“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องห่วง ถ้าข้าไม่ประสบความสำเร็จคนอื่นก็คงจะไม่หรอก”
เฉินเฉินหัวเราะดังลั่นและเดินกลับไปที่ห้องของเขา
ในทันทีที่เขาเข้าไปในห้อง เหรียญสื่อสารก็สว่างขึ้นมา ซึ่งเฉินเฉินก็ได้หยิบมันออกมาดู และในตอนนั้นเองเขาก็ได้รับข้อความจากอาจารย์ของเขาเซี่ยวอู่โยว และมันก็มีแค่ประโยคสั้นๆเพียงประโยคเดียว
“ศิษย์เอ๋ย ข้าได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นกลางของก่อกำเนิดวิญญาณสำเร็จแล้ว”
ประโยคนั้นสั้นแต่มีความหมายที่พิเศษอยู่
ถ้าเขาอยู่ขั้นต้นของก่อกำเนิดวิญญาณ สำนักอู๋ซินก็คงจะฆ่าเขาได้ไม่ยาก แต่ตอนนี้เขาอยู่ขั้นกลางของก่อกำเนิดวิญญาณแล้ว มันคงจะทำแบบนั้นได้ยากขึ้น
ถ้าเซี่ยวอู่โยวเป็นคนที่เหี้ยมโหดจริงๆและยอมสละสำนักเทียนหยุนเพื่อสร้างปัญหาให้สำนักอู๋ซิน สำนักอู๋ซินก็คงจะได้ปวดหัวกันครั้งใหญ่เหมือนกัน
สรุปสั้นๆเลยก็คือ มันเป็นสถานะฝึกตนที่สูงพอที่จะคุกคามสำนักอู๋ซิน
ดังนั้น หลังจากที่อ่านข้อความแล้ว เฉินเฉินจึงเผยรอยยิ้มออกมาจากใจของเขา ‘ท่านอาจารย์ไม่ได้ปล่อยให้สมบัติสวรรค์พวกนั้นต้องสูญเปล่าเลยสินะ’
…
ในขณะที่เวลาผ่านพ้นไป ท้องฟ้าก็ค่อยๆสว่างขึ้น
อาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองในประเทศได้มารวมตัวกันด้วยความตั้งใจของตัวเองที่ลานกว้างของเมืองหลวง
ทุกคนต่างให้ความสนใจกับการแข่งขันต่อสู้จัดอันดับของ 36 สำนักเพราะมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับรัฐจิน
ในวันนี้ เรื่องอื่นๆในเมืองหลวงดูไม่มีความสำคัญเลย เพราะสายตาทั้งหมดได้จับจ้องมาที่การต่อสู้จัดอันดับ
ในช่วงเวลานี้ แท่นสูง 36 แท่งได้ถูกสร้างขึ้นรอบเวทีประลองของเมืองหลวง ข้างหลังแท่นสูงแต่ละแท่นนั้น มีธงที่มีชื่อของแต่ละสำนักเขียนเอาไว้อยู่
สำนักได้ถูกจัดเรียงรอบเวทีประลอง จากสำนักอู๋ซินซึ่งอยู่ที่หนึ่ง ไปจนถึงสำนักดาบศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอยู่ที่ 36 ภาพของงานนั้นทั้งยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยความขลัง
“ข้าขอเรียกผู้สืบทอดของทั้ง 36 สำนักขึ้นมาบนเวที!”
