ซีเหมินจินเหลียนก้มหน้าก้มตาเจียระไนทำกำไลประกายดาวของเธอต่อไป เรื่องแย่งชิงทรัพย์สมบัติของคนรวยช่างห่างไกลจากเธอนัก นับตั้งแต่เลิกกับหวังหมิงหยางเธอก็รู้สึกว่าเธอเหมือนอยู่ในโลกแห่งความฝัน…
เพียงแค่รู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดเหมือนไม่ใช่ความจริง เธอมีเงิน มีบ้าน มีรถ แต่ก่อนมีโอกาสได้แค่มองหยกชั้นดีผ่านทางกระจกที่ขวางกั้นเท่านั้น แต่ตอนนี้เหมือนกับมีไว้เป็นของเล่น ถืออยู่ในมือแล้วเล่นมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เครื่องประดับราคาเป็นพันล้าน แต่เธอไม่ได้เก็บไว้ในตู้นิรภัย กลับเอาไปใส่ประดับบนตัว
“จินเหลียน…ผมกำลังคุยกับคุณอยู่นะครับ” จ่านป๋ายเห็นซีเหมินจินเหลียนก้มหน้าไม่พูดไม่จา
“ฉันกำลังฟังอยู่…” ซีเหมินจินเหลียนพูด “เพียงแต่ฉันไม่รู้ว่าต้องทำอะไร สงครามระหว่างพวกเขา ฉันเกี่ยวข้องอะไรด้วย? ฉันแค่อยากมีชีวิตเรียบง่ายอยู่กับการเจียระไนหยก ไปตลอดชีวิตก็เท่านี้”
เธอใส่กำไลที่เจียระไนเสร็จไว้ในข้อมือ ภายในหยกมีแสงระยิบระยับสะท้อนพรั่งพราว ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังคว้าดวงดาวไว้ในมือ แต่ว่าจิตใจของเธอกลับไม่แจ่มใส
“สวยมาก!” จ่านป๋ายเห็นข้อมือสีขาวเนียนใส่กำไลหยกสีเขียวที่มีแสงระยิบระยับ จึงเอ่ยปากชมออกไป “กำไลสวยมาก คนก็สวยเหมือนกัน ถ้าหากมีเพื่อนสาวคนสนิทอย่างนี้ มันก็คุ้มที่จะยอมต่อสู้”
ซีเหมินจินเหลียนหลบหลีกสายตา ขนตาที่งอนยาวได้ปิดสายตาที่เปล่งประกายออกมาราวกับแสงของดาว ช่างน่าสดใสอะไรเช่นนี้!
“เสี่ยวป๋าย ช่วยออกความคิดเห็นให้ฉันหน่อย” ซีเหมินจินเหลียนหันไปมองเขาด้วยสีหน้าขอร้อง
“อะไรหรือครับ” จ่านป๋ายสงสัย ออกความคิดเห็น เธอให้เขาออกความคิดเห็นเรื่องอะไร?
“ฉันกับอนาคต!” ซีเหมินจินเหลียนยังคงพูดต่อ”บางที ฉันควรจะกลับไปที่บ้านเกิด เหมือนกับอาจารย์และคุณย่า ที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายมีความสุขไปจนแก่เฒ่า”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าคุณย่ากับอาจารย์ใช้ชีวิตเรียบง่ายแล้วมีความสุข?” จ่านป๋ายขมวดคิ้วถาม “ศิษยฝ่ายใต้ที่ลึกลับ ท้ายที่สุดจะกลับไปฝังตัวเองอยู่ที่เนินเขาแห้งแล้ง ในนั้นมีความลับอะไรซ่อนเอาไว้อยู่ คุณจะรู้ได้ยังไง?”
ซีเหมินจินเหลียนนั่งเท้าคางถอนหายใจ ใช่แล้ว ถ้าหากอาจารย์และคุณย่าเป็นผู้สืบทอดจากทางใต้ แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องปกปิดชื่อของตัวเองฝังลงไปที่เนินเขาด้วย สุดท้ายใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว?
“ฉันไม่ใช่ศิษย์ฝ่ายใต้” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ผู้เฒ่าหลินจะเข้าใจผิดก็เข้าใจผิดไป เพราะยังไงเธอก็ต้องการสถานะอื่นเพื่อที่จะมาปิดบังพรสวรรค์ของตน แต่ว่าเธอหวังว่าจ่านป๋ายจะไม่เข้าใจผิดไปด้วย
“จินเหลียน สำนักทางใต้จริงๆ แล้วคืออะไรกันแน่ครับ”
“หืม?” ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้าหันไปมองเขา
“จินเหลียน ผมพูดตามตรง” จ่านป๋ายห่างจากเธอพอสมควร ถึงกล้าพูดออกไปว่า “ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับศิษย์ฝ่ายใต้ ผมคิดว่าคุณย่าของคุณและอาจารย์ของคุณ น่าจะเป็นศิษย์ทางฝ่ายใต้…”
“เหลวไหล!” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และพูดด้วยความไม่พอใจว่า “ฉันยอมให้พวกเขาเป็นหญิงชรากับชายแก่ที่อยู่ในชนบทดีกว่า!”
