ก่อนที่กู่ฉินเจิ้งจะทำการยืดเส้นยืดสายตอนเช้าเสร็จ บ้านดอกไม้พระจันทร์ก็ตกอยู่ในความวุ่นวายแล้ว

 

ในตอนนี้ มีหญิงสาวมากมายที่มองไปทางโรงเตี๊ยมหยี่หลานด้วยความปรารถนาในดวงตาของพวกเธอโดยไม่รู้ตัว

 

“นายหญิง… ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนจะเป็นที่นิยมมากจนมีผู้หญิงสองคนมาต่อสู้แย่งชิงเขา”

 

พนักงานรู้สึกอิจฉาอย่างมากและเขารู้สึกเหมือนกับว่าเฉินเฉินประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว

 

“เจ้ารู้อะไรบ้าง!?!”

 

ดวงตาของกู่ฉินเจิ้งเย็นยะเยือกในขณะที่เธอเดินลงบันไดไปในทันทีแล้วรีบมุ่งหน้าไปที่โรงเตี๊ยมหยี่หลาน

 

ในตอนนี้ เธอมีความรู้สึกลางๆว่าละครการต่อสู้แย่งชิงผู้สืบทอดของสองสาวนั้นมีคนจงใจทำให้มันเกิดขึ้น

 

และถ้าเป็นอย่างนั้น… มันก็คงจะน่ากลัวจริงๆ!

 

ในขณะที่เธอเดิน สีหน้าของเธอก็ค่อยๆเครียดหนักขึ้น ในขณะที่มีผู้คนบนท้องถนนมากขึ้นเรื่อย ๆ แทบจะทุกคนกำลังวิ่งไปทางเดียวกัน

 

มีแม้กระทั่งยามประจำเมืองที่มาเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย!

 

หลังจากนั้นสักพัก ในที่สุดเธอก็ใกล้จะถึงโรงเตี๊ยมหยี่หลานแล้ว อย่างไรก็ตาม เธอไม่สามารถเข้าไปได้มากกว่านี้เพราะถนนด้านหน้าโรงเตี๊ยมหยี่หลานเนืองแน่นไปด้วยผู้คน

 

ทุกคนกำลังมองไปยังจุดหมายเดียวกันจากที่ไกลๆ ที่ซึ่งบ้านเก่าโกโรโกโสหลังนึงได้พังลงมาแล้ว มีร่องรอยการต่อสู้อย่างชัดเจน!

 

“ข้าได้ยินมาว่าเซียนหญิงดอกบัวแดงกับเซียนของสำนักโยวฉุยได้ต่อสู้กันมากว่าหนึ่งร้อยยกแล้ว แต่ว่า เซียนหญิงดอกบัวแดงเป็นฝ่ายแพ้!”

 

(*ขอเปลี่ยนจากนักบุญเป็นเซียนหญิงครับ)

 

“อย่างงั้นหรอ? ดุเดือดกันจริงๆ! มันเป็นเพราะผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุนจริงๆใช่ไหม?”

 

กู่ฉินเจิ้งกำลังฟังผู้คนรอบข้างที่กำลังพูดคุยกันอย่างดุเดือด

 

“ใช่เลย เซียนดอกบัวแดงยืนกรานว่าจะฝึกตนด้วยกันกับผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนสองต่อสองแต่เซียนของสำนักโยวฉุยไม่พอใจกับความคิดนั้นพวกเธอก็เลยต่อสู้กัน

 

“น่าตื่นเต้นดีนี่!”

 

“มีที่น่าตื่นเต้นกว่านั้นด้วยนะ มีข่าวลือว่าเซียนดอกบัวแดงกำลังฝึกฝนวิชาลับที่ต้องให้เธอฝึกตนกับผู้ชายแค่สองต่อสอง ไม่อย่างนั้นเธอจะถูกวิชาครอบงำแล้วตายได้!”

 

“หนอย! เธอน่าจะมาขอให้เข้าร่วมกับเธอนะ! ข้าอาจจะแก่แต่ข้ายังต่อสู้ได้อยู่!”

 

“ข้าก็จะไปด้วย!”

 

“ฝันไปเถอะ เธอเป็นเซียน!”

