ตอนที่ 51-1 ทุบตีคนอย่างโจ่งแจ้ง

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เหงื่อบนใบหน้าของผู้บัญชาการโต้วหยดแหมะลงมาเป็นทาง เขาแก้ตัวออกไปว่า “ซื่อจื่อ ทั้งหมดนี้หาใช่ความคิดของข้าน้อยไม่ ข้าน้อยเพียงมีคำสั่งลงไปให้จับคนมากักขังไว้รอการพิจารณาคดีเท่านั้น ไม่ได้สั่งให้ทำอะไรแบบนี้จริงๆ”

 

 

“เจ้าเก็บคำพูดนี้ไว้อธิบายกับเสด็จลุงเองเถิด” หวงฝู่อี้เซวียนพูดอย่างเย็นชา

 

 

หากฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้เข้า น่ากลัวว่าตำแหน่งทางการทหารของเขาคงจะรักษาไว้ไม่ได้อีกต่อไป ผู้บัญชาการโต้วรู้สึกเสียใจภายหลังยิ่งนักที่ไปฟังคำยุยงของเฮ่อเหลี่ยนจับคนมาโดยไม่ไต่ถามหรือสืบเสาะถึงสถานะอีกฝ่ายก่อน แต่เดิมโทษของการบุกรุกเข้าไปในเคหสถานนั้นไม่ได้ร้ายแรงอะไร สามารถปิดตาข้างหนึ่งแล้วมองผ่านมันไปได้ ไม่คิดว่ามันจะก่อให้เกิดหายนะใหญ่หลวงเพียงนี้

 

 

ใจของผู้บัญชาการโต้วกู่ร้องด้วยความเสียใจอย่างถึงที่สุด กระนั้นก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับความผิดไม่กล้าโต้แย้งกลับไปแม้เพียงครึ่งคำ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่แม้แต่จะชายตามองเขา กระโดดขึ้นหลังม้าไปพร้อมกับเมิ่งเชี่ยนโยว ทั้งคู่ควบม้าตัวเดียวกันมุ่งหน้าไปทางร้านยาเต๋อเหริน คนที่อยู่ข้างหลังตามพวกเขาไปติดๆ

 

 

ผู้บัญชาการโต้วมองตามพวกเขาที่จากไปไกลแล้วด้วยสภาพเหมือนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง ก้นกระแทกลงกับพื้นดังตุบอย่างแรง

 

 

“ผู้บัญชาการ!” เหล่าทหารพร้อมใจกันตะโกนขึ้นเป็นเสียงเดียว ก้าวขึ้นไปช่วยพยุงเขาขึ้นมา

 

 

ผู้บัญชาการโต้วปัดมือทิ้ง ก่อนจะกัดฟันแล้วพูดออกไปว่า “ไปลากตัวไอ้หัวหน้าผู้คุมสวะนั่นมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะถามมันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

 

 

ทหารนายหนึ่งขานรับ จากนั้นก็วิ่งไปทางเรือนจำอย่างรวดเร็ว เขาควานหาตัวอีกฝ่ายอยู่รอบหนึ่ง พอไม่พบตัวจึงได้ลากตัวผู้คุมคนหนึ่งมาแก้ขัดแทน

 

 

ทันทีที่ผู้คุมคนนั้นได้ยินคำถามของผู้บัญชาการโต้วก็ให้ตอบกลับไปด้วยเสียงสั่นว่า “หัวหน้าผู้คุมถูกซื่อจื่อจับไปที่จวนอ๋องฉีแล้วขอรับ”

 

 

ผู้บัญชาการโต้วตวาดลั่น “ใครสั่งให้มันทำแบบนี้”

 

 

ผู้คุมโชคร้ายถูกท่าทีที่เหมือนกับจะสังหารคนให้ได้ของอีกฝ่ายทำเอาหวาดกลัวจนหัวหดแล้ว ได้แต่นั่งทื่ออยู่บนพื้นราวกับเป็นอัมพาต ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ข้าน้อยเองก็ไม่รู้ขอรับ ได้ยินเพียงแต่หัวหน้าผู้คุมสั่งให้ลากตัวคนสองสามคนนั้นเข้าไปในห้องสอบสวน สั่งว่าให้ลงทัณฑ์พวกเขาให้หนักเหลือไว้เพียงลมหายใจสุดท้ายก็พอ ส่วนเรื่องอื่นๆ ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ ล้วนเป็นหวังอู่ที่ลงมือทั้งนั้นขอรับ”

 

 

“หวังอู่คือผู้ใด ไปลากคอมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!” ผู้บัญชาการโต้วตวาดกร้าว

 

 

