ตอนที่ 51-2 ทุบตีคนอย่างโจ่งแจ้ง

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหวินซื่อก็พาเมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนขึ้นไปชั้นบน สั่งพนักงานให้ชงชามา แล้วจึงกล่าวถามขึ้นว่า “ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเล่าเรื่องที่เหวินเปียวและพี่น้องอยากเข้าไปดูในสำนักคุ้มภัย แล้วนางก็อยากตามเข้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น ต่อมาทุกคนก็อดใจไม่ไหวกระโดดเข้าไปดูภายในเรือน จากนั้นก็ถูกคนของเฮ่อเหลี่ยนที่สั่งให้คนจับตาดูไว้ก่อนแล้วเข้ามาโอบล้อม และในตอนที่นางกำลังจะฆ่า     เฮ่อเหลี่ยนนั้น คนของกองกำลังปัญจทิศรักษานครก็เข้ามาเห็นเข้าพอดีจึงจับพวกเขาไป รวมถึงเรื่องที่        เฮ่อเหลี่ยนซื้อตัวผู้ดูแลที่คุมขังเพื่อให้เขาทำร้ายพวกเขาก็เล่าออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ

 

 

พอเหวินซื่อฟังจบก็ลุกยืนอย่างตกใจ

 

 

ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนกลับโมโหจนแทบจะตบโต๊ะที่อยู่ข้างๆ ให้พัง

 

 

เหวินซื่อตกใจไม่น้อยจากท่าทางเกรี้ยวกราดของเขา ทว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับนั่งข้างๆ ด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์

 

 

พนักงานที่ยกน้ำชาเข้ามาบริการก็ตกใจจนกาน้ำชาที่อยู่มือเกือบจะคว่ำลงพื้น จากนั้นพยายามทำใจให้สงบ เทชาใส่ถ้วยแล้ววางไว้ด้านหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนอย่างระมัดระวัง แต่อาจเป็นเพราะว่ามือสั่น จึงทำให้ถ้ายชากับฝาน้ำชากระทบกันจนเกิดเสียงดัง

 

 

เหวินซื่อโบกมือ พนักงานที่ยกน้ำชามาบริการก็รีบถอยออกไปทันที

 

 

เหวินซื่อก็ปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ แล้วกล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตำหนิว่า “หลายปีก่อนข้าเคยบอกเจ้าแล้ว เหวินเปียวกับคนอื่นนั้นเคยล่วงเกินผู้มีอำนาจ อย่าให้พวกเขาโผล่หน้าในเมืองหลวง แต่ดูเจ้าสิ เห็นคำพูดของข้าเป็นลมที่พัดผ่านหูเท่านั้น โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นชั่วชีวิตนี้ของเจ้าก็คงจบสิ้นแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับหัวเราะแล้วต่อปากต่อคำว่า “หุบปากอีกาของเจ้าไป ฝีมือแค่นั้นจะทำอะไรข้าได้ ข้าแค่นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะลงมือกับพวกกัวเฟยหนักหนาปานนั้น”

 

 

“เฮ่อเหลี่ยนผู้นั้นเลื่องชื่อในเรื่องจิตใจคับแคบโหดร้าย ทุกคนในเมืองหลวงไม่ว่าขุนนางหรือคนทั่วไปเมื่อเจอเขาก็ต้องเดินอ้อมหลีกทางให้ ด้วยเกรงว่าจะล่วงเกินเขา แล้วโดนเขาฉวยโอกาสแก้แค้น แต่เจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งสามครั้งสี่ยังไปตบหน้าเขาอีก ถ้าเขาไม่ฉวยโอกาสนี้แก้แค้นพวกเจ้าก็แปลกแล้ว” เหวินซื่อกล่าว

 

 

“มันจะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว” หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

 

 