“ช่างเถอะครับ เราไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว” จ่านป๋ายยิ้มอย่างอ่อนโยน “แล้วตอนนี้คุณจะเตรียมตัวทำยังไงต่อไป”
“นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว คุณก็ชอบโม้นักไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่คุณจะแสดงออกมาให้เห็นแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้วพูดว่า “ถ้าไม่อยากให้ฉันไล่คุณออก คุณก็ต้องพยายามแสดงความสามารถให้ฉันดู”
จ่านป๋ายยิ้ม โอเค อย่างไรเขาก็ไม่เชื่อว่า หากมีเขาอยู่แล้วจะมีใครกล้าทำร้ายซีเหมินจินเหลียน ขอแค่เธอมีความสุข เรื่องสิ่งอื่นก็ช่างมันเถอะ เขาก็ทำตัวหยาบคายอารมณ์ร้อนเกินไป มักจะพาตัวเองไปผูกติดกับเรื่องแบบนี้ เพราะฉะนั้นเขาใช้ชีวิตเหมือนเธอที่สงบนิ่งไม่ได้
เดิมทีเขายังคงเป็นกังวลว่าซีเหมินจินเหลียนจะไม่สบายใจ เลยเก็บไว้ค่อยบอกเธอ แต่เรื่องมาขนาดนี้แล้วใครจะสามารถปิดบังต่อไปได้อีก?
แน่นอน เขาไม่คิดว่าซีเหมินจินเหลียนจะผ่อนคลายจิตใจลงได้อย่างสงบ นั่นเป็นเพราะว่าเธอคงผ่านความรักขมขื่นมาเยอะเหลือเกิน ถึงมีพลังบวกได้ขนาดนี้ เมื่อคนเจอเรื่องที่ทำให้สิ้นหวัง ต่อให้ไม่พูดจาอะไร ก็จะเข้าใจได้ด้วยตัวของมัน สำหรับเรื่องของความรู้สึก ซีเหมินจินเหลียนเป็นคนมั่นใจ ถึงแม้ภูเขาไท่ซานจะพังทลายลงมาต่อหน้า สีหน้าของเธอก็ไม่แปรเปลี่ยนเลยสักนิด…
“คุณคงไม่เลือกทดสอบผมแบบนี้หรอกนะครับ?” จ่านป๋ายถาม
“ทำไมจะเป็นไม่ได้คะ?” ซีเหมินจินเหลียนตอบ
จ่านป๋ายกำลังจะพูด แต่ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาก่อน เขาก็อดที่จะนิ่งอึ้งไม่ได้ ก่อนที่เขาจะมาหาซีเหมินจินเหลียน เขาก็ตั้งใจเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่แล้ว คนทั่วไปไม่รู้เบอร์โทรศัพท์ของเขา
จ่านป๋ายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เป็นเบอร์แปลกโทรเข้ามา ไม่ทันได้คิดอะไรเขาก็กดรับ
“จ่านมู่หรง…” ฉินเฮ่าเรียกชื่อเขาผ่านโทรศัพท์ออกมาด้วยน้ำเสียงที่สดใส
ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้าขึ้นมามองไปทางจ่านป๋าย เธอได้ยินสิ่งที่ปลายสายพูดออกมา คิดไม่ถึงว่าฉินเฮ่าจะโทรมาหาเขา เขารู้ว่าชื่อเดิมของจ่านป๋ายคือจ่านมู่หรง?
