ส่วนที่ 4 ตอนที่ 22

ความลับแห่งจินเหลียน

จ่านป๋ายเห็นซีเหมินจินเหลียนดีอกดีใจ เขาก็พลอยดีใจไปด้วย “จินเหลียน คุณวางมันลงก่อนได้ไหมครับ ผมอยากจะดูชัดๆ ว่าเป็นอะไรกันแน่?”

 

ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า แล้วนำหยกสีเงินส่องแสงระยิบระยับนี้วางไว้บนแท่นแกะสลักหยก จากนั้นจึงเปิดไฟที่ตัวเครื่องเพื่อเพิ่มความสว่าง

 

ไม่ว่าจะเป็นส่วนที่ถูกแสงไฟหรือว่าจุดที่เป็นมุมอับของแสง หยกก้อนนั้นก็ยังคงเหมือนแสงดาวระยิบระยับ สาดประกายจนทำให้ผู้คนไม่อาจลืมตาได้

 

“จินเหลียน นี่ไม่ใช่เงินแน่นอน!”

 

“ฉันก็ว่าไม่น่าจะใช่เงิน เหมือนกับแร่ธาตุอะไรบางอย่างที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน!”

 

“จินเหลียน คุณน่าจะรู้ว่าโลกทั้งใบกำลังตามหาแหล่งกำเนิดแสงเย็น!” จ่านป๋ายวิเคราะห์ สายตาจ้องไปที่หยกที่ส่องแสงระยิบระยับก้อนนั้น

 

“อะไรนะ?” ซีเหมินจินเหลียนเหลือบไปมองเขาอย่างสงสัย

 

“ถึงผมไม่รู้ว่าข้างในหยกจะมีอะไรมาคั่น แต่ผมก็รู้ว่านี่คือแหล่งกำเนิดแสงเย็น!”

 

“ฉันเคยได้ยินแค่ว่าหิ้งห้อยเป็นแหล่งกำเนิดแสงเย็น” ซีเหมินจินเหลียนคิ้วย่นเข้าหากัน เมื่อก่อนที่เคยได้ยินมาภายในตัวหิ้งห้อยจะสามารถส่องแสงได้ในตัวเอง จัดอยู่ชนิดของแหล่งกำเนิดแสงเย็น แต่จนถึงตอนนี้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็ไม่ได้มีผลศึกษาค้นคว้าวิจัยที่จะมีสิ่งใดมาแทนที่แหล่งกำเนิดแสงเย็น ภายในหินข้างในนี้ก็สามารถส่องแสงได้ น่าจะจัดอยู่ในแหล่งกำเนิดแสงเย็นเช่นกัน…

 

เมื่อยื่นมือไปสัมผัสหยกที่ส่องแสงระยิบระยับเปล่งประกายก้อนนั้น ซีเหมินจินเหลียนก็ส่ายหน้า “เสี่ยวป่าย นี่ก็คือหยกก้อนหนึ่ง ฉันไม่สนใจว่าจะเป็นแหล่งกำเนิดแสงเย็นหรือไม่ แต่นี่ก็คือหยกของฉัน ในอนาคตฉันจะทำเป็นเครื่องประดับหลากหลายรูปแบบ!”

 

จ่านป๋ายได้ยินจึงอมยิ้มออกมา ใช่แล้ว นี่เป็นเพียงแค่หยกก้อนหนึ่งเท่านั้น ถึงจะเป็นแหล่งกำเนิดแสงเย็นแล้วอย่างไร? ถึงข้างในจะมีแร่ธาตุ ถึงจะไม่มีใครเคยค้นพบธาตุนี้ แล้วอย่างไร? มันก็เป็นแค่หยกก้อนหนึ่ง มากสุดก็แค่ถูกเพิ่มมูลค่าด้วยการทำเป็นเครื่องประดับ เป็นของสะสมส่วนตัวของซีเหมินจินเหลียน แน่นอนถ้าในอนาคตเธอขาดแคลนเงินเมื่อไหร่ ก็อาจจะขายออกไปสักหนึ่งชิ้นสองชิ้นก็ไม่เสียหาย

