ตอนที่ 567: ใครบอกว่าข้าเป็นเต่าหดหัว

Crazy Leveling System

ตอนที่ 567: ใครบอกว่าข้าเป็นเต่าหดหัว

 

ที่เมืองเทียนหลงต่างก็เต็มไปด้วยเสียงคร่ําครวญ พร้อมกับบรรยากาศแสนหดหูที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งเมือง ผู้ฝึกตนทั้งหลายต่างก็พากันหวาดกลัว กระทั่งมีคนพากันเก็บของเพื่อหลบหนี

 

นี่มันแย่ยิ่งกว่าสถานการณ์ครั้งก่อน ตอนนั้นที่อัครเสนาบดีหลงบุกมา ผู้คนส่วนใหญ่ยังมีสิทธิ์ที่จะรอดชีวิต แต่ตอนนี้พวกเขาพากันใจเย็นอยู่ไม่ไหวแล้ว สี่อาณาจักรบุกมา ต่อให้เป็นอาณาจักรอันดับ 1 ก็ยังไม่กล้าที่จะปะทะกับพวกเขาแบบหักหาญ

 

แต่แน่นอนว่าสี่อาณาจักรย่อมไม่กล้าบุกเข้าไปสังหารอาณาจักรอันดับ 1 ตามใจ หากบุกไป แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องเกิดการสูญเสียอย่างหนัก แล้วก็อาจจะถูกอาณาจักรอื่นเข้ามากลืนพวกเขาเข้าไปก็เป็นได้

 

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการได้ไม่คุ้มเสีย หากว่าตนสูญเสียอย่างหนัก อย่างนั้นก็ต้องถูกอาณาจักรอื่นเอาเปรียบอย่างมหาศาล ดังนั้น พวกเขาจึงไม่กล้าที่รุกรานขุมอํานาจขนาดใหญ่ตามใจ และอาณาจักรเทียนหลงก็ถือว่าเป็นขุมอํานาจขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงได้ผนวกสื่อาณาจักรเข้าด้วยกัน อย่างนี้ การบุกเข้ายึดครองอาณาจักรเทียนหลงจึงไม่มีปัญหา

 

ขณะเดียวกัน ที่เมืองชายแดนของทวีปเทียนหลง พวกเขากําลังพากันต้านทานผู้รุกรานที่บุกเข้ามาไม่หยุดอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่าที่นี่จะมีมหาค่ายกลคอยป้องกันการโจมตีของผู้ฝึกตน แต่ก็ป้องกันได้อย่างลําบาก ทําให้ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยบรรยากาศที่หดหูและสิ้นหวัง

 

“ฆ่าพวกมัน ผู้บุกรุกต้องตาย!”

 

เจ้าเมืองหวยหยุน ม่อซือร้องออกมา พร้อมกับนํากําลังเข้าเข่นฆ่าผู้รุกรานที่กําแพงเมืองอย่างบ้าคลั่ง ผู้คุ้มกันคนอื่นก็พากันร้องออกมาด้วยความโกรธ พร้อมกับเข้าไปสังหารผู้รุกรานอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน

 

เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนที่โถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาก็มีสีหน้าซีดขาวอย่างน่ากลัว แต่ก็ทําได้เพียงกัดฟันเข้ารับมือเท่านั้น

 

“เจ้าเมืองม่อ ข้าว่าเจ้ายอมแพ้ซะดีกว่า เจ้าคิดว่าเมืองหวยหยุนนี้จะต้านทานอาณาจักรเทียนหลัวของพวกเราได้อย่างงั้นเหรอ?” ผู้นําการบุกในครั้งนี้คือผู้เชี่ยวชาญระดับวิญญาณเที่ยงแท้ และด้านข้างของเขาก็เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญระดับผันแปรวิญญาณจํานวนมาก

 

เขาเป็นผู้นํากองกําลังผู้เชี่ยวชาญกองหนึ่งมา ผู้เชี่ยวชาญพวกนี้มีกัน 2-3 ร้อยคน แต่มีผู้เชี่ยวชาญระดับแปรวิญญาณอยู่ 5-6 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณ แต่จํานวนหลายร้อยคนนี้ก็ถือว่ายิ่งใหญ่มากแล้ว!

 

แม้ว่านี่จะเป็นเพียงกองกําลังหนึ่งกอง แต่พลังของมันสามารถบุกทะลวงเมืองอื่นได้ในพริบตา สามารถพูดได้ว่าเป็นกองหน้าที่แข็งแกร่งอย่างมาก การป้องกันเมืองจากคนกลุ่มนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นการเปลืองเวลาโดยเสียเปล่า

 

ทั้งผู้คุ้มกันในเมืองหวยหยุนไม่ได้มากมายอะไร และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือเจ้าเมืองม่อ แต่ระดับของเขาก็อยู่แค่ระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 8 เท่านั้น เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญระดับวิญญาณเที่ยงแท้ผู้นี้ ก็เปรียบได้กับขยะเท่านั้น

 