“ถ้าไม่มีอะไรก็อย่ามารบกวนผม!” จ่านป๋ายพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ต้องมีเรื่องอยู่แล้ว จินเหลียนอยู่หรือเปล่า”
“นี่ก็ไม่ใช่เรื่องไร้สาระเหรอ?” จ่านป๋ายพูดอย่างไม่มีใยดี
“พวกคุณอยู่ที่บ้านกันอย่างนั้นเหรอ” ฉินเฮ่าถามอีกครั้ง
จ่านป๋ายขี้เกียจจะพูดจากับเขา ฉินเฮ่าเลยพูดต่อว่า “ผมโทรเข้าเบอร์ของจินเหลียน แต่ไม่มีใครรับสาย ถ้าอย่างนั้นผมจะเข้าไปหา!”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินดังนั้น ก็นึกขึ้นได้ว่าเธอวางโทรศัพท์ของตัวเองไว้ที่ห้องนอน ส่วนจ่านป๋ายรีบกดวางสายไป สำหรับเรื่องที่ฉินเฮ่าได้เบอร์ของเขามาได้ยังไงนั้นเขาไม่ได้ถามออกไป เรื่องเล็กน้อยแค่นี่ถ้าเขายังทำไม่ได้ ก็ดูจะไก่อ่อนเกินไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะใช้อะไรมาต่อสู้กับฉินซินเพื่อแย่งสิทธิครอบครองมรดกไว้ล่ะ?
“อย่างนั้นฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า” ซีเหมินจินเหลียนลุกขึ้นยืนและเดินออกไปข้างนอก กลับไปที่ห้องนอนเธอแล้วจัดการอาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนไปสวมชุดเดรสกระโปรงยาว เมื่อจับบันไดเดินลงมาก็เห็นจ่านป๋ายและฉินเฮ่านั่งอยู่ด้วยกันที่ห้องรับแขกด้านล่าง
“จินเหลียน!” ฉินเฮ่าลุกขึ้นมา โอบช่อดอกทิวลิปสีขาวช่อใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะน้ำชาส่งไปให้เธอ
“ดอกไม้สวยจังเลยค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนรับมาแล้วพูดขอบคุณ ดอกทิวลิปที่พบเจอได้ทั่วไป แต่ทิวลิปสีขาวถือว่าไม่ค่อยพบเห็นได้บ่อยนัก โดยเฉพาะเมื่อจัดช่อเคียงคู่กับใบไม้สีเขียวเรียวยาวที่แทรกแซมกับดอกไม้สีขาวสดนั่น ช่างทำให้มีความรู้สึกอ่อนโยนละเอียดอ่อน
จ่านป๋ายพูดกลับไปอย่างเย็นชา “คุณจินเหลียนชอบแต่ดอกบัว ไม่ชอบดอกทิวลิป”
“ผมไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับคุณ!” ฉินเฮ่านั่งลงบนเก้าอี้
“พี่ฉิน มีเรื่องอะไรเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนกล่าวพลางนั่งลงไปบนโซฟา
ฉินเฮ่าพยักหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขาก็รู้!” พูดไปพลางหันหน้าไปมองจ่านป๋าย
ซีเหมินจินเหลียนหันหน้าไปมองจ่านป๋ายด้วยความสงสัย หรือว่าจ่านป๋ายจะมีเรื่องอะไรที่ปิดบังเธออยู่งั้นเหรอ? จ่านป๋ายเลยพูดว่า “หุ้นของตระกูลหลินที่อยู่ด้านนอก พวกเราได้ซื้อไว้แล้วสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะว่าผู้เฒ่าหลินแพ้เดิมพันหยกก้อนนั้นไปเลยทำให้หุ้นของตระกูลหลินตกลงอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นพวกเราใช้เงินซื้อไปแค่สองร้อยสามสิบล้าน ถูกกว่าที่คิดไว้ลงไปเยอะทีเดียว
“พวกเราไม่ได้จัดการเรื่องทั้งหมดให้เรียบร้อย!” ฉินเฮ่าอธิบาย “ยังมีหุ้นที่แตกสะพัดอยู่ข้างนอก พวกเราไม่ได้ซื้อไว้ทั้งหมด มากสุดก็แค่ถือไว้แปดเปอร์เซ็นต์ รวมแล้วในมือของพวกเราตอนนี้ถือหุ้นของตระกูลหลินอยู่สิบห้าเปอร์เซ็นต์”
“จินเหลียน หุ้นพวกนี้ ผมได้ใส่ชื่อเป็นชื่อคุณทั้งหมด!” จ่านป๋ายพูด