 

“ฉันจะทำกำไลสองคู่ เจียระไนเป็นแหวนสักสองสามวง” ซีเหมินจินเหลียนพูดไปก็ยื่นมือทำท่าทางกะขนาดบนก้อนหยก เธอคิดว่าคงทำเป็นของตกแต่งลำบาก ไม่ๆๆ…ทำเป็นของตกแต่งจะเสียของเปล่าๆ ของแบบนี้ต้องเหมาะสมกับพกพาติดตัวให้สวยงาม

 

แต่หยกก้อนนี้ไม่ได้ถือว่าใหญ่มาก หากทำเป็นกำไลสองคู่น่าจะยังเหลือเนื้อหยกอยู่ จากนั้นก็ใช้แสงระยิบระยับข้างในเจียระไนเป็นแหวน มันก็จะส่องแสงเปล่งประกาย ส่วนเศษที่เหลือยังสามารถทำเป็นพวงกุญแจหยก จี้หยกได้…   

 

“จินเหลียน มาตั้งชื่อให้หยกก้อนนี้กันเถอะครับ”

 

“ตั้งชื่อเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนครุ่นคิด ในเมื่อไม่เคยมีใครค้นพบสิ่งนี้มาก่อน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตั้งชื่อให้ดูสวยงามสักหน่อย จะตั้งว่าอะไรดีนะ? หยกก้อนนี้เหมือนกับแสงของดาวที่ส่องประกายระยิบระยับ…

 

 “ถ้าอย่างนั้นก็ชื่อประกายดาวก็แล้วกัน!” ซีเหมินจินเหลียนกล่าว

 

 “ดีครับ” จ่านป๋ายพยักหน้าเห็นด้วย “ชื่อไม่เลวเลย!”

 

ซีเหมินจินเหลียนบอกว่าจะลงมือก็ลงมือ ตอนนี้เธอเริ่มเจียระไนหยกออกมาเพื่อทำกำไล ส่วนจ่านป๋ายไม่มีอะไรทำจึงได้รับคำสั่งจากซีเหมินจินเหลียนให้จัดการกับหินหยกที่เหลือ

 

หินหยกพวกนั้นเป็นแค่ชนิดน้ำแข็ง ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้สนใจมากจึงกำชับจ่านป๋ายว่าขอแค่ตัดอย่างระมัดระวังก็พอแล้ว ให้หยกข้างในเผยออกมาเป็นอันสำเร็จ

 

ใช้เวลาไปทั้งหมดสามวัน ในที่สุดซีเหมินจินเหลียนก็จัดการกับหยกที่ซื้อมาจากถนนหยกทั้งสิบห้าชิ้นได้สำเร็จ เมื่อตัดทั้งหมดออกมา จ่านป๋ายมองเห็นมีทั้งชิ้นเล็กใหญ่คละกันไป เขียวอ่อน เขียวพอดี เขียวสด เขียวพระอาทิตย์ เขียวถั่วเขียวล้วนเป็นแต่ชนิดน้ำแข็ง รู้สึกว่าตาลายไปหมด

 

ถ้าหากบอกว่าซีเหมินจินเหลียนใช้ดวงในการเล่นเดิมพันหิน ตีเขาให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ หินหยกทั้งสิบห้าชิ้นนี้ มีสิบชิ้นที่เป็นชนิดน้ำแข็ง แถมสีสันยังใสบริสุทธิ์ ความโปร่งแสงยิ่งไม่ต้องพูดถึง

 

ส่วนที่เหลืออีกสองชิ้น ก็ยังพอมีหยกอยู่เล็กน้อย เพียงแต่สีไม่สวยงาม ที่เหลืออีกสามชิ้นเป็นแค่หินสีขาวเท่านั้น

 

จ่านป๋ายรู้สึกเบื่อจึงนำหินที่ตัดออกทั้งเล็กใหญ่มาเรียงไว้เป็นแถวเหมือนก้อนเต้าหู้ ซีเหมินจินเหลียนเห็นแล้วได้แต่ยิ้มหัวเราะ ดูไม่ออกจริงๆ ว่าผู้ชายหนุ่มเติบโตขนาดนี้แล้วแต่ยังชอบเล่นอะไรแบบนี้อีก?

