ตอนที่ 20 วังบรรพชนทราย โดย Ink Stone_Fantasy
“เจ้ายังไม่เคยเข้าไปในโลกทิพย์ทั้งห้ากระมัง” จู่ๆ จอมมารก็คิดอะไรขึ้นได้ เขามองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิง
“ขอรับ หลังออกจากจักรวาลบ้านเกิดมา ข้าก็เร่งเดินทางไปตามอากาศอันสับสนอลหม่านมาโดยตลอด” ตงป๋อเสวี่ยอิงกล่าว
จอมมารพยักหน้าน้อยๆ
สวบ
เขาพาตงป๋อเสวี่ยอิงแปรเป็นลำแสงสายหนึ่ง พุ่งตรงไปยังผิวโลกทิพย์กิเลนบูรพา มีสิ่งมีชีวิตสายฟ้าอยู่กลางเมฆชั้นแล้วชั้นเล่า และยังมีสิ่งมีชีวิตที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งแอบซ่อนอยู่ ทว่าในฐานะที่จอมมารเป็นแกนนำของขั้นอลวนจึงไม่แยแสทุกสิ่ง เพียงชั่วอึดใจเดียวเขาก็ทะลุผ่านชั้นเมฆมากมาย จนมองเห็นฟ้าดินไกลสุดลูกหูลูกตาอันไร้ที่สิ้นสุด
บัดนี้ท้องฟ้าสว่างรำไร ไกลออกไปมีดวงอาทิตย์ขนาดมหึมากำลังโผล่พ้นขอบฟ้า
ใช่แล้ว
มิใช่เพียงจักรวาลบ้านเกิดเท่านั้นที่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อยู่! ตามตำนานเล่าว่า ในยุคโลกทิพย์โบราณเริ่มแรกสุดนั้น ก็มี ‘ดวงอาทิตย์’ ที่ร้อนระอุและพลุ่งพล่านหาใดเปรียบอยู่แล้ว และยังมี ‘ดวงจันทรา’ ที่เย็นเยียบและเก็บเนื้อเก็บตัวหาใดเปรียบรายล้อมโลกทิพย์โบราณเอาไว้ หลังจากโลกทิพย์โบราณเริ่มแรกสุดระเบิดไปแล้ว โลกทิพย์อีกหลายแห่งซึ่งสร้างขึ้นหลังจากนั้น…ก็ล้วนแต่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์รายล้อมและคอยส่องสว่างทั้งสิ้น
เช่นตอนที่บรรพชนเทียนอวี๋สร้างจักรวาลบ้านเกิดของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงนั้น ก็ได้สร้างดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่มีขนาดเล็กลงขึ้นมาด้วย
เห็นได้ชัดว่าเมื่อมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์สาดส่อง ก็เหมาะสมต่อการวิวัฒน์และเอาชีวิตรอดของสิ่งมีชีวิตมากกว่า
“เป็นดวงอาทิตย์ที่ใหญ่โตนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกตื่นตระหนก ดวงอาทิตย์ซึ่งขึ้นมาจากทางตะวันออกสุดของโลกทิพย์นั้นใหญ่โตมโหฬาร ดวงอาทิตย์ของจักรวาลบ้านเกิดนั้นมิอาจเทียบกับมันได้เลย
“กฎเกณฑ์ของที่นี่ก็แข็งแกร่งเกินไปแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึงเบาๆ
โลกทิพย์นั้นมั่นคงยิ่งนัก กฎเกณฑ์ที่หมุนเวียนก็ยิ่งแข็งแกร่งเข้าไปใหญ่ มีแต่บรรดาเทพจักรวาลซึ่งบรรลุถึงระดับขั้นสูงสุดเท่านั้นจึงอาจจะพอทำลายมันได้ และยังแค่ ‘อาจจะ’ เท่านั้น บรรดาเทพจักรวาลจะทำลายโลกทิพย์สักแห่งหนึ่งนั้นก็มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นเลย อย่างกระบี่ที่สิบสาม ซึ่งเป็นกระบี่สุดท้ายของสิบสามกระบี่ผลาญโลกานั้นสามารถทำให้โลกทิพย์เสียหายได้อย่างแท้จริง หากสำแดงออกมาสักหลายกระบวนท่า ทั้งโลกทิพย์ก็อาจจะแตกทำลายลงได้ แต่นั่นก็เป็นกระบวนท่าที่น่าหวาดหวั่นและต้องห้ามที่สุดในบรรดาลูกไม้การโจมตีของบรรพชนเทียนอวี๋แล้ว หากไม่ถึงชั่วขณะสุดท้าย บรรพชนเทียนอวี๋ก็ไม่มีทางสำแดงกระบวนท่าต้องห้ามเช่นนี้ออกมาอย่างแน่นอน
กระบวนท่านี้เป็นภาระที่ใหญ่หลวงยิ่งนักทั้งสำหรับตัวเขาเอง และจักรวาลภายในกายของเขา
“กฎเกณฑ์แข็งแกร่งเกินไปแล้ว กดดันข้าอย่างร้ายกาจเกินไปแล้ว” ก่อนหน้านี้เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใกล้โลกทิพย์กิเลนบูรพาก็รู้สึกว่าถูกกดดันแล้ว บัดนี้เมื่อเข้าไปในโลกทิพย์กิเลนบูรพา กฎเกณฑ์นี้ก็กดดันมากยิ่งขึ้นไปอีก แม้แต่การมองเห็นและการได้ยินของเขาก็ถูกกดดันอย่างรุนแรง
“ฟิ้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยังลองบินทะยานคราหนึ่ง เขากะพริบวาบคราหนึ่งก็บินกลับมาที่เดิม “ช้านัก!”
