแน่ๆ”

ฉินจินถือโอกาสเชิญฉินอวี้โม่ไปที่เมืองของตนเองอย่างเปิดเผย

“สภาพแวดล้อมในเมืองทองมายาของท่านเลวร้ายเกินไป ในทางกลับกัน เมืองไม้มายาของเราล้อมรอบไปด้วยภูเขาสวยงามและมีพืชพรรณเขียวชอุ่มดูรื่นรมย์ ข้าเชื่อว่าจอมยุทธ์อวี้โม่จะชื่นชอบอย่างแน่นอน ถ้าหากมีเวลา ข้าขอเชิญท่านไปเป็นแขกของเราด้วยเถิด”

ฉินขุยไม่ยอมน้อยหน้าและกล่าวเชื้อเชิญเช่นกัน น้ำเสียงของเขาสุภาพอ่อนน้อมเป็นอย่างยิ่ง

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ได้กล่าวปฏิเสธ นางพยักศีรษะเบาๆเป็นการตอบตกลง เพียงแต่หัวใจของนางยังคงกังขาเล็กน้อย ‘รอให้พวกเจ้ารอดชีวิตจากภูเขาอเวจีแห่งนี้ให้ได้ก่อนเถอะ แล้วค่อยกล่าวถึงเรื่องนี้’

ฉินหวยและคนอื่นๆสนทนากันพักใหญ่ขณะหาที่ยืนอย่างสบายๆโดยไม่มีความคิดที่จะประจันหน้ากับกองทหารหงเฟิงในตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างก็คิดตรงกันว่าจะไม่ขัดแย้งกันจนกว่าจะได้เข้าไปในซากปรักหักพัง

อีกหนึ่งวันและหนึ่งคืนผ่านพ้นไป ในที่สุดเมื่อแสงแดดอ่อนอันอบอุ่นส่องกระทบจากท้องฟ้าในวันที่สาม สภาวะพลังที่น่าเกรงขามอย่างประหลาดก็ปะทุออกมาที่ภูเขาอเวจีและซากปรักหักพังของสุดยอดผู้ใช้ข่ายอาคมก็ปรากฏขึ้นมา…

.