อันจิ่วเหนียงยังคงเงียบอยู่ และคิดว่าเฉินเฉินกำลังคุยโว
ถึงยังไง เฉินเฉินก็ชอบคุยโวอยู่บ่อยๆในระหว่างที่เขาพักอยู่ในโรงเตี๊ยมหยี่หลาน จนถึงขั้นที่ว่าเด็กสาวที่ยังเห็นโลกมาไม่มากพอถึงกับเริ่มชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ต่อให้เธอรู้ว่าเฉินเฉินกำลังคุยโว เธอก็ต้องยอมเห็นด้วยกับเขา ถึงยังไง เขาก็มีสถานะสูงกว่าเธอมาก
“โปรดให้คำแนะนำข้าด้วยค่ะ ท่านผู้สืบทอด”
หลังจากที่เงียบไปซักพัก จิ่วเหนียงก็ตอบอย่างเคารพ
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ เฉินเฉินก็ลังเลอยู่พักนึงก่อนที่จะพูด “ข้าจะไม่ช่วยคนอื่นโดยไม่มีเหตุผลหรอกนะ เพราะฉะนั้นยกหุ้นของโรงเตี๊ยมหยี่หลานมาให้ข้า 50% แล้วข้าจะปรับปรุงมันให้เจ้าเอง”
“เอ๋?” อันจิ่วเหนียงสับสนเล็กน้อย
มันดูสมกับเป็นผู้สืบทอดจริงๆ!
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ของโรงเตี๊ยมหยี่หลาน หุ้น 50% ไม่ได้มีค่ามากมายขนาดนั้น บางที มันน่าจะมีค่าแค่ 300 หินวิญญาณเท่านั้น นอกจากนี้ เธอก็ไม่ค่อยรู้วิธีทำธุรกิจด้วย
ผู้สืบทอดที่อยู่ตรงหน้าเธออาจจะคุยโวได้เก่งกว่าเธอ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ อันจิ่วเหนียงก็กัดฟันพูด “ท่านผู้สืบทอด ถ้านั่นคือสิ่งที่ท่านต้องการ ก็เชิญจัดการกับโรงเตี๋ยมหยี่หลานตามที่ท่านต้องการได้เลยค่ะ ไม่ว่ายังไง ตั้งแต่ที่ข้าเชิญท่านมาที่นี่ ข้าก็ไม่มีทางออกอีกต่อไปแล้ว”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ เฉินเฉินก็ยิ้มแล้วตอบกลับ “เยี่ยม ข้าจะสอนบทเรียนแรกให้เจ้าก่อนก็แล้วกัน”
เฉินเฉินเคยศึกษาด้านการจัดการธุรกิจมาจริงๆในชีวิตก่อนของเขา และแนวคิดทางธุรกิจของเขาก็ก้าวหน้าไปไกลกว่ายุคนี้อย่างแน่นอน
ถ้าสภาพแวดล้อมทางสังคมในมณฑลเสฉวนไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดที่ทุกอย่างต้องจัดการด้วยการต่อสู้ เขาก็คงจะกลายเป็นคนที่รวยที่สุดในมณฑลไปนานแล้ว
ซึ่งเมืองหลวงแตกต่างออกไปเพราะมีกฎทางธุรกิจที่มั่นคง แม้ว่าจะมีขุมอำนาจมากมายที่จัดการเรื่องต่างๆอยู่ในความมืด แต่พวกที่มีความสามารถจริงๆก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ๆ เฉินเฉินก็พูดอย่างจริงจัง “เพื่อที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจ เจ้าจะต้องเข้าใจกระแสความต้องการหลักของโลกนี้ซะก่อน ถ้าเป็นทางด้านวรรณกรรม ผู้หญิงในโรงเตี๊ยมของเจ้าก็ต้องเรียนรู้ที่จะกลายเป็นนักวิชาการและได้รับการขัดเกลา”
“ถ้าเป็นศิลปะการต่อสู้ เด็กสาวที่อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าจะต้องเป็นคนกล้าหาญ ในโลกของเรา การฝึกตนคือการฝึกฝนที่สูงส่งที่สุดซึ่งทุกคนต่างก็ปรารถนา!”