ตอนนี้ความเร็วของเขาช้าเสียจนบินได้เพียงห้าหกลี้ในชั่วพริบตา
“ฟ้าดินโลกเทียมหรือ เคลื่อนที่ในอากาศหรือ ทั้งยังมิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาได้จริงๆ น่ะหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงจนใจ
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขารู้ตั้งแต่ก่อนจะมาถึงแล้ว
กฎเกณฑ์ของโลกทิพย์แข็งแกร่งยิ่งนัก เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็มีผู้แกร่งกล้ามากมายราวกับเมฆ เทพแท้ก็มีเหลือคณานับ จำนวนของเทพอากาศก็มากมายยิ่งนัก แกนนำขั้นอลวนก็มีเป็นกอง เทพจักรวาลที่ยืนอยู่ในระดับยอดสุดก็มีหลายท่านด้วยกัน!
ตามที่เขาล่วงรู้มา…
ระดับผู้ท่องอากาศซึ่งเชี่ยวชาญด้านการหลบหลีกเป็นอย่างยิ่ง ก็ต้องหลังจากสำเร็จเป็นเทพอากาศจึงจะสามารถ ‘ทะลุอากาศในระยะทางที่สั้นยิ่งนัก’ ได้ เทียบเท่ากับการเคลื่อนที่ในพริบตา ส่วนผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญ เกรงว่าคงจะต้องถึงระดับ ‘ขั้นรวมเป็นหนึ่ง’ จึงจะสามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้
ส่วนผู้ที่สามารถทะลุอากาศเร่งเดินทางเป็นระยะทางอันไกลลิบยิ่งนักอย่างแท้จริงได้นั้น บรรดาแกนนำขั้นอลวนย่อมสามารถทำได้เป็นธรรมดา ส่วนในหมู่ ‘ขั้นรวมเป็นหนึ่ง’ นั้น มีสิ่งมีชีวิตเพียงจำนวนน้อยนิดที่สามารถทำได้
ส่วนผู้ปกครองเทพแท้น่ะหรือ
ไม่เคยได้ยินว่าสามารถทะลุอากาศภายในโลกทิพย์ได้เลย! กฎเกณฑ์ที่นี่แข็งแกร่งเกินไปแล้ว
“เทพแท้ยังสามารถบินเหินได้ ส่วนเทพโลกานั้นจะบินก็ยังทำมิได้เสียด้วยซ้ำ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเหลือบมองไปยังเบื้องล่าง ไกลออกไปด้านล่างเป็นตัวเมืองแห่งหนึ่ง ภายในตัวเมืองมีผู้อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก บัดนี้ฟ้าดินโลกเทียมของเขาปกคลุมบริเวณเล็กเกินไป เหลืออาณาบริเวณเพียงแค่พันเมตรเท่านั้น! อาศัยการสัมผัสอากาศ ก็สามารถสัมผัสกลิ่นอายของผู้อาศัยภายในตัวเมืองแห่งนั้นได้อย่างพอถูไถ
ผู้อาศัยภายในตัวเมืองนั้น…
ผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นชีวิตเหนือธรรมดา! แม้แต่เด็กน้อยที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว หรือว่าเด็กทารกที่ยังดื่มนม ก็ล้วนเป็นชีวิตเหนือธรรมดาทั้งสิ้น
และผู้ที่เจริญวัยแล้ว ไปจนถึงหนุ่มสาววัยเยาว์ที่เก่งกาจอยู่บ้าง โดยทั่วไปล้วนเป็นเทพทั้งสิ้น
เห็นได้ชัดว่าในโลกทิพย์…ผู้ที่เจริญวัยแล้ว โดยทั่วไปก็ล้วนสำเร็จเป็นเทพได้! ทว่าภายใต้การกดดันของกฎเกณฑ์อัน แข็งแกร่ง แรงทำลายล้างของพวกเขาก็ต่ำเสียยิ่งกว่าต่ำ
ส่วนจำนวนของ ‘เทพโลกา’ ก็น้อยยิ่งนัก ดีร้ายอย่างไรผู้อาศัยภายในตัวเมืองก็มีนับล้าน แต่เทพโลกามีเพียงแค่ไม่กี่สิบท่านเท่านั้น ทั้งยังมิอาจบินเหินได้อีกด้วย
