เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ผู้สืบทอดหลายสำนักรวมทั้งหลินจิน ก็พากันมีสีหน้าหดหู่
‘สำนักอู๋ซินวางแผนเรื่องนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ?’
‘มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์จริงๆที่พวกเขาฝึกยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญในการยับยั้งวิชาของสำนักต่างๆได้มากขนาดนี้’
‘แล้วแผนการที่พวกเขาเตรียมมาเป็นปีๆจะมาพังแค่เพราะพวกเรามานั่งประชุมกันแบบนี้หรอ?’
เมื่อคิดได้เช่นนี้ พวกเขาทุกคนก็พากันรู้สึกหดหู่
มีแค่เย่หวู่เชิงที่อ่านสีหน้าไม่ได้เนื่องจากความจริงที่ว่าเขาสวมชุดเกราะทั้งตัว ในอีกด้านนึง เฉินเฉินผู้เย็นชาเองก็ยังคงรักษาความสงบเอาไว้ได้
เขาสามารถสัมผัสได้ถึงตัวตนที่ยับยั้งวิชาสายฟ้าของเขา อย่างไรก็ตาม คนๆนั้นไม่กล้าที่จะสบตากับเขาเลย
มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้เนื่องจากระดับฝึกตนของเขาอยู่แค่ขั้นท้ายของสร้างรากฐานและความแข็งแกร่งก็ด้อยกว่าเฉินเฉินเล็กน้อย นอกจากนี้วิชาสายฟ้าไม่ได้เป็นของห้าธาตุที่สามารถยับยั้งได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น ผู้ฝึกตนคนนี้จึงไม่กล้าท้าทายเขาเพราะเฉินเฉินอาจจะตบเขาจนตายได้
“เห้อ สำนักเทียนหยุนของข้าอยู่แค่อันดับ 13 พวกเราไม่คู่ควรพอที่สำนักอู๋ซินจะช่วยฟูมฟักยอดฝีมือที่อยู่จุดสูงสุดของสร้างรากฐานสินะ…”
เฉินเฉินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเพราะสำนักเทียนหยุนโดนดูถูกอย่างเห็นได้ชัด
ในอีกด้านนึง โยวหลานชินที่อยู่ข้างๆกำลังกำหมัดของเธอแน่นด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
ที่อีกฝั่งนึงของห้อง ผู้ฝึกตนธาตุดินที่อยู่จุดสูงสุดของสร้างรากฐานกำลังจ้องมองเธอ และเลียริมฝีปากของเขาอย่างยั่วยุ
“ทุกคนมีคู่แข่งกันหมด เยี่ยมจังเลยนะ” เฉินเฉินนั่งลงอย่างเงียบๆแล้วเริ่มกิน
เมื่อเห็นแบบนี้ หลินจินก็มองฉีปู่ฝานแล้วพูดอย่างเย็นชา “เมื่อเวลามาถึงเจ้าจะลองดีก็ได้นะ”
หลังจากที่พูดจบ เขาก็นั่งลงเหมือนกัน
เมื่อเห็นภาพนี้ คนที่เหลือก็พากันนั่งลง โดยไม่ได้สนใจอีกฝ่าย
สิบแปดคนที่ฉีปู่ฝานพามานั้นนั่งอยู่ที่อีกฝั่งนึงของห้อง พวกเขาดื่มกินพูดคุยและหัวเราะกันไม่หยุด
ด้วยเหตุนี้เอง ภาพแปลกๆจึงเกิดขึ้นที่ชั้นบนสุดของปราณม่วง