ผู้คนส่วนมากของอีกฝ่ายล้วนแต่อยู่ในระดับก่อแกนวิญญาณ แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณของพวกเขากลับมีอยู่น้อยมาก ไม่อย่างนั้น พวกเขาคงไม่มีท่าทางสิ้นหวังอย่างนี้ ส่วนผู้คุ้มกันส่วนใหญ่ของพวกเขาต่างก็อยู่ในระดับหลอมรวม ทําให้ไม่มีหนทางที่จะต้านทานความโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่ายได้

 

“ตงหลิน ผายลม! ต่อให้พวกเราต้องตาย ก็ไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด!” ม่อซือแค่นเสียงอย่างเย็นชา พร้อมกับจับอาวุธด้วยความโกรธ “รอให้กองกําลังสนับสนุนมาก่อนเถอะ พวกเจ้าได้ตายแน่!”

 

“กองกําลังสนับสนุนอย่างงั้นเหรอ?” ตงหลินหัวเราะ “เจ้าคิดว่าเมืองเทียนหลงของเจ้า ยังจะมีเมืองอื่นมาสนับสนุนอีกอย่างงั้นเหรอ? หรือว่าเจ้ากําลังรอกองกําลังสนับสนุนจากวังเทียนหยุนอยู่? ได้ยินว่าองค์ชายนั่นของพวกเจ้าร้ายกาจมากใช่ไหม? หรือว่าจะเป็นกองกําลังจากวังเทียนหยุน? วังเทียนหยุนเป็นเพียงชุมอํานาจแมลงชั้น 3 พวกมันกล้าที่จะมาสนับสนุนจริงๆ? ข้าว่า แค่จะปกป้องตัวเองพวกมันยังทําไม่ได้ด้วยซ้ํา!”

 

“แล้วยังไง! ต่อให้พวกเราต้องตาย เมืองหวยหยุนตกไปอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู แต่จักรพรรดิเริ่นและองค์ชายจะต้องแก้แค้นให้กับพวกเราอย่างแน่นอน!” ม่อชื่อภักดีต่ออาณาจักรเทียนหลงอย่างมาก ทําให้เขาไม่เลือกที่จะยอมแพ้ หรือหักหลัง

 

“ฮ่าๆๆ…”

 

หลังจากตกหลินกับพวกได้ฟังก็พากันหัวเราะออกมา เหมือนกับฟังเรื่องตลกอะไรอย่างงั้น หัวเราะจนแทบน้ําตาไหล

 

“เจ้ายังคิดว่าจักรพรรดิเริ่นและองค์ชายนั่นจะมาช่วยเจ้าด้วยเหรอ? เจ้าพูดอย่างกับว่าพวกเขาจะกล้าออกมาจากเมืองเทียนหลง นั่นไม่ใช่คําพูดที่ไร้สาระหรือไง!” ตงหลินพูดพลางหัวเราะ “พวกมันก็แค่ขยะกลุ่มหนึ่งที่เอาแต่ซ่อนอยู่ในเมืองเทียนหลง และให้สมบัติลับเทียนหลงช่วยปกป้อง หากว่าออกจาเมืองเทียนหลง พวกมันก็ไม่สามารถใช้สมบัติลับเทียนหลงได้ แล้วเจ้าว่าอย่างนี้พวกมันจะต่างไปจากขยะตรงไหน?”

 

หลังจากม่อซือกับพวกได้ยิน ก็พากันหน้าแดงก่ําในทันที คําพูดนี้ก็ถูกเมืองเทียนหลงของพวกเขานั้น พึ่งพาสมบัติลับเทียนหลงเพื่อช่วยปกป้อง แต่ก็แค่ที่เมืองนั้นเมื่องเดียวเท่านั้น

 

หากไม่โจมตีเข้าไป แล้วทําการล้างสังหารเมืองรอบๆ พวกเขาก็ไม่กล้าออกมาตามใจ เพราะหากออกมา ก็หมายความว่าจะไม่สามารถใช้สมบัติลับเทียนหลงได้ แล้วอย่างนี้ยังจะมีความหมายอะไร?

 

อุปกรณ์ระดับเทวะนี้ไม่สามารถพกไปไหนได้ตามใจ นี่จึงทําให้พลังของตนตกลงช่วงใหญ่

 

“อย่าว่าแต่เมืองหวยหยุนของพวกเจ้าเลย ต่อให้ข้าเข่นฆ่าเข้าไปถึงประตูเมืองหลวงของพวกเจ้า พวกมันก็ไม่กล้าออกมาตามใจ!” ตงหลินหัวเราะ “ตอนนี้ไม่ใช่ข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดหรอกเหรอ? พวกเขาจับกุมได้หลายเมือง แล้วตอนนี้คนละอยู่ไหน! เจ้าบอกข้าว่าจะมีคนมาสนับสนุน แล้วคนสนับสนุนของเจ้าอยู่ที่ไหน? ก็แค่สวะกลุ่มหนึ่งที่เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงที่ปลอดภัยที่สุด ใครจะมาช่วยเจ้ากัน?”