ในช่วงเวลากลางวัน ผู้อาวุโสแก่นทองคำคนนึงที่ยืนอยู่กลางเวทีประลองได้ตะโกนออกมาดังลั่น เสียงของเขากระจายไปทั่วทั้งพื้นที่รอบตัวเขาในรัศมีหนึ่งพันเมตร และทำให้หัวใจและวิญญาณของผู้คนสั่นคลอนเหมือนกับระฆังยักษ์
เมื่อได้ยินเสียงนี้ คนกลุ่มนึงก็ปรากฏตัวขึ้นที่ทางเข้าสนามประลอง ซึ่งก็คือผู้สืบทอดของ 36 สำนัก
เมื่อได้เห็นบรรยากาศอันยิ่งใหญ่ เหล่าผู้สืบทอดก็รู้สึกสลดอย่างมากในขณะที่พวกเขามีสีหน้าหดหู่ การต่อสู้ในครั้งนี้เกี่ยวพันถึงอันดับของสำนัก พวกเขาถูกพิจารณาให้แบกรับการต่อสู้เพื่ออนาคตของสำนักของพวกเขาและพวกเขาก็รู้สึกกดดันอย่างสุดขีด
ครู่ต่อมา ผู้สืบทอดของแต่ละสำนักก็ได้กลับไปที่แท่นสูงของสำนักตัวเองที่ถูกจัดไว้ตามอันดับและมองลงมาที่สังเวียนขนาดยักษ์ที่อยู่กลางสนามประลอง
เฉินเฉินเอนตัวพิงที่นั่งซึ่งเป็นของสำนักเทียนหยุนและวิเคราะห์ผู้สืบทอดคนอื่นๆ
ผู้สืบทอดบางคนนั้นดูสงบในขณะที่บางคนดูอยู่ไม่สุข อย่างเช่นโยวหลานชินของสำนักโยวฉุยที่มองมาทางเขาอย่างวิงวอนด้วยความหมดหนทางเป็นพักๆ
เนื่องจากเธออยู่ข้างนอก พี่ใหญ่ที่ไม่น่าไว้ใจของเธอจึงอาจจะเป็นแค่คนเดียวที่เธอสามารถพึ่งพาได้
“ไม่ต้องห่วง”
เฉินเฉินยิ้มแล้วส่งสัญญาณให้เป็นการตอบกลับ
เขาได้เห็นความจริงใจของโยวหลานชินในช่วงไม่กี่วันมานี้และแน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมกลับคำพูด
ในตอนที่โยวหลานชินเห็นสัญญาณของเฉินเฉิน เธอก็โล่งใจขึ้นมาเล็กน้อยและเริ่มมองผู้สืบทอดของสำนักอื่น
“ผู้สืบทอดของอีก 18 สำนัก โปรดขึ้นมาบนเวที!”
เสียงของผู้อาวุโสแก่นทองคำดังขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้ฟังดูนุ่มนวลกว่าเดิมมาก
เมื่อเทียบกับผู้สืบทอดของ 36 สำนักที่นั่งอยู่บนแท่นและมองลงมาจากด้านบน ฝั่งของ 18 สำนักนั้นไม่มีทางเลือกนอกจากนั่งข้างล่างและรวมตัวกันด้วยลักษณะที่ไม่สมเกียรติ
แต่ไม่ว่ายังไง กลิ่นอายของผู้สืบทอดทั้ง 18 สำนักนั้นก็เย็นยะเยือกเหมือนกับน้ำแข็งและสีหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่
ในขณะที่พวกเขาเดินมาด้วยกัน พวกเขาได้ปล่อยกลิ่นอายคุกคามตรงเข้าไปในดินแดนของ 36 สำนัก
ในขณะที่จ้องมอง
ในขณะที่จ้องมองผู้คนทั้ง 18 คนที่เดินผ่านไป เฉินเฉินก็ถามระบบ “นอกจากข้า ใครแข็งแกร่งที่สุดในรัศมี 30 เมตร?”
“คนชุดดำที่อยู่เฉียงไปทางซ้ายข้างใต้ท่าน 10 เมตร”
คำตอบของระบบนั้นสั้นและกระชับ
เฉินเฉินมองไปตามคำชี้แนะของระบบและเห็นคนชุดดำอยู่ที่ท้ายสุดของกลุ่ม
และนี่ก็ทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย
เหตุผลก็เพราะว่าคนๆนั้นอยู่แค่ขั้นสุดท้ายของสร้างรากฐานเท่านั้น และไม่ได้อยู่อันดับสูงในกลุ่มยอดฝีมือด้วย เขาน่าจะมีระดับพอๆกับโยวหลานชิน
อย่างไรก็ตาม ระบบคงไม่โกหก ดังนั้นคงอธิบายได้แค่ว่าคนๆนั้นซ่อนความแข็งแกร่งของตัวเองเอาไว้
ยิ่งไปกว่านั้น เขาได้ปกปิดความสามารถเอาไว้ไม่ใช่น้อย!