เมื่อได้ฟังบทเรียนของเฉินเฉิน อันจิ่วเหนียงก็เอามือปิดปากด้วยความประหลาดใจและตอบกลับ “ข้าต้องให้พวกผู้หญิงของข้าเข้าสู่หนทางของการฝึกตนหรอคะ?”
“เจ้าคิดเยอะเกินไปแล้ว แบบนั้นมันต้องใช้เงินเยอะเกินไป แต่ว่าเจ้าสามารถทำให้พวกเธอแสดงออกเหมือนกับว่าเป็นผู้ฝึกตนได้ ต่อไป ข้าจะบอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องการสร้างตัวตน”
…
พอมาถึงจุดนี้ อันจิ่วเหนียงรู้สึกเหมือนกับว่าเธอได้รับการสั่งสอนเป็นอย่างดีเพราะใบหน้าของเธอแดงระเรื่อและมีความสับสนอยู่ในดวงตาของเธอ ผนวกกับความชื่นชมอย่างเหลือเชื่อ เธอใกล้จะเห็นทางสว่างแล้ว!
‘น่าประทับใจ!’
‘ความคิดของผู้สืบทอดคนนี้ช่างหลุดโลกยิ่งนัก!’
เธอรับประกันได้เลยว่าถ้าผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนลงมาบริหารหอโสเภณีจริงๆ หอโสเภณีแห่งอื่นที่อยู่ในเมืองหลวงคงได้ปิดตัวลงแน่!
โดยเฉพาะแนวคิดของเขา…
ยกตัวอย่างเช่น เขาแนะนำให้สร้างสำนักปลอมๆขึ้นมาและทำให้ผู้หญิงของโรงเตี๊ยมหยี่หลานเป็นนักบุญหญิงของสำนัก… ช่างเป็นความคิดที่กล้าจริงๆ!
ผู้หญิงจะต้องเปลี่ยนชื่อใหม่โดยมีคำว่านักบุญนำหน้าชื่อของเธอ… และพวกเธอจะต้องรักษาภาพลักษณ์ที่สงบนิ่งและเยือกเย็นเอาไว้
เด็กสาวคนนึงที่ชื่อเซียวหงคงจะต้องเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นนักบุญบัวแดง… และเธอจะต้องเป็นคนที่ชอบวางอำนาจ ไร้เหตุผล และโมโหง่าย
เฉินเฉินเรียกมันว่าการสร้างตัวตน!
“เจ้าปรับปรุงห้องในโรงเตี๊ยมหยี่หลานใหม่และทำให้พวกมันดูมีพลังปราณจะดีกว่า แน่นอนว่า นี่เป็นแค่การเริ่มต้น หลังจากที่สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแล้ว เจ้าต้องเรียนรู้วิธีการทำตลาดให้โรงเตี๊ยมของเจ้าด้วย วิธีทำการตลาดที่ได้ผลที่สุดและรวดเร็วที่สุดก็คือการกระตุ้นมันด้วยการสร้างเหตุการณ์สำคัญและจากนั้นก็วางตำแหน่งให้โรงเตี๊ยมหยี่หลานกลายเป็นจุดเด่น… วิธีการของกู่ฉินเจิ้งมันช้าและดูปลอมเกินไป”
…
มันคือช่วงเที่ยงแล้ว
ในโรงเตี๊ยมหยี่หลาน โยวหลานชินมองเฉินเฉินด้วยสีหน้าผิดหวัง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสน
“พี่ใหญ่เฉิน นี่ท่านจะให้ข้าทำเรื่องแบบนั้นจริงๆ หรอคะ! ท่านช่างน่าผิดหวังจริงๆ!”