 

เมื่อได้ฟังบทสนทนาพวกนี้ ใบหน้าของกู่ฉินเจิ้งก็หดหู่อย่างเหลือเชื่อ

 

เธอแทบจะมั่นใจว่ามีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ถึงยังไง มันจะไปมีเซียนไร้สาระแบบนั้นได้ยังไงกัน?

 

‘เป็นใครกันแน่นะ? เฉินเฉินผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนหรอ?’

 

‘เป็นไปไม่ได้ ผู้สืบทอดคนนั้นจะเจ้าเล่ห์ขนาดนั้นได้ยังไง?’

 

อย่างไรก็ตาม นอกจากผู้สืบทอดแล้ว เธอนึกถึงคนอื่นไม่ออกเลย เนื่องจากผู้สืบทอดของสำนักโยวฉุยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

 

‘ไอ้คนน่าไม่อายนั่นน่าจะเป็นคนที่ทำให้เซียนสองคนนั้นมองข้ามภาพลักษณ์ของพวกเธอและทำเรื่องแบบนั้น…’

 

ด้วยความคิดเช่นนี้ กู่ฉินเจิ้งก็รู้สึกได้ถึงวิกฤตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

 

เธอไม่สามารถคิดวิธีแบบนี้ได้และต่อให้เธอคิดได้ เธอก็ไม่มีทรัพยากรที่จะดำเนินการ

 

“ต่ำช้าที่สุด!”

 

ด้วยการเดินกระแทกเท้าอย่างเกรี้ยวกราด กู่ฉินเจิ้งก็เดินกลับไปยังเส้นทางที่เธอมา เธอพึ่งจะระบายความโกรธไปเมื่อวานแต่เขาก็แก้แค้นอีกครั้งจริงๆ และทำให้เธอรู้สึกโกรธอย่างเหลือเชื่อ

 

ในอีกด้านนึง ขุนนางมากมายได้ส่งคนของพวกเขามาที่โรงเตี๊ยมหยี่หลานเพื่อหาวิธีช่วยเซียนดอกบัวแดง

 

พวกเขาพูดซ้ำๆไม่ยอมหยุดว่าเซียนหญิงตกอยู่ในอันตรายและในฐานะคนหนุ่มนิสัยดีของเมืองหลวง พวกเขาไม่สามารถปล่อยให้เธอล้มเหลวโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือได้…

 

 

ในวันต่อมา ลูกค้าที่สัญจรเข้าออกโรงเตี๊ยมหยี่หลานก็มากกว่าปกติถึงสิบเท่า

 

สภาพแวดล้อมที่เหมือนกับสำนักในโรงเตี๊ยมหยี่หลานนั้นได้มอบประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์อย่างเหลือเชื่อให้กับพวกเขา

 

ในโรงเตี๊ยมหยี่หลานมีอยู่ทั้งหมดห้าชั้นและแต่ละชั้นก็มีการตกแต่งไม่เหมือนกัน และผู้หญิงในแต่ละชั้นก็มีสไตล์ไม่เหมือนกันด้วย

 

ชื่อของพวกเธอถูกเปลี่ยน และคุณค่าของพวกเธอก็เพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่า ในเวลาแค่วันเดียว โรงเตี๊ยมหยี่หลานก็ได้เงินเท่ากับรายได้ของปีที่แล้วรวมกัน

 

ในตอนที่พวกเธอว่าง หญิงสาวมากมายก็เต็มไปด้วยความร่าเริงและเข้ามาขอบคุณเฉินเฉินอย่างเต็มที่

 

พวกเธอไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนึงที่พวกเธอจะสามารถมีความสุขกับการปรนนิบัติที่แม้แต่ยิ่งที่สวยที่สุดก็ไม่สามารถเพลิดเพลินได้

 

 

เวลาค่ำ

 

อันจิ่วเหนียงโค้งคำนับเบื้องหน้าป้ายเคารพหลุมศพของแม่เธอ

 

ถ้าแม่ของเธอยังอยู่และเห็นสถานการณ์ในโรงเตี๊ยมหยี่หลานในวันนี้ เธออาจจะยิ้มอยู่ในหลุมศพของเธอก็ได้

หลังจากที่ออกมาจากที่เคารพ อันจิ่วเหนียงก็เดินเข้าไปในสวนและเธอก็อดตกใจไม่ได้

 

มันจะถึงวันต่อสู้ของ 36 สำนักแล้ว แต่ผู้สืบทอดกลับเลือกที่จะพักผ่อนแทนเนี่ยนะ?