เหวินซื่อหันไปมองหน้าเขาแล้วบ่นขึ้นว่า “เจ้ายังจะมาพูดอีก เจ้าเป็นถึงซื่อจื่อ แต่เด็กคนหนึ่งโดนจับไปก็ยังช่วยออกมาได้ไม่ทันเวลา หากนางเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าว่าต่อไปเจ้าจะมองหน้านางอย่างไร”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนแสดงสีหน้าโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองเต็มประดา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวดุเหวินซื่อ “เงียบไปเลย ตอนที่พวกเราถูกจับนั้นเขาไม่รู้ด้วยซ้ำ จะไปช่วยพวกเราได้ทันที่ไหน”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเม้มริมฝีปาก อธิบายเสียงแผ่วเบาว่า “มีคนมาส่งข่าวที่ร้านบะหมี่มันฝรั่ง บอกว่าพวกเจ้าถูกทหารจับตัวไป พี่เมิ่งอี้จึงรีบส่งองครักษ์ไปรายงานให้ข้าทราบ ข้าตกใจมาก จากนั้นก็พาคนที่เสด็จแม่มอบให้พาออกไปด้วย ข้าตามหาพวกเจ้าไปทุกหนทุกแห่ง แต่คุกในเมืองหลวงนั้นมีมากเกินไป พวกเราต้องค้นหาอยู่หลายที่ถึงหาพวกเจ้าเจอ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ล่าช้าไป จนเกือบเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้าแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “โชคดีที่ตอนนั้นเหวินเปียวไหวพริบดี ส่งสัญญาณให้เพื่อนบ้านเก่าแก่ได้ ไม่อย่างนั้นต้องรอให้ถึงตอนเย็น ที่พี่เมิ่งอี้พบว่าพวกเรายังไม่ได้กลับไปถึงอาจจะไปหาเจ้า บางทีถ้าถึงตอนนั้นพวกกัวเฟยอาจไม่รอดชีวิตแล้ว”

 

 

ฟังออกว่านางไม่ได้กล่าวโทษเลย ในใจของหวงฝู่อี้เซวียนก็สบายขึ้นบ้าง กล่าวว่า “เจ้าวางใจ หากใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ข้าจะไม่ปล่อยพวกเขาไปแม้แต่คนเดียว”

 

 

“ควรต้องลงโทษพวกเขาบ้าง ให้พวกเขาหลาบจำไปชั่วชีวิต” เหวินซื่อพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นพูดขึ้นอีกว่า “แต่ว่าคนที่ชั่วร้ายที่สุดก็คือเฮ่อเหลี่ยน คราวนี้ต้องจัดการเขาให้สาสมสักครั้ง ทำให้เขาไม่กล้าพูดถึงพวกเจ้าตลอดไป”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนรับรองอีกครั้ง “พวกเจ้าวางใจ ครั้งนี้ข้าไม่ปล่อยเขาไปแน่นอน ไม่ปล่อยให้เขาได้อยู่รอดปลอดภัย”

 

 

เหวินซื่อทำตาโตทันที เดินมาหยุดข้างหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนแล้วกล่าวว่า “เจ้าคิดได้แล้วใช่ไหมว่าจะจัดการเขาอย่างไรดี พูดให้ข้าฟังหน่อย ดูว่ามีตรงไหนที่ข้าพอจะช่วยได้บ้าง”

 

 

ท่าทางที่ดูเหมือนกลัวว่าโลกจะสงบ ทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวที่เห็นแล้วหัวเราะขึ้น เอ่ยเตือนเขาว่า “เจ้าจำบทเรียนครั้งก่อนไม่ได้หรือ เห็นว่าปีนั้นข้าทำให้เจ้าเดือดร้อนไม่พอหรือ”

 

 

พอพูดถึงปีนั้นก็นึกถึงการตายของหมอชรา รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของเหวินซื่อก็จางลง

 

 

ขณะเดียวกันเมิ่งเชี่ยนโยวก็นึกถึงหมอชราเช่นกัน แอบเสียใจที่ตัวเองพูดอะไรโดยไม่ยั้งคิด

 

 

ดูเหมือนว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะไม่รับรู้เรื่องนี้จึงพูด “อืม” เบาๆ คำหนึ่ง “ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าจริงๆ”

 

 

เหวินซื่อทิ้งความเสียใจไว้สมองส่วนท้ายทันที ถามขึ้นอย่างคาดหวังว่า “ต้องการให้ข้าทำอะไรหรือ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก มองหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง แล้วบอกใบ้ให้เหวินซื่อย่อตัวลง

 

 

เหวินซื่อย่อตัวลง หวงฝู่อี้เซวียนกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเขาประโยคหนึ่ง

 

 

หวินซื่อตกใจ หลุดปากถามขึ้นว่า “เจ้าจะเอายาปลุกกำหนัดไปทำอะไร”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหน้าแดงเถือง ถลึงตามองเขาพักหนึ่ง

 

 

เหวินซื่อก็ตกใจที่ตัวเองพูดหลุดปากไป รีบยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้ทันควัน

 

 

“ไม่ต้องปิดแล้ว ข้าได้ยินหมดแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวยิ้มๆ

 

 

เหวินซื่อกลอกตาลอกแลก เอามือลง แล้วพูดประจบหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ข้าจะไปเอามาให้เจ้าเดี๋ยวนี้”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกระแอมไปทีหนึ่ง “ยังไม่ใช่ตอนนี้ เจ้าเตรียมไว้ให้ข้าก่อน ไว้ข้าต้องการใช้จะให้ทหารอารักขามาเอาไป”