“หมายความว่ายังไง? ข้าไม่ได้ให้เจ้าขายอะไรซักหน่อย ข้าแค่ขอให้เจ้าสอนผู้หญิงพวกนี้ถึงวิธีการทำตัวให้ดูน่าอวดขึ้นเท่านั้นเอง”
เฉินเฉินพูดอย่างไร้อารมณ์
“เห็นข้าเป็นคนขี้อวดหรอคะ? ข้าเป็นคนที่เยือกเย็นและสำรวมตามธรรมชาติต่างหากหล่ะ…” โยวหลานชิน หน้าแดงเล็กน้อย เธอเก็บอารมณ์ไว้ไม่ได้เพราะช่วงนี้เธอเจอเรื่องเครียดมากเกินไป ท้ายที่สุดแล้ว เฉินเฉินก็มองเธอออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
“เจ้าสัญญาแล้วไม่ใช่หรอว่าจะทำทุกอย่างเพื่อข้า? ตอนนี้เจ้าคิดจะกลับคำพูดรึไง?” เฉินเฉินพูดอย่างเย็นชา เหมือนกับว่าเขาจะคุกคามไม่ใช่ปกป้องเธอถ้าเธอไม่ช่วยเขา
เมื่อเห็นแบบนี้ โยวหลานชินก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมตกลงกับเขาและยิ้มอย่างจนปัญญา
ดังนั้น ในช่วงบ่ายนี้ โรงเตี๊ยมโยวหลานชินจึงค่อนข้างวุ่นวาย
มีงานปรับปรุงเกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกโรงเตี๊ยม มีผู้หญิงกลุ่มนึงที่เขาร่วมการฝึกและได้เรียนรู้วิธีการล้างสมองและหลอกตัวเอง
เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินเฉินก็ค่อนข้างมีความมั่นใจ
เขาไม่สามารถอยู่ในเมืองหลวงนานเกินไปได้และด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงมีเวลาบริหารโรงเตี๊ยมหยี่หลานไม่นานนัก อย่างไรก็ตาม ด้วยความสามารถของเขา เขาคงจะฆ่าธุรกิจของกู่ฉินเจิ้งได้อย่างง่ายดาย
ในตอนนั้น เขาคงจะได้รับหินวิญญาณจำนวนไม่น้อยเลยหล่ะ
และในตอนที่เขากลับมาที่เมืองหลวงอีกครั้ง เขาคงจะเป็นคนใหญ่คนโตในอุตสาหกรรมนี้แล้ว
…
ในช่วงเช้าของวันต่อมา
ในบ้านดอกไม้พระจันทร์ กู่ฉินเจิ้งพึ่งตื่นขึ้นและในทันทีที่เธอเดินออกมาจากห้อง พนักงานคนนึงก็เดินขึ้นมาหาเธอแล้วพูดขึ้น “นายหญิง มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมหยี่หลานเมื่อวานนี้ค่ะ ไม่เพียงแค่จะมีการปรับปรุงขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว แต่พวกเขายังซื้อวัตถุวิญญาณด้วยเงินจำนวนมากอีก!”
เมื่อได้ฟังดังนี้ ดวงตาของกู่ฉินเจิ้งก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจในทันที
‘ในที่สุดผู้สืบทอดที่เข้าพักโรงเตี๊ยมหยี่หลานก็เคลื่อนไหวแล้วหรอ?’
อันที่จริง มันคงจะแปลกถ้าเขาไม่ทำอะไรเลย โรงเตี๊ยมหยี่หลานได้รับความนิยมมาอย่างบากบั่น ถ้าพวกเขาไม่มีความพัฒนาอะไรเลย มันก็คงจะเป็นการสูญเสียโอกาสที่ยอดเยี่ยมไป
“ปล่อยพวกเขาไป ฉีปู่ฝานได้เข้าพักบ้านดอกไม้พระจันทร์และผู้สืบทอดที่มีชื่อเสียงคนอื่นก็ได้เข้าพักหอโสเภณีอื่นเหมือนกัน โรงเตี๊ยมหยี่หลานสูญเสียโอกาสที่ดีที่สุดของพวกเขาไปแล้ว ไม่ว่าตอนนี้พวกเขาจะทำอะไร ทั้งหมดมันก็สายเกินไปแล้ว”
กู่ฉินเจิ้งหาวในขณะที่เธอพูดอย่างใจเย็น
เธอหายโมโหผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนและได้ทำการแก้แค้นไปเมื่อวันก่อนแล้ว ดังนั้น เธอจึงอารมณ์ดีและนอนหลับฝันดีเมื่อคืน
“นายหญิง ข้าได้ข่าววงในมาว่าความเปลี่ยนแปลงในโรงเตี๊ยมหยี่หลานเมื่อวานเป็นฝีมือของผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุนค่ะ!”