สำหรับหุ้นที่ได้โอนเป็นชื่อของซีเหมินจินเหลียน เขาและฉินเฮ่าได้เคยเจรจากันไว้แล้ว ถึงจะเป็นความร่วมมือในการทำงาน แต่ทั้งสองคนก็ไม่สามารถที่จะเชื่อใจใครได้ กลัวว่าจะถูกใครเล่นงานเข้า เพราะฉะนั้นจึงใส่ชื่อไปในนามของซีเหมินจินเหลียน ทั้งสองจึงวางใจ
“อืม!” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า สำหรับเรื่องนี้เมื่อคืนตอนกลางคืนจ่านป๋ายได้บอกกับเธอไว้แล้ว เพียงแต่เธอไม่ค่อยเข้าใจเลยไม่ได้ถามรายละเอียด
“จินเหลียน ความหมายของพวกเราก็คือ พวกเราต้องทำบริษัทอัญมณีหยกนี้ขึ้นมา จะได้ไม่เป็นการเอาเปรียบใคร!” ฉินเฮ่าพูด
“เอาเปรียบใคร?” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ “หมายความว่ายังไงคะ”
“ยกตัวอย่างแล้วกัน ถ้าหากพวกเราก่อตั้งบริษัทอัญมณีนี้ขึ้นมา ยอดขายจากหนึ่งร้อยล้านก็กลายเป็นหนึ่งพันล้าน ดังนั้นผู้ถือหุ้นเดิมที่ถือหุ้นในบริษัทนี้ มูลค่าจะสูงเป็นสิบเท่า” จ่านป๋ายอธิบายต่อ “เพราะฉะนั้นพวกเราเจรจา ตกลงกันว่าจะต้องซื้อหุ้นตระกูลหลินที่เหลือเก็บมาไว้ด้วย”
“ต้องใช้เงินเท่าไหร่” ซีเหมินจินเหลียนเริ่มกังวลเกี่ยวกับเงิน เธอไม่กังวลไม่ได้เพราะว่าเงินที่เธอมีอยู่ตอนนี้ ไม่เพียงพอ ยังห่างไกลอีกนัก
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เงินครับ!” ฉินเฮ่าพูดต่อ “ปัญหาที่สำคัญก็คือ…กลัวว่าพวกเขาจะไม่ขาย!”
“ในส่วนหุ้นของเครือญาติตระกูลหลิน ถ้าพวกเขาไม่ขาย มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจ ถึงจะเป็นการทำธุรกิจ แต่ว่าก็ไม่อาจจะบังคับบีบเค้นให้ซื้อขายได้
“วันนี้ตระกูลหลินกำลังตกที่นั่งลำบาก หนทางเดียวของคุณปู่หลินก็คือขอยืมเงินจากตระกูลลู่มาหมุนเวียน แต่ว่าถึงจะเป็นอย่างนั้น…” ฉินเฮ่าวิเคราะห์สถานการณ์ของตระกูลหลินตอนนี้แล้วยังพูดต่อว่า “ตอนนี้เครือญาติของตระกูลหลินจะต้องใช้โอกาสนี้ถอนมือจากหุ้นบริษัทตระกูลหลินเพื่อหลีกเลี่ยงการล้มละลาย ดังนั้นหุ้นที่อยู่ในมือของคนพวกนี้ ไม่น่าจะต้องกังวล ขอแค่มีเงินเพียงพอที่จะซื้อ”
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ถึงเธอจะไม่เข้าใจกลยุทธ์การค้า แต่เธอก็คิดว่าบริษัทตระกูลหลินไม่น่าจะล้มละลายลงง่ายๆ เพราะตระกูลหลินผ่านลมร้อนผ่านหนาวมาก็มากนัก ยังยืนหยัดขึ้นมาได้
สถานการณ์ของตระกูลหลินตอนนี้ สาเหตุน่าจะมาจากคุณปู่หลินเป็นคนหาเรื่องมาให้ แต่ในสายเลือดแท้ๆ ลูกหลานก็ไม่ได้ติโทษโกรธเคืองอะไร แต่ทางเครือญาติกลับไม่คิดอย่างนั้น คำกล่าวโทษย่อมมีแน่นอน ถ้าหากมีโอกาสเปลี่ยนหุ้นในมือเป็นเงินสดประกัน ย่อมจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ?
“แต่ว่า มีหุ้นของคนหนึ่งที่ไม่น่าจะยอมขายง่ายๆ” ฉินเฮ่าพูดอีกครั้ง
“หลินเจิ้ง?” ซีเหมินจินเหลียนลองทายดู
“ใช่แล้วครับ!” จ่านป๋ายพูดต่อ “ถ้าหากซื้อหุ้นที่อยู่ในมือของเขาไม่ได้ พวกเราก็จะควบคุมบริษัทตระกูลหลินไม่ได้ และผมก็คงไม่สบายใจอย่างมาก นี่ก็เหมือนกับว่าเอาเงินตัวเองไปให้คนอื่นลงทุนฟรีๆ!”
“คุณดูมีความมั่นใจมาก!” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม
“ผมว่าตอนนี้พวกเราไม่ควรจะไหวตัวเร็วเกินไป!”
“ทำไม?” ซีเหมินจินเหลียนและฉินเฮ่าถามขึ้นมาพร้อมกัน