 

 

เหวินซื่องงงวย “วันพรุ่งเจ้าจะไม่จัดการเขาหรือ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตอบ “อืม” เบาๆ

 

 

เหวินซื่อร้อนใจ “อืมของเจ้าหมายความว่าอะไร จะจัดการหรือว่าไม่จัดการเขา”

 

 

“จัดการเขาสิ” หวงฝู่อี้เซวียนตอบกลับสั้นๆ

 

 

เหวินซื่อร้อนใจมากขึ้น “สักพักเจ้าก็บอกว่าจะเอายาปลุกกำหนัด สักพักก็บอกว่าจะจัดการเขาพรุ่งนี้ เจ้าคิดจะทำอย่างไรกันแน่ เจ้าบอกข้ามาสิ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหันไปมองหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เหวินซื่อร้อนใจจนแทบจะกระทืบเท้า “เจ้ามองหน้าเด็กคนนี้ทำไม เจ้าเป็นคนลงมือมิใช่นางเสียหน่อย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะหึๆ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนจนปัญญา กวักมือเรียกให้เขาเข้ามา แล้วกระซิบที่ข้างหูเขาบอกแผนการของตัวเองทั้งหมด

 

 

สีหน้าของเหวินซื่อค่อนข้างตื่นเต้น สักพักก็พยักหน้าพูดว่า “อืม” สักก็พูดขึ้นว่า “อา” ตลอดจนกระทั่งหวงฝู่อี้เซวียนพูดจบ เขากลับพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “น่าสนุก ข้าก็จะไปด้วย”

 

 

“คนของข้าต่างก็เป็นผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง กังฟูแมวสามขาอย่างเจ้าถ้าถูกคนจับได้จะทำอย่างไร” หวงฝู่อี้เซวียนเลิกคิ้วถามอย่างจงใจล้อเลียนเขา

 

 

เหวินซื่อโบกมือขึ้นมาทันควัน “ไม่หรอก ไม่หรอก ถ้าไม่ได้จริงๆ ข้าจะแอบมองอยู่ในมุมมืด”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยังปฏิเสธเหมือนเดิม “ไม่ได้ เฮ่อเหลี่ยนรู้จักเจ้า ถ้าหากเขาเห็นเข้าแล้วล่ะก็ ต่อไปเจ้าจะเดือดร้อนตลอด”

 

 

เหวินซื่อมีสีหน้าห่อเ**่ยวลง ต่อมาก็พูดขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกายว่า “ไม่เป็นไร เด็กคนนี้แปลงโฉมได้ ให้นางแปลงโฉมให้ข้าก็ได้แล้ว” พูดจบก็ตัดสินใจเองโดยไม่รอให้หวงฝู่อี้เซวียนเห็นด้วย “เอาตามนี้ก็แล้วกัน ถ้าเจ้าไม่ให้ข้าไปด้วย ข้าจะไม่เตรียมยาปลุกกำหนัดไว้ให้เจ้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวแกล้งพูดขึ้นอย่างไม่ยินดียินร้ายว่า “ไม่ต้องใช้เรื่องนี้มาข่มขู่อี้เซวียน ก็แค่ยาปลุกกำหนัดเองมิใช่หรือ ปรุงได้ง่ายๆ เจ้าไม่เตรียมไว้ให้ ข้าก็ปรุงขึ้นมาเองเท่านั้น รับรองว่าดีกว่ายาในหอการค้าของเจ้าอีก”

 

 

เหวินซื่อได้ยินแล้วก็กระวนกระวายใจ จนถึงขั้นข่มขู่เมิ่งเชี่ยนโยว “เจ้ากล้าหรือ ข้าจะบอกให้ ถ้าเจ้ากล้าปรุงยาให้เขา ข้าจะตัดความสัมพันธ์กับเจ้า”

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็ลองดู ข้าจะดูสิว่าเถ้าแก่ใหญ่เหวินจะตัดความสัมพันธ์กับข้าอย่างไร” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างสบายๆ

 

 

“เจ้า…” เหวินซื่อถูกยอกย้อนจนพูดไม่ออก

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเห็นท่าทางของเขาแล้วก็รู้สึกขำ หัวเราะพรืดออกมาเสียงดัง

 

 

เหวินซื่อชี้หน้าของทั้งสองคนอย่างโมโห “ดีดีดี พวก พวกเจ้า…”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังลั่น