ผู้คุมยังคงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “หวังอู่เป็นญาติของหัวหน้าผู้คุมขอรับ ปกติหากมีเรื่องอะไรหัวหน้าผู้คุมก็มักจะสั่งเขาให้ไปทำแทน ตั้งแต่ที่เขาพาสามคนนั้นเข้าไปในห้องขังของแม่นางผู้นั้นก็ไม่เห็นเขากลับออกมาอีกเลย”

 

 

ผู้บัญชาการโต้วสั่งทหารนายหนึ่งลงไป “เจ้าพาคนไปเอาตัวมันมา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเค้นความออกจากปากของไอ้เวรนั่นให้ได้”

 

 

นายทหารผู้นั้นขานรับ จากนั้นก็ลากตัวผู้คุมคนดังกล่าวออกไปด้วยสภาพทั้งที่มือเท้ายังคงอ่อนแรงอยู่ ทันทีที่กลับเข้ามาในเรือนจำ พวกเขาก็ตรงไปยังห้องขังของเมิ่งเชี่ยนโยวโดยไม่รอช้า

 

 

ผู้คุมเห็นหวังอู่นอนหมดสติคล้ายกับหมดลมหายใจไปแล้วอยู่บนพื้น เขาก็รีบชี้ไปที่อีกฝ่ายทันทีแล้วพูดกับทหารนายนั้นไปว่า “เขาก็คือหวังอู่”

 

 

นายทหารผู้นั้นก้าวขึ้นไป ลากคอหวังอู่ขึ้นมาจากนั้นก็โยนอีกฝ่ายลงไปตรงหน้าผู้บัญชาการโต้วอย่างแรง ทิ้งร่างเขาลงพื้นราวกับขยะ

 

 

ผู้บัญชาการโต้วเห็นลำคออีกฝ่ายมีรอยเลือดเป็นทางยาว ดวงตาทั้งคู่ปิดแน่น ก็เดาได้ว่าน่าจะหวาดกลัวจนเป็นลมหมดสติไป จึงสั่งทหารลงไปว่า “ปลุกมันขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”

 

 

นายทหารขานรับอีกครั้งแล้วตรงไปยังบ่อน้ำที่อยู่ตรงหัวมุมของเรือนจำตักน้ำเย็นใส่ถังจนเต็ม ก่อนจะเดินขึ้นไปข้างหน้าแล้วสาดน้ำถังนั้นใส่ร่างหวังอู่อย่างแรง!

 

 

หวังอู่ถูกปลุกให้ตื่นทันที เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นว่าผู้บัญชาการโต้วจ้องมาด้วยแววตากินเลือดกินเนื้อก็ให้สะท้านไปจนถึงจิตวิญญาณ แต่แล้วเพียงพริบตาเดียวเขาก็คลานเข้าไปร้องขอความเมตตาอย่างมีไหวพริบว่า “ท่านผู้บัญชาการไว้ชีวิตด้วย ท่านผู้บัญชาการไว้ชีวิตด้วย”

 

 

“เล่ามาว่าวันนี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ พวกเจ้ารับคำสั่งของใคร เหตุใดจึงอาจหาญทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้” ผู้บัญชาการโต้วถามด้วยเสียงเ**้ยม

 

 

หวังอู่ยังคงโขกหัวไม่หยุด ตอบไปด้วยเสียงสั่นว่า “เป็นคุณชายใหญ่ขอรับ”

 

 

ผู้บัญชาการโต้วขมวดคิ้วแน่น “เฮ่อเหลี่ยน”

 

 

“เป็นเขาขอรับ หลังจากที่ท่านผู้บัญชาการพาคนมา เขาก็เข้ามาแล้วโยนเงินห้าสิบตำลึงเงินให้กับหัวหน้าผู้คุม สั่งเขาไปว่าให้จัดการคนพวกนั้นให้ดี หัวหน้าผู้คุมตอนแรกยังไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ แต่พอเขาพูดว่าหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นเขาจะรับผิดชอบแทนเอง หัวหน้าผู้คุมจึงได้มีความกล้ารับเรื่องนั้นลงมา ผสมยาลงในอาหารของพวกนั้นให้พวกมันไม่อาจเคลื่อนไหวได้ จะได้ลงทัณฑ์ได้สะดวกขอรับ”

 

 

“พวกเจ้าประสบความสำเร็จหรือไม่” ผู้บัญชาการโต้วรีบถามกลับไป

 

 

นึกย้อนถึงกริชของเมิ่งเชี่ยนโยวที่จ่ออยู่บนลำคอของเขาหวังอู่ก็ให้หวาดกลัวไม่หาย ตอบกลับไปด้วยเสียงสั่นว่า “คนที่เหลือประสบความสำเร็จแล้วขอรับ ถูกลากไปลงทัณฑ์ในห้องสอบสวนโดยผู้คุม ส่วนแม่นางผู้นั้น ไม่รู้เพราะเหตุใดนางถึงไม่ได้รับผลจากยาเลย กลายเป็นว่าสามคนที่ถูกส่งตัวเข้าไปถูกนางตีจนสลบแทน”