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เธอก็ยังมีเรื่องที่รู้สึกไม่สบายใจ ผู้ชายกับผู้หญิงก็แตกต่างกันจริงๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นเธอ อยากจะผ่าหยกทั้งหมดออกมา เกรงว่าคงใช้เวลาอย่างต่ำห้าถึงหกวัน มากสุดก็คงสิบวันหรือไม่ก็ครึ่งเดือน แต่จ่านป๋ายกลับใช้เวลาเพียงแค่สามวัน แถมดูแล้วก็ไม่ได้เหนื่อยล้าอะไร

 

หรือบางที…เธอควรจะจ้างคนมาผ่าหยกโดยเฉพาะ? ถึงเธอจะไม่รู้ว่าในอดีตจ่านป๋ายจะทำอะไรมาก่อน แต่ก็พอมองออกว่าจ่านป๋ายน่าจะเกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวย เขาไม่เคยตกระกำลำบาก ทำงานที่ใช้แรงงานแถมสกปรกแบบนี้ การที่ให้เขาทำเรื่องเช่นนี้ก็เอาเปรียบเขาอยู่เหมือนกัน

 

แต่ว่า เธอจะจ้างใครดีล่ะ? ห้องใต้ดินของเธอไม่สามารถเทียบได้กับโรงงานแปรรูปหยกทั่วๆ ไป ของที่นำเข้ามาก็เป็นแต่หวยหยก หวยหยกกว่าร้อยก้อนที่อยู่ในนี้ ถ้าเผยให้เป็นชนิดน้ำแข็งสีเขียวก็ถือว่าได้พรจากสวรรค์มากยิ่งนักแล้ว

 

หยกที่เธอมีอยู่ที่นี้ นอกจากที่เธอตั้งใจเลือกมาไม่ดีนั้น ชิ้นอื่นๆ ต่างก็ต้องเป็นหยกแน่นอน

 

ถึงแม้จะเป็นจ่านป๋าย แต่การผ่าหยกทั้งสามวันผ่านมาเขาก็ยังตกตะลึงตาค้าง เมื่อมองไปที่หินหยกราคาหลายสิบล้านแล้ว เธอก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกยาว…หรือจะต้องลำบากตัวเองเสียแล้ว?

 

ตอนที่เธอเรียกหาจ่านป๋ายมาเจรจาปัญหานี้ จ่านป๋ายกลับไม่รู้สึกอะไร เขาเพียงยิ้มแล้วพูดว่า “ความจริงแล้ว ผมก็มีคนหนึ่งที่เหมาะสม!”

 

ซีเหมินจินเหลียนสงสัย ทันใดนั้นก็รู้ว่าเขาหมายถึงใคร จึงขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เขาก็เป็นคุณชาย ตั้งแต่เด็กก็ถูกเลี้ยงมาอย่างดี แล้วจะมาทำงานใช้แรงงานสกปรกแบบนี้ได้ยังไงกัน”

 

จ่ายป๋ายยิ้ม “ถ้าหากเขารู้ว่าในนี้มีหยกตั้งมากมาย เกรงว่าไล่ยังไงเขาก็คงไม่ไป”

 

ซีเหมินจินเหลียนเบ้ปาก แล้วหันไปใส่ใจในการเจียระไนกำไลประกายดาวของเธอต่อ แต่ทำได้เพียงแค่ชั่วครู่เธอก็หยุดแล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดว่า “สิ่งที่พวกคุณเตรียมไว้ ตอนนี้ไปถึงไหนแล้วคะ”