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเห็นเหวินซื่อโกรธจนหน้าแดง จึงรับปากเขาว่า “ถึงตอนนั้นข้าจะส่งคนมาบอกเจ้า ถ้าเจ้าอยากไปก็ตามไปเถอะ แต่ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจากเหตุนี้ เจ้าอย่ามาโทษข้าล่ะ”

 

 

เหวินซื่อค่อยรู้ตัวว่าถูกทั้งสองคนแกล้งเอา จึงกล่าวอย่างโมโหว่า “เจ้าพวกใจดำทั้งสองคน ขนาดข้ายังแกล้งได้ ถือว่าข้ามองพวกเจ้าผิดไปแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งหัวเราะเสียงดังลั่น

 

 

ผ่านเรื่องราววุ่นวายไปไม่นานท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นแล้ว จู่ๆ เมิ่งเชี่ยนโยวก็นึกถึงอะไรขึ้นได้ พูดกับหวงฝู่อี้เซวียนอย่างร้อนรนว่า “ข้าลืมอะไรไปเรื่องหนึ่ง ข้าไม่กลับบ้านทั้งคืน พี่เมิ่งต้องเป็นห่วงแย่แล้ว เจ้ารีบส่งคนไปบอกให้พวกเขารู้ก่อน บอกว่าพวกเราไม่เป็นอะไร อีกอย่างพวกเขาคงยังไม่ได้พักผ่อนดี วันนี้ก็ปิดร้านบะหมี่มันฝรั่งให้พวกเขาพักผ่อนอยู่ที่บ้านเถอะ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า ตะโกนเรียกทหารอารักขาให้เข้ามา แล้วให้ไปส่งข่าวที่เมืองหนานเฉิง

 

 

เหวินซื่อพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ลำบากมาทั้งคืนแล้ว เจ้าเองก็เหน็ดเหนื่อย เรือนด้านหลังยังมีห้องว่างอยู่ ข้าจะสั่งให้พนักงานไปเก็บกวาด เจ้าจะได้พักผ่อนก่อน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว ถ้าพวกเขาไม่เป็นอะไรแล้วล่ะก็ ข้าก็จะกลับไปพักผ่อนที่บ้าน”

 

 

ยังพูดไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงวิ่งตึงตังดังเข้ามา จากนั้นพนักงานก็พูดขึ้นอย่างตื่นตระหนกว่า “เถ้าแก่ แย่แล้วขอรับ พวกเขาตัวร้อนขึ้นพร้อมกันเลย ป้อนยาลดไข้ให้กินจนเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปแล้วยังไม่ดีขึ้นเลย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกระเด้งตัวยืนขึ้นทันที บอกพนักงานว่า “พาข้าไปเดี๋ยวนี้”

 

 

พนักงานเดินนำทางอยู่ข้างหน้า ทุกคนก็เดินมาถึงห้องรักษาที่อยู่เรือนด้านหลัง เห็นแต่ละหลับตาแน่น ใบหน้าเป็นสีแดงระเรื่อ ท่าทางราวกับว่าเจ็บปวดอย่างมาก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น เดินไปข้างๆ กัวเฟยแล้วดึงมือเขาออกมาตรวจชีพจร ถามพนักงานเสียงดังว่า “ได้ป้อนยาลดไข้ตามที่ข้าบอกไว้ไหม”

 

 

พนักงานตอบกลับทันทีว่า “ต้มยาตามที่แม่นางบอก แล้วป้อนยาให้พวกเขาทุกคนขอรับ”

 

 

“ไปเตรียมน้ำเย็นกับผ้าขนหนูมา ประคบเย็นให้พวกเขาสักพัก” เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งอีกครั้ง

 

 

พนักงานขานรับคำสั่ง คนหนึ่งไปเอาน้ำเย็นมา อีกคนก็ไปหยิบผ้าขนหนูมา ไม่นานก็ได้ของทุกอย่างครบ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเอาผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นจนหมาดแล้วเอามาวางไว้บนหน้าผากของกัวเฟย แล้วสั่งให้พวกพนักงานทำตามวิธีของนาง

 

 

นี่ก็คือวิธีลดไข้ที่เป็นพื้นฐานที่สุด พวกพนักงานต่างก็ทำเป็น แต่ละคนเฝ้าดูแลคนหนึ่งไว้ หมุนเวียนเอาผ้าชุบน้ำหมาดๆ วางไว้บนหน้าผากของพวกเขาไม่หยุด

 

 

ทำเช่นนี้จนกินเวลาไปถึงครึ่งชั่วยาม อาการเป็นไข้ตัวร้อนจนหน้าแดงของพวกกัวเฟยถึงค่อยดีขึ้นบ้าง