 

พวกเขาพากันมีสีหน้าน่าเกลียดกับคําพูดที่ตงหลินพูดออกมา ทําให้ขวัญกําลังใจของพวกเขาตกลงไปถึงตาตุ่ม คําพูดนี้เป็นความจริง ตงหลินพูดได้ถูก แต่ในใจของพวกเขาก็ยังมีความหวังอยู่ส่วนหนึ่ง หวังว่าเมืองเทียนหลงจะส่งคนมาช่วยพวกเขา

 

ตอนนี้หลายเมืองได้ตกเป็นของศัตรู และเมืองหวยหยุนของพวกเขาก็ดูเหมือนว่าจะต้านทานเอาไว้ได้ไม่นานเหมือนกัน

 

“ข้าจะพูดให้ฟังอีกครั้ง อาณาจักรเทียนหลงอะไรนั่นก็แค่กลุ่มสวะ กลุ่มสวะที่ปล่อยให้คนของตนถูกสังหารได้ตามใจ แล้วอย่างนี้เจ้ายังจะปกป้องเมืองนี้อย่างโง่เง่าอยู่อีกเหรอ? หากว่าเจ้ายอมจํานน พวกเรารับประกันว่าพวกเจ้าจะได้ดีกว่าที่อยู่กับอาณาจักรเทียนหลงเป็นร้อยเท่า!” ตงหลินพยายามล่อลวงไม่หยุด ไม่รีบร้อนที่จะโจมตีและบุกเข้าไป

 

เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าหางจิ้งจอกของเขาได้โผล่ออกมา ที่เขาพูดมากมายขนาดนี้ ก็ไม่ใช่อะไรอื่น แต่เพื่อทําให้ในใจม่อซือสั่นคลอน และเลือกยอมแพ้ที่จะปกป้องเมืองหวยหยุนแห่งนี้ หากว่าพวกเขายังยืนกรานที่ปกป้อง การยึดครองจะเกิดความลําบากเล็กน้อย ยิ่งกว่านั้น ยังก่อให้เกิดความเสียหายบางส่วนขึ้นอีกด้วย

 

หากว่าการเจรจาสามารถทําให้ได้เมืองมา แล้วทําไมเขาถึงจะไม่ทํามันล่ะ? หากว่าได้พวกเขา เป็นกําลังช่วยบุกเมืองเทียนหลงด้วย นั่นจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

 

“ก็แค่คําลวงที่ใช้สร้างความแตกแยกให้กับผู้คน!” หลังจากม่อซือได้ฟัง ก็พลันโกรธขึ้นมา “อาณาจักรเทียนหลงให้ความดูแลพวกเราดีมาตลอด ต่อให้ต้องตาย พวกเราก็จะไม่มีทางยอมจํานนอย่างเด็ดขาด!”

 

ม่อซือไม่หลงคารม ในใจยังคงมั่งคงอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่รับปาก ผู้คุ้มกันคนอื่นๆก็เช่นกัน ต่างก็เห็นร่องรอยแห่งความยืนกรานในสายตาของแต่ละคน

 

“ใช่ ต่อให้จะไม่มีกําลังสนับสนุน พวกเราก็จะไม่ยอมจํานน!” ผู้คุ้มกันนับไม่ถ้วนกู่ร้องออกมา พร้อมกับเบ้าตาที่แดงก่ํา พวกเขาตั้งใจจะสู้ให้ถึงที่สุด

 

“เจ้าพวกโง่ ความตายกลายเข้ามาแล้วยังไม่รู้สึกตัวอีก อาณาจักรเทียนหลงไม่มีใครมาช่วยพวกเจ้าหรอก มีแต่ความตายที่รอพวกเจ้าอยู่!” ตงหลินหัวเราะเยาะ “น่าเสียดายที่เจ้าจะไม่มีวันได้ไปเจอกับพวกเต่าหดหัวอีก พวกมันก็ได้แต่หดหัวอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น! องค์จักรพรรดิเริ่นเอย องค์ชายอะไรนั่นเอย ก็แค่พวกเต่าหดหัวเท่านั้นล่ะวะ!”

 

“ พวกเราจะไม่ทรยศองค์จักรพรรดิ!” ม่อซือพูดด้วยความโกรธ “หากจะฆ่าก็เข้ามา!”

 

พวกเขาไร้ซึ่งความหวาดกลัว ไม่สนใจว่าตัวเองจะต้องตาย

 

“งั้นเจ้าก็ตายซะ!” ตงหลินทําการชี้เป้าหมาย บอกว่าลูกน้องของเขาบุกเข้าไป แล้วยึดครองเมืองหวยหยุนมาให้ได้

 

“ใครบอกว่าข้าเป็นเต่าหดหัวกัน?”

 

ในตอนนี้เอง อยู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากข้างหลัง ผู้คนต่างพากันหันกลับไปดู และก็พบว่ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลังเขา ซึ่งไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

 

“อะ องค์ชาย!?” ในใจม่อซือสั่นสะท้าน เขาเคยเห็นอี้เทียนหยุนมาก่อน ดังนั้นจึงรู้ว่าผู้ที่มาเป็นใคร!