ความแข็งแกร่งนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถตัดสินได้ง่ายๆ มันเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัยที่รวมทั้งอุปกรณ์ ระดับการฝึกตน ประสบการณ์ต่อสู้ และปัจจัยอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ระบบไม่ได้พูดถึงมัน พูดอีกนัยนึงก็คือ คนๆนั้นแข็งแกร่งที่สุดอย่างแน่นอน และแม้กระทั่งฉีปู่ฝานที่อยู่อันดับหนึ่งจาก 18 ก็ไม่สามารถเทียบเคียงกับเขาได้
นี่มันช่างน่าสนใจจริงๆ
ฉีปู่ฝานอยู่อันดับสามในกลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์ และก้าวข้ามเย่หวู่เชิงไปแล้ว ดังนั้นเขาแข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย ต่อให้มีความผิดพลาดบางอย่างในการจัดอันดับยอดฝีมือ เขาก็คงจะสูสีกับเย่หวู่เชิงอย่างแน่นอน หรือไม่ก็ด้อยกว่าแค่เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ยังถูกคนชุดดำเอาชนะได้ สรุปแล้วความแข็งแกร่งของชายชุดดำคนนี้คืออะไรกันแน่นะ?
ก่อนที่เฉินเฉินจะคิดเกี่ยวกับมัน ผู้สืบทอดชุดดำก็หันหลังมามองทางเฉินเฉินก่อนที่จะหันกลับไปอีกครั้ง
เฉินเฉินเห็นแค่หน้าตาที่ดูธรรมดามากๆ แต่เขาไม่ได้ลดการป้องกันลงเลย สีหน้าของเขานั้นดูจริงจังและดูเคร่งขรึมมากขึ้นแทน
“คนๆนี้เฉียบแหลมแต่ทำไมเขาถึงปกปิดความแข็งแกร่งเอาไว้นะ?”
เฉินเฉินเต็มไปด้วยความสับสน
น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รวมตัวเองไปด้วยในตอนที่ใช้ระบบกับกลุ่มคนที่อยู่ห่างจากเขาไป 30 เมตร ไม่อย่างนั้น เฉินเฉินก็คงจะรู้แล้วว่าเขาแข็งแกร่งกว่าผู้สืบทอดที่ว่านี้รึเปล่า
“พวกเจ้าทุกคนมีอะไรจะพูดก่อนเริ่มการต่อสู้จัดอันดับของ 36 สำนักรึเปล่า?”
หลังจากที่ผู้สืบทอดของ 18 สำนักนั่งประจำที่แล้ว ผู้อาวุโสแก่นทองคำที่อยู่ตรงกลางสนามประลองก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบในตอนที่ได้ยินคำพูดของเขา
‘มีอะไรต้องพูดอีกหล่ะ? พวกเขาก็แค่จะแสดงความสามารถของพวกเขาออกมาหลังจากนี้’
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เองเฉินเฉินก็พูดขึ้นมาอย่างกระทันหัน
“ข้ามีเรื่องบางอย่างจะพูด!”
หลังจากที่เขาพูดแบบนั้น ผู้สืบทอดทุกคนก็หันไปมองเขา
“สำนักโยวฉุยและสำนักเทียนหยุนเป็นพันธมิตรกัน ใครก็ตามที่กล้าท้าประลองกับสำนักโยวฉุยควรพิจารณาถึงผลที่จะตามมาเอาไว้ด้วย!”
“มีแค่นี้แหล่ะ เชิญพวกเจ้าพูดกันต่อได้”
หลังจากที่พูดออกไปแบบนั้น เฉินเฉินก็กลับมานั่งพิงเก้าอี้อีกครั้ง เขาหลับตาและไม่สนใจสายตาแปลกๆทั้งหลายที่จ้องมาทางเขา
ในตอนนี้ ผู้สืบทอดกว่า 50 คนได้จ้องมาทางเฉินเฉินที่อยู่บนแท่น
แม้ว่าพวกเขาจะแบ่งพรรคแบ่งพวกกัน แต่ก็ไม่มีใครที่กล้าท้าทายเท่าเฉินเฉิน!
‘ผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนทำแบบนี้หมายความว่ายังไงกันแน่?’
‘นี่เขากำลังขู่ทุกคนที่อยู่ที่นี่ใช่ไหม?’