 

“ผมบอกข้อมูลหลินเจิ้งไปผิดๆ ตระกูลหลินตอนนี้กำลังตกอยู่สถานการณ์ลำบาก ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

 

“อืม!” ซีเหมินจินเหลียนก้มหน้าเจียระไนกำไลประกายดาวต่อไป กำไลสองคู่นี้เธอใช้กระบวนการทำแบบโบราณ เป็นกำไลกลมแบบคลาสสิค เมื่อเจียระไนเสร็จทั้งหมด ข้างในกำไลก็จะส่องแสงระยิบระยับ ออกมาอย่างเห็นได้ชัด

 

“จินเหลียน…” จ่านป๋ายลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งตรงข้ามกับเธอ

 

“หืม…มีอะไรเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้าขึ้นไปถามเขา

 

“ตระกูลฉินเกิดปัญหาแล้วครับ”

 

“เกิดอะไรขึ้นคะ” ไม่รู้ว่าทำไมหัวใจซีเหมินจินเหลียนค่อยๆ เต้นแรงขึ้นอย่าง ตระกูลฉิน? ตระกูลของฉินเฮ่า?

 

“ผู้เฒ่าฉินถูกคนฆ่าตายที่บ้านของตัวเอง” จ่านป๋ายพูด “ตรงกลางกระหม่อม ด้วยปืนนัดเดียว!”

 

“อะไรนะ?” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินดังนั้นก็ร้องออกมาอย่างตกใจ คดีฆาตกรรมหรือ? ช่วงที่ผ่านมานี้เธอก็ดูข่าวอยู่บ่อยๆ แต่ทำไมไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้?

 

มุมปากของจ่านป๋ายเชิดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่เยาะเย้ยพูดต่อไปว่า “ถูกปิดข่าวอยู่แล้ว คุณเลยไม่รู้!”

 

“แล้วฉินเฮ่าล่ะ เขาเป็นอะไรไหม?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างกระวนกระวายใจ

 

“ผู้เฒ่าฉินตายไป ทั้งตระกูลฉินก็วุ่นวายขึ้นมา ถ้าตามหลักการแล้วทรัพย์สมบัติทั้งหมดต้องตกเป็นของพ่อของฉินเฮ่า แต่ฉินเฮ่า ฉินซินและยังมีลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ อีก ก็มีสิทธิที่จะครอบครองมรดกในครอบครัว เลยเป็นการต่อสู้อย่างดุเดือด” จ่านป๋ายยิ้มขมขื่น

 

ซีเหมินจินเหลียนไม่รู้จะพูดอย่างไร คนรวยแย่งสมบัติกันในตระกูล ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเธอเลย เธอชอบการปิดประตูอยู่เงียบๆ แล้วมุ่งความสนใจไปที่หยก!

 

“ตระกูลฉินในตอนนี้เกิดเปลวไฟของสงครามแล้ว!” จ่านป๋ายยังคงพูดต่อ “ฉินเฮ่าที่นิ่งเงียบมาตลอด ตอนนี้ก็ออกมาต่อสู้ด้วย สำหรับเรื่องหัวหน้าตระกูลคนถัดไป เขามีสิทธิที่จะชนะ…”

 

“ฉันกับฉินเฮ่าเป็นแค่เพื่อนกัน ขอแค่เขาไม่เป็นอะไร ที่เหลือก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับฉันนี่นา” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าเบาๆ เรื่องแบบนี้ เธอไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่

 

จ่านป๋ายหยิบกระดาษหนังสือพิมพ์ยับย่นแผ่นหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ แล้วเปิดส่งออกไปให้เธอ “คุณดูเองก็แล้วกันครับ”

 

ซีเหมินจินเหลียนสงสัยจึงรับหนังสือพิมพ์มาจากเขา หนังสือพิมพ์ฉบับเย็นของเซี่ยงไฮ้พาดหัวข่าวใหญ่ด้วยตัวหนังสือใหญ่โตเห็นชัดสองตาว่า ‘สองตระกูลใหญ่ขัดแย้ง…เพราะสาวงาม!’