พื้นที่นี้ถูกแยกออกเป็นสองฝั่ง โดยมีทางเดินบันไดเป็นเส้นแบ่ง
ผู้คนทางซ้ายกำลังพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ในอีกด้านนึง พวกที่อยู่ทางขวามีบรรยากาศที่ตึงเครียดและหดหู่
…
เมื่อกลับมาที่โรงเตี๊ยมหยี่หลาน เฉินเฉินก็เก็บของต่างๆที่เขาได้มาในระหว่างทางเข้าไปในแหวนเก็บของของเขา
ดูเหมือนเขาจะนึกขึ้นได้ว่าในตอนที่เขาตรวจจับไอเทมครบหนึ่งร้อยชิ้น ระบบได้มอบความสำเร็จที่ให้รางวัลเขาเป็นโอกาสในการค้นหาในระยะสิบกิโลเมตร
ดังนั้น เขาจึงใช้ระบบเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาสามารถใช้ได้เพราะมันอาจจะให้โอกาสตรวจจับพิเศษกับเขาหลังจากที่เขาตรวจจับไอเทมครบ 1,000 หรือ 10,000 ชิ้น
ด้วยความที่พลาดโอกาสในการค้นหาวงกว้างไป เขาจึงรู้สึกไม่ไว้ใจ
พวกผู้หญิงในโรงเตี๊ยมหยี่หลานกำลังเพลิดเพลินกับการต้อนรับแขกอย่างกระตือรือร้น
ตั้งแต่ที่เขาเข้าพักที่นี่ ธุรกิจในโรงเตี๊ยมหยี่หลานก็พัฒนาขึ้นและแม้กระทั่งอันจิ่วเหนียงก็เริ่มยิ้มออกมาบ้างแล้วซึ่งเป็นเรื่องที่หาได้ยากจากเธอ
ในอีกด้านนึง จางจีนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่มุมนึงในขณะที่ยิ้มอย่างมีความสุข
“เจ้าอ่านอะไรอยู่? ดูหน่อยสิ!”เฉินเฉินเข้าไปดูด้วยความสงสัย
มันคือหนังสือนิทานที่มีเรื่องราวอันน่าเศร้าเกี่ยวกับคู่รักคู่หนึ่งที่จบลงด้วยการที่มาพบว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน
ซึ่งตัวละครหลักของเรื่องนี้ก็คือ…
กู่ฉินเจิ้งและฉีปู่ฝาน!
“อะไรวะเนี่ย! นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน?”
เฉินเฉินคว้าหนังสือมาแล้วไล่อ่านอย่างละเอียด ซึ่งเขาก็ต้องประหลาดใจ ชื่อของตัวเอกผู้ชายในเรื่องราวที่น่าตื้นตันแต่พล็อตซ้ำซากนี้เห็นได้ชัดว่าถูกแก้ไขอย่างจงใจ!
เขาพอมองออกอยู่ลางๆว่ามันเคยเป็นชื่อของเขาก่อนที่จะมีการแก้ไข!
“ให้ตายเถอะ คนแก้นี่ไม่ระวังเอาซะเลย! ชื่อของข้าถูกปิดไว้แค่ครึ่งเดียวคืออะไรเนี่ย?”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ จางจีก็หัวเราะในขณะที่ตอบกลับ “พี่ใหญ่ พอข้าเอาพี่มาเป็นตัวเอกแล้วมันค่อนข้างน่าสนใจใช้ได้เลย”
“เจ้าไปได้หนังสือน่ารังเกียจนี่จากที่ไหน?” เฉินเฉินถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ผู้หญิงทุกคนที่อยู่ที่นี่มีสำเนาครับ!”