‘เขาอยู่อันดับเจ็ดในกลุ่มยอดฝีมือ เขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหนนะ?’
มีแค่โยวหลานชินที่มองเฉินเฉินด้วยความชื่นชม เธอคิดว่าเฉินเฉินจะปกป้องเธอ แต่เธอไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะทำอะไรที่มันโจ่งแจ้งขนาดนี้!
แม้ว่าวิธีการของเขาจะเถรตรง แต่เธอก็ชอบมันมาก
ใครจะไปคิดหล่ะว่าพี่ใหญ่เฉินเฉินของเธอ ที่ใช้เวลาทุกวันอยู่ในหอโสเภณีจะเป็นคนที่เชื่อถือได้ขนาดนี้ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญเช่นนี้!?
“หึหึ เจ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วสินะ? ถ้าอย่างนั้น เริ่มการต่อสู้จัดอันดับอย่างเป็นทางการได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้อาวุโสแก่นทองคำก็ยิ้มเหมือนกัน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครพูดอะไรอีก เขาก็ประกาศเริ่มการประลอง
ความตึงเครียดปะทุขึ้นในสนามประลองในทันที!
คนใหญ่คนโตที่อยู่รอบสนามประลองเองก็เงียบลงเหมือนกัน ทุกคนต่างก็สงสัยว่าใครจะสู้ในการประลองแรก
จาก 36 สำนักไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย ในขณะที่พวกเขาทุกคนนั่งอยู่บนแท่นสูงอย่างสงบสุข
ผู้สืบทอดของ 18 สำนักที่อยู่ด้านล่างกำลังกวาดตามองกลับไปกลับมาระหว่างแทนสูงต่างๆด้วยความเย็นชาในดวงตาของพวกเขา
ในตอนนี้เอง หนึ่งในพวกเขาก็ลุกขึ้นด้วยรอยยิ้มคุกคาม
“ข้าจูตี่จากสำนักโฮ่วตู่ ขอท้าประลองกับโยวหลานชิน ผู้สืบทอดของสำนักโยวฉุย!”
ในทันทีที่เขาพูดออกมาแบบนั้น ทุกคนก็หันไปมองเฉินเฉิน
‘ผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนพึ่งจะเตือนไปแท้ๆก็มีคนมาท้าประลองกับเธอแล้วหรอ นี่กะไม่ไว้หน้ากันเลยสินะ!’
สีหน้าของโยวหลานชินหม่นหมองในขณะที่เธอหันไปมองเฉินเฉินอย่างเก้ ๆกังๆด้วยท่าทีใสซื่อ
เธอคิดว่าเธอคงไม่ต้องเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งแรกเนื่องจากเฉินเฉินได้ประกาศออกมาแบบนั้นแล้ว
เฉินเฉินไม่สนใจเธอและมองลงไปที่จูตี่ของสำนักโฮ่วตู่ ครู่ต่อมา เขาก็หัวเราะคิกคัก
เมื่อถูกเฉินเฉินจ้อง จูตี่ก็รู้สึกกลัวเล็กน้อยและเขาก็หันไปมองฉีปู่ฝาน
ฉีปู่ฝานจ้องเขาแล้วพูดอย่างเย็นชา “มีพวกเราอยู่เจ้าจะต้องกลัวอะไรอีก?”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ จูตี่ก็เรียกความมั่นใจกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วกระโดดไปที่กลางสังเวียน และชี้นิ้วไปทางโยวหลานชิน
“ผู้สืบทอดของสำนักโยวฉุย ลงมาซะ ข้าไม่ชินกับการเงยหน้ามองคนอื่นซักเท่าไหร่!”
โยวหลานชินยืนอยู่บนแท่นด้วยความฟุ้งซ่าน
“พี่ใหญ่ ข้าควรทำยังไงดี?”
แม้ว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอด แต่เธอก็ยังเห็นโลกมาไม่มากนัก ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้เลย
“ไปเถอะ ถ้าเจ้าเอาชนะไม่ได้ก็ยอมแพ้ซะ แค่อย่าทำให้ตัวเองเจ็บตัวก็พอ”
หลังจากให้คำแนะนำ เฉินเฉินก็ยังคงนิ่งสงบ อย่างไรก็ตาม ความดุดันได้สะท้อนผ่านดวงตาของเขา