“แม้จะได้รับการกดดันจากกฎเกณฑ์ แต่อย่างน้อยเกิดมาก็เป็นเหนือธรรมดาแล้ว เมื่อเจริญวัยก็เป็นเทพ อายุขัยของพวกเขาล้วนแต่ยาวนานนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย “ดีกว่าสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในจักรวาลบ้านเกิดมากทีเดียว”
“แข็งแกร่งกว่าไม่น้อยก็จริง ทว่าพวกเขาก็มีหายนะอยู่มากมายเช่นกัน” จอมมารเหลือบมองลงไปเบื้องล่างพลางพูดเสียงเรียบ “ระบบการบำเพ็ญเหล่ากลืนกินนั้นง่ายดายที่สุด ทั้งยังแพร่ออกไปเป็นวงกว้างที่สุด ดังนั้นจึงมีผู้บำเพ็ญเหล่ากลืนกินบางตนลงมืออย่างกะทันหัน กลืนกินสิ่งมีชีวิตลงไปชุดใหญ่ กลืนกินลงไปทั้งตัวเมืองก็มีให้เห็นบ่อยยิ่งนัก”
“ดังนั้น…”
“สิ่งมีชีวิตภายในโลกทิพย์ ตามปกติแล้วมีอายุขัยกว่าร้อยล้านปี แต่ก่อนอื่นก็ต้องมีชีวิตอยู่จนถึงวันนั้นให้ได้เสียก่อน!” จอมมารกล่าว “เอาล่ะ เคยสัมผัสมาก่อนกระมัง พอจะเข้าใจโลกทิพย์บ้างแล้วใช่ไหม”
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“ไป”
จอมมารเริ่มพาตงป๋อเสวี่ยอิงแหวกอากาศไป
ก่อนหน้านี้เมื่อเร่งเดินทางไปในอากาศอันสับสนอลหม่าน จอมมารก็ผ่อนคลาย มิได้มีความคุกรุ่นแต่อย่างใด แต่เมื่ออยู่ในโลกทิพย์ การเคลื่อนไหวก็ใหญ่โตกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด
“แคว่กกก…” น้ำวนกาลมิติอันบิดเบี้ยวสายหนึ่งซึ่งมีขอบเขตถึงร้อยจ้างปรากฏขึ้นตรงหน้า จอมมารพาตงป๋อเสวี่ยอิงตรงเข้าไปในน้ำวนกาลมิตินั้น
ห่างจากจอมมารและตงป๋อเสวี่ยอิงไปราวพันลี้
จวนแห่งหนึ่งพลันมีเงาร่างกำยำหนวดดกเฟิ้มสายหนึ่งบินไปกลางอากาศแล้วมอดสายตามองออกไปยังน้ำวนกาลมิติที่ปรากฏขึ้นไกลออกไป บุรุษร่างกำยำหนวดดกเฟิ้มผู้นี้มีดวงตาสีทอง เขาพูดด้วยความตกตะลึงว่า “นี่คือการใช้น้ำวนกาลมิติเร่งเดินทางอย่างนั้นหรือ เป็นสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนหรือ ข้า ข้าพลาดโอกาสครั้งใหญ่เช่นนี้ไปเชียวหรือ!”
โลกทิพย์ใหญ่เกินไปแล้ว
ค่อยๆ บินไปช้าๆ…ผู้บำเพ็ญทั้งหลายรวมทั้งเทพอากาศล้วนไม่มีโอกาสได้เห็นแกนนำขั้นอลวนเลยตลอดชีวิต!
******
วันคืนที่เร่งเดินทางไปช่างแห้งแล้งนัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงมุ่งหน้าไปท่ามกลางน้ำวนกาลมิติอย่างไม่หยุดหย่อน ความคิดจิตใจกว่าครึ่งของเขาถูกใช้ไปกับการค้นคว้าปรัชญาคลื่นลม
สามหมื่นกว่าปีให้หลัง
“ถึงแล้ว” จู่ๆ จอมมารซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดทางก็เอ่ยปากขึ้นทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งแล้วได้สติคืนมา
“ในที่สุดก็ถึงเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงรำพึง ในฐานะแกนนำขั้นอลวน ล้วนสามารถทะลุไปเป็นระยะทางอันยาวไกลภายในโลกทิพย์ได้ ความเร็วในการเดินทางเช่นนี้ ก็ยังต้องใช้เวลาสามหมื่นกว่าปีจึงไปถึงสถานที่ที่เขาจะไปพบสหายได้! หากมิอาจทะลุไปเป็นระยะทางอันยาวไกลได้ การเร่งเดินทางภายในโลกทิพย์ก็ช่างทำให้คนสิ้นหวังเสียจริง
แน่นอนว่าผู้ที่อ่อนแอสามารถเร่งเดินทางไปโดยค่ายกลต่างๆ ได้ แต่นั่นก็ต้องใช้สมบัติล้ำค่าเป็นค่าผ่านทาง!