 

เมื่อคิดแบบนี้ อันจิ่วเหนียงก็เดินเข้าไปใกล้แล้วกระซิบ “ท่านผู้สืบทอด ท่านกำลังกังวลเรื่องการต่อสู้วันพรุ่งนี้อยู่หรอคะ?”

 

“ไม่ใช่หรอก” เฉินเฉินไม่ได้หันกลับมาแต่เขาเงยหน้ามองพระจันทร์อย่างเงียบๆแทน

 

“ถ้างั้นทำไมหล่ะคะ? ข้าอาจจะอ่อนต่อโลกและอาจจะไม่สามารถแบ่งเบาภาระให้ท่านได้แต่ข้ายินดีเป็นผู้ฟังอย่างเงียบๆค่ะ”

 

น้ำเสียงของอันจิ่วเหนียงอ่อนโยน เฉินเฉินได้ช่วยให้โรงเตี๊ยมหยี่หลานพัฒนาขึ้นเป็นอย่างดีในเวลาแค่ไม่กี่วัน แนวคิดที่น่าเหลือเชื่อของเขาสร้างความตกตะลึงให้เธอจริงๆ

 

ตอนนี้ในเมื่อจู่ ๆเขาก็แสดงความเศร้าโศกออกมาอย่างกะทันหัน เธอจึงหักห้ามใจไม่ให้ได้รับผลกระทบและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของเขาไม่ได้ ความสุขที่เธอรู้สึกจากความเปลี่ยนแปลงในโรงเตี๊ยมหยี่หลานได้หายไปกว่าครึ่งนึง

 

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ เฉินเฉินก็หันกลับมาแล้วพูดอย่างนุ่มนวล “แผนการดั้งเดิมที่ให้เกณฑ์ผู้หญิงมาเพิ่มอีกในวันพรุ่งนี้เอาเป็นว่าขอยกเลิกแล้วกัน”

 

“เอ๊ะ? ทำไมหรอคะ?”

 

อันจิ่วเหนียงตกใจเล็กน้อย

 

เฉินเฉินถอนหายใจด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน หลังจากผ่านไปพักใหญ่ๆ เขาก็พูด “ในบางอุตสาหกรรม ข้าอาจจะไม่รู้สึกถึงความสำเร็จต่อให้ข้าไปถึงจุดสูงสุดแล้วก็ตาม”

 

หลังจากได้ฟังคำพูดของเขา สีหน้าของอันจิ่วเหนียงก็หดหู่ขึ้นมา

 

มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ อุตสาหกรรมนี้มันไม่น่านับถือเลย

 

“ท่านพูดถูกแล้วหล่ะค่ะ ท่านผู้สืบทอด ไม่มีใครเต็มใจเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ก็แค่ถูกสถานการณ์บังคับเท่านั้น”

 

เฉินเฉินตกอยู่ในความเงียบในขณะที่เขานึกถึงหน้าตาหื่นกระหายของแขกและวิธีที่เด็กสาวทำตัวให้ดูเคร่งขรึมตามคำแนะนำของเขา

 

ในตอนนี้ เขารู้สึกเหมือนเป็นคนที่ชั่วร้าย

 

“สุดท้ายแล้ว ข้าก็เป็นแค่เด็กหนุ่มที่มีจิตใจดีและสดใส ข้าไม่สามารถทำงานในอุตสาหกรรมแบบนี้ได้เพราะข้าจะรู้สึกผิด”

 

หลังจากที่ใจเย็นลงแล้ว เฉินเฉินก็ได้ข้อตกลงกับตัวเอง

 

การตรวจสอบหอโสเภณีหรือการพัฒนาโรงเตี๊ยมหยี่หลานนั้น เขาทำลงไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบล้วน ๆ

 

หลังจากที่ความโกรธของเขาหายไป ในที่สุดเขาก็รู้สึกตัวว่าเขาไม่ชอบอุตสาหกรรมแบบนี้เลย

 