เมื่อได้ฟังคำตอบของจางจี เฉินเฉินก็ไปขอสำเนามา และก็ได้รู้ว่ามันเหมือนกับสำเนาของจางจีจริงๆ ชื่อของตัวเอกผู้ชายถูกเปลี่ยนจากเฉินเฉินเป็นฉีปู่ฝาน แต่การแก้นั้นสะเพร่าจึงทำให้รู้ได้อย่างชัดเจนว่ามันเคยเป็นชื่อของเฉินเฉิน
“พวกเขากำลังใช้ข้าเพื่อชื่อเสียง! นี่พวกเขากำลังใช้ประโยชน์จากความใจดีของข้าหรอ?” เฉินเฉินถามด้วยสีหน้าสงสัย
ครู่ต่อมา อันจิ่วเหนียงที่นั่งอยู่ข้างห้องก็พูดขึ้นมาอย่างกระอักกระอ่วน “หนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์โดยร้านหนังสือสีชาดที่อยู่ในเมืองหลวง พวกผู้หญิงในเมืองหลวงช่อมอ่านหนังสือของพวกเขา…และหนังสือเล่มนี้ก็เป็นที่นิยมที่สุดในตอนนี้ค่ะ”
“ใครเขียนหนังสือเล่มนี้?” เฉินเฉินถาม
“ข้าไม่รู้ค่ะ แต่ว่า…หนังสือที่มีกู่ฉินเจิ้งเป็นตัวเอกหญิงได้ถูกตีพิมพ์มาในประเทศเจ็ดหรือแปดเล่มแล้ว ซึ่งตัวละครหลักผู้ชายของหนังสือแต่ละเล่มนั้นจะเป็นบุคคลที่ได้รับความนิยม”
หลังจากได้ฟังคำพูดของอันจิ่วเหนียง เฉินเฉินก็รู้ตัวคนร้ายแล้ว
เขาคิดไม่ถึงเลยว่ากู่ฉินเจิ้งจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดด้วย ไม่แปลกใจเลยที่เธอได้เป็นถึงสาวงามที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเมืองหลวง
“กู่ฉินเจิ้งเป็นคนที่เก่งมาก ถ้าข้าดีได้ซักครึ่งนึงของเธอ โรงเตี๊ยมหยี่หลานก็คงจะไม่ตกอยู่ในสภาพที่น่าสังเวชแบบนี้”
ในตอนที่พูดถึงกู่ฉินเจิ้ง มีประกายแห่งความชื่มชมปรากฎขึ้นในดวงตาของอันจิ่วเหนียง
มันก็ช่วยไม่ได้หล่ะนะ บ้านดอกไม้พระจันทร์กับโรงเตี๊ยมหยี่หลานนั้นอยู่คนละโลกกันเลย เธอทำได้แค่ชื่นชมพวกเขาโดยไร้ซึ่งความอิจฉาใดๆ
ในทันทีที่เธอพูดจบ ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมหยี่หลานอีกครั้ง
“ดูสิ! นั่นกู่ฉินเจิ้งนี่!”
ฝูงชนมองไปทางต้นเสียง และในตอนนั้นเองก็ได้เห็นคู่รักคู่หนึ่งกำลังเดินวางท่าอยู่บนถนนเบื้องหน้าโรงเตี๊ยมหยี่หลาน
ผู้ชายสวมชุดสีขาวและกำลังส่ายพัดกระดาษในมือของเขาอย่างสุภาพ เขานั้นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากฉีปู่ฝานซึ่งเฉินเฉินได้พบในหอปราณม่วงเมื่อก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ฉีปู่ฝานดูเหมือนกับสุภาพบุรุษที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตัว ไม่เหมือนกับพวกขี้โวยวายในตอนนั้นเลย
ส่วนผู้หญิงนั้นแน่นอนว่าคือกู่ฉินเจิ้งที่กำลังยิ้มกว้างเหมือนผู้หญิงสวยคนนึง
พวกเขาทั้งสองพูดคุยกันและเดินเล่นไปตามถนนเหมือนกับคู่รัก
“ไม่นึกเลยว่าข้าจะมาผ่านที่โรงเตี๊ยมหยี่หลานอีกแล้ว” กู่ฉินเจิ้งพึมพำด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“ทำไมหล่ะ? ที่นี่มันมีอะไรพิเศษหรอ?”
“แน่นอนค่ะ ที่นี่คือสถานที่ที่ผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนอาศัยอยู่ เขาเป็นผู้สืบทอดคนแรกที่ยอมอาศัยอยู่ในหอโสเภณี ฉินเจิ้งประทับใจเขาเป็นอย่างมากเลยค่ะ”
เมื่อได้ฟังคำพูดของกู่ฉินเจิ้ง ความอิจฉาก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของฉีปู่ฝาน จากนั้นเขาก็ถามอย่าใจเย็น “ถ้าเทียบกับข้าแล้วผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนเป็นยังไงหล่ะ?”