 

“ฉินเฮ่าจัดงานแถลงข่าว ประกาศออกไปว่าการที่เขาแย่งตำแหน่งหัวหน้าของตระกูลฉิน ก็เพียงแค่เพราะเพื่อนสาวคนสนิท!” จ่านป๋ายพูด

 

ซีเหมินจินเหลียนยังคงสงสัย เธอขยับข้อมือที่ใส่กำไลประกายดาวไปอย่างไร้ทิศทาง แล้วถามไปว่า “เขาแย่งตำแหน่งหัวหน้าตระกูล แย่งมรดก มันก็เหมือนเป็นแค่เรื่องภายในของตระกูลฉิน ทำไมถึงจะต้องเรียกนักข่าวมาจัดงานแถลงข่าวด้วยคะ”

 

เขาไม่ใช่ดารา จะต้องทำเรื่องใหญ่โตไปทำไม? ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างไม่เข้าใจ

 

“คุณยังรู้จักเขาไม่ดีพอ” จ่ายป๋ายพูด “ธุรกิจของตระกูลฉินเป็นธุรกิจใหญ่ ทำให้มีผลกระทบต่อธุรกิจในสายงานอื่นๆ สำหรับคนที่จะสืบทอดเป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไป ไม่เพียงแต่มีอำนาจใหญ่ดูแลเรื่องภายในตระกูล เขาได้เตรียมตัวมาไว้หมดแล้ว เพียงแต่ว่าผมคิดไม่ถึงว่าเขาจะใช้วิธีการนี้”

 

“แล้วเรื่องนี้…เกี่ยวอะไรกับฉันกัน” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า การที่เป็นเพื่อน เธอแค่หวังว่าฉินเฮ่าจะสามารถสืบทอดธุรกิจของตระกูลต่อไป แต่ว่าการที่เขาจะแย่งมายังไงนั้น นั่นก็เป็นเรื่องของเขา เธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา จะไปช่วยอะไรได้

 

“เพื่อนสาวคนสนิทที่เขาว่า ก็หมายถึงคุณครับ” จ่ายป๋ายตอบกลับไป

 

“ฉัน?” ซีเหมินจินเหลียนนิ่งอยู่นานพูดอะไรไม่ออก แม้ในข่าวหนังสือพิมพ์เธอจะพอคาดเดาได้ แต่เมื่อจ่านป๋ายพูดยืนยันออกมา มันก็เหมือนอีกเรื่องหนึ่ง

 

“ฉันเป็นแค่ผู้หญิงจนๆ ที่เล่นแต่หินนะ!”

 

“ตัวตนของคุณปิดไม่ได้หรอก คุณกับเขาเคยไปออกงานด้วยกันในวันเกิดของผู้เฒ่าหลิน” จ่านป๋ายถอนหายใจ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ อย่างมากคนก็จะพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างฉินเฮ่าและซีเหมินจินเหลียนก็แค่นั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

 

เพียงแต่ว่า ถ้าหากมีนักข่าวขุดค้นประวัติของเขาออกมาละก็ นี่คงเป็นเรื่องใหญ่แน่

 

ส่วนฉินซินคงไม่ยอมให้ฉินเฮ่าสืบทอดเป็นหัวหน้าตระกูลแน่ เวลานี้คงหาโอกาสที่จะแก้แค้นฉินเฮ่า

 

คิดมาถึงตรงนี้ จ่านป๋ายก็รู้สึกสมองจะระเบิดออกมา เขาไม่เข้าใจ ฉินเฮ่าแย่งสิทธิในการเป็นผู้สืบทอดตระกูลนี่เป็นสิ่งที่พอเข้าใจได้ แต่ทำไมจะต้องเอาซีเหมินจินเหลียนมาเกี่ยวข้องเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมด้วย?