เขาจะรู้สึกแย่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เขาเห็นพวกผู้หญิงที่ค่อยๆเข้าไปใกล้ และพยายามที่จะโปรยเสน่ห์และยั่วยวนคนอื่นด้วยเสน่ห์ของพวกเธอ

 

มันเป็นเพราะเขาเห็นด้านที่แท้จริงของผู้หญิงเหล่านี้ที่มีความอ่อนไหวเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ คงจะไม่มีใครเต็มใจเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้ด้วยความตั้งใจของตัวเอง

 

“ท่านผู้สืบทอด ท่านคิดว่าพวกเราควรทำยังไงดีคะ?” อันจิ่วเหนียงถาม

 

“จิ่วเหนียง เจ้าชอบทำงานในอุตสาหกรรมนี้รึเปล่า?” เฉินเฉินถาม

 

“ถ้าให้พูดตามตรง… ข้าเองก็ไม่ชอบค่ะ ตอนนั้น ข้าคิดว่าถ้าโรงเตี๊ยมหยี่หลานเจ๊ง ข้าก็จะได้เป็นอิสระ”

 

อันจิ่วเหนียงพึมพำ หลังจากได้ฟังคำพูดในคืนนี้ของเฉินเฉิน เธอก็นึกถึงสาเหตุที่เธอยอมจ่ายหินวิญญาณ 300 ก้อนด้วยอารมณ์ชั่ววูบเพื่อเชื้อเชิญผู้สืบทอดคนนึง…

 

มันเป็นเพราะจิตใต้สำนึกของเธออยากจะทำให้โรงเตี๊ยมหยี่หลานปิดตัวลงจริงๆ

 

“ถ้าอย่างนั้น โรงเตี๊ยมหยี่หลานก็ควรจะคงอยู่ในสภาพแบบตอนนี้ อย่าขยับขยายไปมากกว่านี้อีก หลังจากผ่านไปซักพัก พวกเราจะเปิดร้านที่แตกต่างออกไปใกล้ๆโรงเตี๊ยมหยี่หลาน และพวกผู้หญิงก็จะได้ทำตามที่พวกเธอต้องการ”

 

เมื่อได้ฟังคำพูดของเฉินเฉิน อันจิ่วเหนียงก็ตกอยู่ในห้วงความคิด

 

เธอสามารถบอกได้เลยว่าเขาให้เกียรติพวกเธอ

 

เขาไม่ได้บังคับพวกผู้หญิงให้เปลี่ยนเส้นทางอาชีพและให้ทำการตัดสินใจ แต่เขาแค่เสนอตัวเลือกเพิ่มเติมสำหรับชีวิตของพวกเธอ

 

ผู้สืบทอดที่สูงส่งคนอื่นๆจะเป็นคนช่างคิดและมีจิตใจดีขนาดนี้ได้รึเปล่า? แน่นอนว่า คนพวกนั้นคงไม่คิดจะแสดงความเห็นใจกับผู้หญิงพวกนี้หรอก อันที่จริง พวกเขาค่อนข้างสมเพชมนุษย์ด้วยซ้ำ

 

ชายที่เธอกำลังเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้เป็นคนที่พิเศษมากจริงๆ

 

เขาเป็นยอดฝีมืออย่างเห็นได้ชัดแต่เขาก็เคารพมนุษย์ด้วย

 

ในตอนที่เธอตกอยู่ในความสับสน เฉินเฉินก็เดินไปที่ห้องของเขาแล้ว

 

ในตอนนี้เอง อันจิ่วเหนียงก็ตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว “ท่านผู้สืบทอด! รอเดี๋ยวก่อนค่ะ!”

 

“มีอะไรล่ะ?” เฉินเฉินหยุดฝีเท้าของเขา

 

ในตอนที่มองแผ่นหลังของเฉินเฉิน อันจิ่วเหนียงก็พูดไม่ออกไปพักนึง หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็โค้งคำนับแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “การได้มาพบกับท่านผู้สืบทอดนั้นถือเป็นพรสำหรับข้า จากก้นบึ้งของหัวใจข้านั้น ข้าอยากให้ท่านทุ่มเต็มที่ในวันพรุ่งนี้และข้าหวังว่าท่านจะได้รับชัยชนะ และมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่ในหนทางแห่งการฝึกตนค่ะ!”