 

 

ช่วงนี้ข่าวลือต่างๆ ในเมืองหลวงมีมาให้ได้ยินไม่หยุด หากว่าแม่นางผู้นั้นเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่คุณชายใหญ่เกรงว่าคงถูกซื่อจื่อจับละเลงเลือดไปด้วย พอได้ยินจากปากผู้คุมว่านางไม่เป็นไร ผู้บัญชาการโต้วก็ให้พ่นลมหายใจออกยาวด้วยความโล่งอก นี่ถึงเพิ่งมีแรงลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ตวาดสั่งทหารลงไปว่า “วันนี้ไม่ต้องไปลาดตระเวนแล้ว พวกเจ้าคุมเรือนจำให้ดี ไปลากตัวไอ้พวกสมควรตายที่มันนอนอยู่ในคุกพวกนั้นออกมาแล้วเฝ้าอย่าให้คลาดสายตา พรุ่งนี้ข้าจะพาตัวพวกมันไปส่งให้ซื่อจื่อเพื่อรายงานผล” กล่าวจบ ก็ปรายตามองไปทางหวังอู่แวบหนึ่ง พูดต่อด้วยน้ำเสียงคับแค้นว่า “ไอ้สวะนี่ก็ด้วย เฝ้ามันให้ดี”

 

 

ทหารรับคำ จากนั้นก็ลากตัวหวังอู่ออกไปแล้วโยนเขาเข้าไปขังไว้ในคุกร่วมกับคนอื่นๆ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวควบม้ามาหยุดอยู่หน้าทางเข้าร้านยาเต๋อเหริน

 

 

เหวินซื่อได้รับรายงานจากองครักษ์ก่อนแล้วจึงได้รีบห้อม้ามาอย่างลุกลน

 

 

ทันทีที่พลิกตัวลงจากหลังม้า น้ำเสียงกังวลของเหวินซื่อก็ดังขึ้นตามว่า “เกิดอะไรขึ้น”

 

 

“เหวินเปียวกับอีกหลายคนได้รับบาดเจ็บสาหัสจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน อี้เซวียนกลัวว่าร้านยาเต๋อเหรินจะไม่เปิดประตูให้จึงได้ส่งคนไปเรียกตัวท่านมา” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบขณะเดินเข้าไปในร้านยาเต๋อเหริน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเหวินซื่อเดินตามนางเข้าไป

 

 

เนื่องจากว่าร้านยาเต๋อเหรินในขณะนี้สว่างมาก เพียงพริบตาเดียวเหวินซื่อจึงได้เห็นคนในสภาพเลือดอาบเต็มตัว เขาสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยเนื้อตัวเย็นเฉียบ ถามออกไปอย่างตกใจว่า “สาหัสถึงเพียงนี้เชียว”

 

 

“เรื่องนี้ไว้ข้าค่อยคุยกับท่านทีหลัง ท่านรีบตรวจดูอาการทำความสะอาดบาดแผลของพวกเขาตามที่ข้าบอกก่อน” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว

 

 

เหวินซื่อพยักหน้า

 

 

จากนั้นพนักงานทั้งหมดของร้านยาเต๋อเหรินก็ถูกปลุกขึ้นด้วยเสียงเคาะประตูดังลั่นกลางดึก พวกเขาตื่นขึ้นมาด้วยสภาพงัวเงีย แต่แล้วพอได้เห็นใครบางคนกำลังแบกร่างหลายร่างในสภาพโชกเลือดเข้ามาก็ให้ตื่นตระหนกกันถ้วนหน้า เท้าถูกตรึงอยู่กับที่ขยับเขยื้อนไม่ได้ไปชั่วคราว ไม่รู้ว่าจะเริ่มลงมือจากตรงไหนก่อนดี

 

 

แต่เมื่อเห็นว่าเหวินซื่อก็อยู่ด้วย ใจก็คล้ายหาที่เกาะที่พึ่งพิงเจอ เสียงตะโกนดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงว่า “เถ้าแก่!”

 

 

เหวินซื่อรู้ว่าพวกเขาไม่เคยเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ย่อมรู้สึกกลัวเป็นธรรมดา จึงได้เอ่ยปลอบพวกเขาไปว่า “อย่าได้ลนลานไป ทำตามคำสั่งของแม่นางเมิ่งก็พอ”

 

 

เพียงพริบตาใจของเหล่าพนักงานก็สงบลง พร้อมฟังคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวให้พวกเขาใช้น้ำสะอาดเช็ดทำความสะอาดร่างกายของทุกคนก่อน

 

 

แต่ละคนถูกโบยจนเนื้อตัวเต็มไปด้วยแผลเหวอะหวะ เสื้อผ้ากับเลือดและเนื้อติดรวมกัน พวกพนักงานไม่มีทางเลือกจึงต้องหากรรไกรมาค่อยๆ เลาะตัดเสื้อผ้าออกจากตัวของพวกเขาอย่างระมัดระวัง