เมื่อบินออกไปจากทางเชื่อมกาลมิติ
จอมมารและตงป๋อเสวี่ยอิงก็ปรากฏกายขึ้นตรงหน้าวังสีดำอันสูงตระหง่าน
“รอบวังบรรพชนทรายห้ามโบยบิน” ทันใดนั้นก็มีทหารคุ้มกันซึ่งสวมเกราะโบราณสองนายถลาขึ้นสู่ฟ้า พร้อมแววอาฆาตคมกริบอันน่าหวาดหวั่น เกราะบนร่างของพวกเขาล้วนมีสายฟ้าไหลเวียนอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน
ตงป๋อเสวี่ยอิงอดรู้สึกประหวั่นใจมิได้ เขารู้สึกว่าทหารคุ้มกันสองนายนี้ก็เพียงพอจะคุกคามถึงชีวิตของพวกเขาได้แล้ว
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง เขามองออกแล้ว ทหารคุ้มกันสองตนนี้เป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้นเองหรือนี่!
“จอมมารแห่งวังทวีสูญ” จอมมารพูดเสียงเรียบ “บอกนายของเจ้าว่าข้ามาเยี่ยม”
ทหารคุ้มกันสองนายสะดุ้งเล็กน้อย
“ขอรับ” พวกเขาทั้งสองรีบคำนับ แม้รอบอาณาเขตอันกว้างขวางของวังบรรพชนทรายล้วนแต่ห้ามโบยบิน แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนซึ่งมีพลังระดับเดียวกับเจ้านายของพวกเขานั้น มิได้รับผลกระทบจากกฎเกณฑ์นี้
ที่เบื้องล่าง
มีผู้บำเพ็ญกลุ่มใหญ่กำลังรวมตัวกัน ส่วนใหญ่ในจำนวนนั้นล้วนแต่เป็นเทพแท้ และยังมีเทพอากาศจำนวนน้อยนิด พวกเขาทยอยกันนั่งขัดสมาธิลงบนพื้น
ผู้บำเพ็ญที่มาใหม่บางคนยังได้รับแจ้งว่า “ยังไม่ถึงเวลาเลย วังบรรพชนทรายยังมีเวลาประกาศรับศิษย์อีกตั้งสิบหกวัน ครั้งนี้ประกาศรับศิษย์เพียงแค่หนึ่งร้อยคนเท่านั้น เป็นเทพอากาศสิบคนและและเทพแท้เก้าสิบคน เท่าที่ข้ารู้ เทพแท้และเทพอากาศที่กำลังเร่งเดินทางมาก็มีกว่าหมื่นคนแล้ว”
“มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“ข้าผ่านความยากลำบากมามากมายทุกรูปแบบ เกือบจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งตั้งหลายต่อหลายครั้ง ใช้เวลาไปหนึ่งร้อยสามสิบล้านปี ทุ่มเทสมบัติล้ำค่าไปจนสิ้นและยังต้องอาศัยค่ายกลส่งถ่ายกาลมิติ จึงมาถึงที่นี่ได้ในที่สุด ตามตำนานเล่าว่า เมื่อเทียบกันแล้วการเข้าไปในวังบรรพชนทรายนั้นง่ายดายกว่าอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่ารับศิษย์ร้อยคน จะมีผู้บำเพ็ญมามากมายถึงเพียงนี้”
ผู้บำเพ็ญเหล่านี้ต่างก็ทอดถอนใจ ทำได้เพียงนั่งรอคอยอยู่บนพื้น นอกวังบรรพชนทรายมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง…คืออย่างน้อยก็ปลอดภัย! ไม่มีผู้ใดกล้าวิ่งโร่มาถึงที่นี่เพื่อกลืนกินสิ่งมีชีวิตหรอก
แน่นอนว่ามีเพียงตอนที่วังบรรพชนทรายประกาศรับศิษย์เท่านั้นจึงอนุญาตให้ผู้มาจากภายนอกมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ได้ ตามปกติแล้วล้วนต้องขับไล่ไปให้พ้นทันที
……………………………..