พนักงานพูดอย่างระมัดระวังด้วยสีหน้าหวั่นเกรง
‘ผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุนดูเหมือนจะกลัวว่าคนอื่นจะทำเรื่องที่ไร้อย่างอายกว่าเขารึไงนะ ช่างมันเถอะถ้าเขาอยู่ในหอโสเภณี เขาก็ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องการจัดการธุรกิจอยู่แล้ว…’
‘หรือว่าเป็นหลักปฏิบัติของผู้สืบทอด?’
“หืม? น่าสนใจดีนี่ ผู้สืบทอดของสำนักเทียหยุนรู้วิธีทำธุรกิจด้วยหรอ?”
กู่ฉินเจิ้งหัวเราะอย่างดูถูก
เธอแสดงความดูถูกที่เธอมีต่อมือใหม่ในอุตสาหกรรมนี้ในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์โชกโชน
“เขาอาจจะโกรธกับสิ่งที่นายหญิงทำลงไปเมื่อวานก็เลยอยากพัฒนาหยี่หลานเพื่อเอาชนะท่านหล่ะมั้งคะ”
พนักงานพึมพำออกมาเบาๆ นอกจากเรื่องนี้ เขาไม่สามารถคิดหาเหตุผลอะไรที่ผู้สืบทอดจะเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องหอโสเภณีได้เลย
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ กู่ฉินเจิ้งก็อดหัวเราะออกมาดังลั่นไม่ได้
“อย่าล้อข้าเล่นหน่า ข้าไม่สามารถแข่งกับเขาในเรื่องการฝึกตนได้ แต่ในแง่ของธุรกิจ เฉินเฉินสิบคนก็สู้ข้าไม่ได้หรอก ข้าเป็นผู้นำบ้านดอกไม้พระจันทร์ในการเอาชนะธุรกิจอื่นที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ และตอนนี้ พวกเราก็ขึ้นเป็นอันดับสองในประเทศ การที่เขาพยายามเอาชนะข้ามันก็น่าขบขันพอๆกับการที่ข้าไปสู้กับเขาในลานประลองนั่นแหล่ะ”
พนักงานรู้สึกว่าเธอพูดมีเหตุผล
กู่ฉินเจิ้งจะต่อสู้กับผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนไปทำไม? มันเป็นไปไม่ได้เห็นๆอยู่แล้ว เว้นเสียแต่ว่าเธอจะไปหาเรื่องตาย
มันก็เหมือนกับการทำธุรกิจ ผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนอาจจะนำความตายมาให้ตัวเองและโรงเตี๊ยมหยี่หลานก็ได้
“เอาเถอะ ข้าจะถอนตัวเองแล้วกัน!”
พนักงานโค้งคำนับแล้วถอยไป ในขณะที่เขากำลังเตรียมตัวกลับนั้น เสียงเชียร์ก็ดังลั่นมาจากข้างใต้บ้านดอกไม้พระจันทร์
“ข่าวร้าย! ผู้สืบทอดของสำนักโยวฉุยและนักบุญกุหลาบแดงกำลังต่อสู้กันหน้าโรงเตี๊ยมหยี่หลานต่อหน้าผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุน!”
พอได้ฟังเช่นนี้ ทั้งบ้านดอกไม้พระจันทร์ก็ตกอยู่ในความเงียบ และหลังจากนั้นในทันที ผู้คนก็เริ่มส่งเสียงโหวกเหวก
“ว่าไงนะ! มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรอ!?”
“ให้ตายเถอะ! ข้าอยากไปดูชะมัด!”
ครู่ต่อมา มันก็เกิดความวุ่นวายขนาดใหญ่ในบ้านดอกไม้พระจันทร์ และแขกกว่าครึ่งนึงก็พากันแห่ออกไป