 

 

สภาพของพวกเขาเหล่านั้นค่อนข้างน่าเวทนา จนเหวินซื่อแทบจะทนดูต่อไม่ได้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มปาก พยายามหักห้ามใจควบคุมอารมณ์ที่อยากฆ่าคนของตัวเองไว้

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็มีใบหน้าเคร่งขรึม ร่างกายแผ่กลิ่นอายที่ทำให้คนรู้สึกหวาดผวาออกมา

 

 

ทุกคนต่างก็เป็นผู้ชาย เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่สามารถเฝ้ามองพวกพนักงานที่เช็ดร่างกายของพวกเขาจนเสร็จได้ หันมาถามเหวินซื่อว่า “ยาสมานแผลยังมีอยู่ไหม”

 

 

เหวินซื่อมองหน้าพนักงานคนหนึ่ง

 

 

พนักงานจึงตอบว่า “ยังเหลืออยู่อีกเล็กน้อยขอรับ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่พอให้พวกเขาใช้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาข้างหน้าโต๊ะตัวหนึ่ง หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนใบสั่งยาเสร็จแล้วก็ส่งให้พนักงาน “รีบไปเอายาพวกนี้มาให้ครบ”

 

 

พนักงานมองไปที่เหวินซื่อ

 

 

เหวินซื่อพยักหน้า

 

 

พนักงานจึงรีบถือใบสั่งยาไปเอาตัวยา

 

 

“ห้องปรุงยาอยู่ที่ไหนหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามเหวินซื่อ

 

 

“อยู่หลังเรือน ข้าจะพาเจ้าไปเอง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนอีกว่า “ให้คนของเจ้าตามข้าไปห้องปรุงยา ข้าต้องรีบปรุงยารักษาบาดแผลภายนอกให้พวกเขาโดยเร็วที่สุด”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า แล้วเดินไปพร้อมกับเมิ่งเชี่ยนโยวที่เดินตามเหวินซื่อไปยังห้องปรุงยาที่อยู่หลังเรือน คนเหล่านั้นที่เขาพามาด้วยก็เดินตามมาเช่นเดียวกัน

 

 

พนักงานไปเอาตัวยาที่อยู่ในใบสั่งยามาจนครบ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้ทุกคนบดยาให้เป็นผง ขนาดหวงฝู่อี้เซวียนกับเหวินซื่อยังลงมือทำด้วย

 

 

คนเยอะทำอะไรได้เร็ว ไม่นานทุกคนก็ช่วยกันบดยาจนเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวปรุงยาในสัดส่วนที่แตกต่างกัน แล้วส่งให้ทหารอารักขาคนหนึ่ง “เอาไปให้พนักงาน ให้พวกเขาเอาใส่แผลของทุกคนทุกบาดแผลนะ ห้ามเว้นที่ใดที่หนึ่งไป”

 

 

ทหารอารักขารับคำสั่ง แล้วก็เอายาไปส่งให้พนักงาน

 

 

พวกพนักงานเช็ดทำความสะอาดร่างกายของทุกคนเสร็จแล้ว พอได้ยินคำสั่งก็รับเอายามาใส่แผลให้ทุกคนอย่างละเอียดถี่ถ้วน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบพู่กันที่อยู่บนโต๊ะในห้องปรุงยาขึ้น เขียนใบสั่งยาอีก แล้วก็ส่งให้ทหารอารักขา “นี่เป็นยาลดไข้ พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ อีกสักพักต้องตัวร้อนเป็นไข้แน่ เจ้าให้พนักงานไปต้มยาเตรียมไว้ให้พวกเขา ยามใดที่พวกเขาตัวร้อนก็รีบป้อนยาให้ทันที”

 

 

ทหารอารักขารับคำสั่ง จากนั้นเดินกลับไปยังห้องโถงใหญ่ เอาใบสั่งยาที่อยู่ในมือให้พนักงาน แล้วพูดตามคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวอีกรอบ

 

 

พนักงานพยักหน้า รีบไปเอาตัวยาทันที แล้วรีบไปต้มยาที่เรือนด้านหลังอย่างรวดเร็ว

 

 

ใส่ยาให้พวกกัวเฟยและพันผ้าพันแผลเรียบร้อยแล้ว พนักงานก็เดินมารายงาน

 

 

เหวินซื่อสั่งให้พนักงานพาทุกคนย้ายเข้าไปในห้องรักษา แล้วเฝ้าดูแลพวกเขาอย่างดี หากพบว่ามีสิ่งใดผิดปกติก็ให้รีบมารายงาน

 

 

พนักงานรับคำสั่ง แล้วทำตามคำสั่งของเขา