“เขาด้อยกว่าท่านอยู่แล้วค่ะท่านผู้สืบทอด ท่านอยู่อันดับสามในกลุ่มยอดฝีมือทั้ง ๆที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มเช่นนี้และท่านก็เหนือกว่าเย่หวู่เชิงในแง่ของพลังด้วย ในส่วนของความใจกว้างนั้นท่านยอดเยี่ยมกว่าผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนจนเขาเทียบไม่ติดเลยค่ะ”
ความอิจฉาในดวงตาของฉีปู่ฝานหายไปในทันทีและถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้น
อย่างไรก็ตาม ความตื่นเต้นของเขาก็อยู่แค่ชั่วครู่เดียว
“อันที่จริง หลินจินจากสำนักมังกรมรกตอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าด้วยซ้ำ เจ้าอาจจะคิดว่าข้าขี้โม้แต่เจ้าจะได้รู้ความจริงในอีกไม่กี่วันนี้แหล่ะ”
“ข้าเชื่อท่านอยู่แล้วค่ะ ท่านไม่ใช่คนประเภทที่ชอบพูดคุยโว”
…
เฉินเฉินที่อยู่ในโรงเตี๊ยมหยี่หลานได้ยินทุกอย่างชัดเจน เขารู้ว่ากู่ฉินเจิ้งตั้งใจเดินผ่านโรงเตี๊ยมหยี่หลาน
เธอต้องการมายั่วโมโหเขาอย่างเห็นได้ชัด
เฉินเฉินยอมใจเธอจริงๆ
‘แค่มาสาดคำชมใส่แล้วจากไป นี่เธอต้องมาที่นี่เพื่อเอาชนะข้าแน่ ๆเลยใช่ไหม?’
‘มีผู้หญิงที่ใจแคบขนาดนี้อยู่ในโลกด้วยหรอเนี่ย!?’
‘ไม่เพียงแค่ผู้หญิงคนนี้จะพยายามมายั่วโมโหข้า แต่เธอยังใช้หนังสือเพื่อสร้างอิทธิพล…และใช้ประโยชน์จากข้าเพื่อชื่อเสียงอีก’
‘หึหึหึ!’
‘ข้าเคยเสียเปรียบขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?’
อันจิ่วเหนียงที่อยู่ข้างๆเห็นอารมณ์ของเฉินเฉินเปลี่ยนไปหลากหลายรูปแบบ จึงรีบพูดปลอบเขาอย่างรวดเร็ว ในฐานะคนที่มีระดับการฝึกตนอยู่ แน่นอนว่าเธอได้ยินบทสนทนาด้านนอก
“ท่านผู้สืบทอดคะ กู่ฉินเจิ้งเป็นที่รู้จักว่ามีจิตใจคับแคบอยู่แล้ว อย่าเอาเธอมาเก็บเป็นอารมณ์เลยค่ะ เธอก็เป็นแค่ผู้หญิงคนนึง”
ในตอนนี้เอง อันจิ่วเหนียงรู้สึกเขินเล็กน้อยในขณะที่เธอพูดอย่างนุ่มนวล “อันที่จริง ข้าคิดว่าฉีปู่ฝานด้อยกว่าท่านในแง่ของความใจกว้างนะคะ ฉีปู่ฝานไม่มีทางเทียบกับท่านได้ด้วยซ้ำ นอกจากนี้ ท่านผู้สืบทอดเป็นคนที่น่าสนใจมากเลยค่ะและดูเหมือนว่า…. ท่านจะแตกต่างจากคนอื่นด้วย”
“เจ้ารสนิยมดีนะ” เฉินเฉินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จากนั้นเขาก็เปลี่ยนน้ำเสียง
“จิ่วเหนียง เจ้าอยากปรับปรุงโรงเตี๊ยมหยี่หลานรึเปล่า? ข้าช่วยเจ้าได้นะ”
“เอ๊ะ? ท่านผู้สืบทอด ท่านรู้วิธีการทำธุรกิจด้วยหรอคะ?” อันจิ่วเหนียงถามด้วยความตื่นเต้นอย่างถึงขีดสุด
เฉินเฉินมองกู่จิ่วเหนียงแล้วหัวเราะคิกคัก
“แน่นอนอยู่แล้ว ลูกไม้ของกู่ฉินเจิ้งทำอะไรข้าไม่ได้หรอก”