โยวหลานชินค่อยๆบินออกมาจากแท่นสูงและลงไปอยู่กลางสังเวียน

 

ในทันทีที่เธอลงมาถึงพื้น พลังปราณวารีก็เริ่มหมุนเวียนรอบร่างกายของเธอ และปกป้องเธออย่างแน่นหนา

 

ผู้สืบทอดของสำนักโฮ่วตู่หัวเราะเยาะให้กับท่าทีที่ขี้ขลาดของโยวหลานชิน

 

“36 สำนักมีทรัพยากรตั้งมากมายแต่พวกเขาดันสร้างผู้สืบทอดที่ขี้ขลาดอย่างเจ้าขึ้นมาเนี่ยนะ?”

 

เมื่อถูกเหยียดหยาม โยวหลานชินก็ปิดหูของตัวเองด้วยวิญญาณปราณน้ำทั้งสองแทนที่จะเถียงกลับ

 

ในตอนที่เห็นฉากนี้ ผู้สืบทอดของ 36 สำนักที่อยู่บนแท่นสูงต่างก็เงียบกันหมด

 

‘ตัวตลกคนนี้มาจากไหนกัน?’

 

แม้กระทั่งหางตาของเฉินเฉินก็เริ่มกระตุก เขาเคยเห็นคนอ่อนแอมาก่อนแต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เจอคนที่อ่อนแอแบบโยวหลานชิน

 

ถ้าไม่ใช่เพราะคนรักของอาจารย์ เขาก็คงจะสอนบทเรียนให้ผู้หญิงอ่อนต่อโลกคนนี้ไปแล้ว

 

“ถ้างั้นก็เริ่มกันเลย กฎของการประลองไม่มีอะไรมาก จัดการคู่ต่อสู้ของเจ้าจนกระทั่งอีกฝ่ายยอมแพ้หรือเคลื่อนไหวไม่ได้อีก แต่จงจำเอาไว้ ห้ามมีการฆ่ากัน”

 

ผู้อาวุโสแก่นทองคำทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสิน เขาได้ถอยไปที่ขอบสังเวียนหลังจากที่ประกาศกฎให้ทราบโดยทั่วกัน

 

ในทันทีที่เขาพูดแบบนี้ รอยยิ้มของจูตี่ก็ยิ่งน่ากลัวขึ้น จากนั้นเขาก็ก้าวขึ้นไปบนสังเวียนและหนามจำนวนนับไม่ถ้วนก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นใต้สังเวียน และมันได้ขยายไปทางโยวหลานชิน

 

เมื่อเห็นแบบนี้ โยวหลานชินก็บินขึ้นฟ้าในทันทีและร่ายวิชา ไม่นานนักพลังปราณน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนก็ก่อตัวขึ้นเป็นฝนธนูที่พุ่งไปทางจูตี่

 

ฟิ้วว ฟิ้ว!

 

ทันใดนั้นเอง ลูกศรก็ปกคลุมท้องฟ้าพร้อมกับเสียงหวีดอย่างไม่หยุดหย่อน!

 

เมื่อเห็นฉากนี้ ดวงตาของเฉินเฉินก็เป็นประกายขึ้นมา

 

แม้ว่าอุปนิสัยของโยวหลานชินจะเลวร้าย แต่เธอก็มีวิชาการตอบโต้และการต่อสู้ที่ดี เธอคู่ควรกับอันดับในหมู่ยอดฝีมือแล้วจริงๆ

 

“โล่โฮ่วตู่!”

 

หลังจากที่จูตี่ตะโกนอย่างจริงจัง กำแพงดินหนาสองเมตรก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นข้างใต้สังเวียน และสูงขึ้นไปอีกกว่าห้าเมตรในชั่วพริบตาเพื่อป้องกันลูกศรน้ำทั้งหมด

 

จากนั้นจูตี่ก็ก้าวขึ้นไปบนกำแพงนั่นแล้วบินขึ้นไป พลังปราณธาตุดินจำนวนมหาศาลได้ปกคลุมเขาเอาไว้อยู่ในขณะที่บินไปหาโยวหลานชิน

 

ไม่ว่าจะเป็นผู้สืบทอดของ 36 สำนักที่อยู่บนแท่นสูงหรือผู้คนของ 18 สำนักที่อยู่ข้างใต้ พวกเขาทุกคนต่างก็มองการประลองของทั้งสองด้วยความตั้งใจอย่างเต็มที่

 

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง พวกเขาก็ประเมินพละกำลังของทั้งสองฝ่ายอย่างเงียบๆด้วย

 

แม้ว่าพวกเธอจะกำลังต่อสู้กันอยู่ แต่พวกเธอก็คงจะเป็นคู่ต่อสู้ของคนอื่นในอีกไม่นาน

 

 

ทั้งสองคนต่อสู้กันไปมาในสังเวียนเป็นเวลาสองนาทีแล้ว และโยวหลานชินก็เริ่มส่อแววว่าจะแพ้

 

พูดตามตรง ในแง่ของทักษะการต่อสู้ สำนักโยวฉุยดีกว่าสำนักโฮ่วตู่แต่คุณสมบัติของทั้งสองมันขัดกันและโยวหลานชินก็ยังอ่อนประสบการณ์ ดังนั้น ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน เธอก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจูตี่

 

“ยอมแพ้ไปเถอะ” เฉินเฉินพูดในขณะที่นั่งอยู่บนแท่นสูง เขารวบรวมน้ำเสียงของเขาส่งตรงเข้าไปหาโยวหลานชิน

 

เมื่อได้ฟังคำพูดของเฉินเฉิน โยวหลานชินก็พยายามต่อไปอีกนาทีนึงก่อนที่จะยอมรับความพ่ายแพ้แล้วถอยออกจากสังเวียน

 

เมื่อถูกผู้สืบทอดของสำนักโฮ่วตู่จ้อง โยวหลานชินก็เบือนหน้าหนี

 

“สำนักโฮ่วตู่ได้ถูกแทนที่กับสำนักโยวฉุยในฐานะสำนักอันดับที่ 14!”

 

ผู้อาวุโสแก่นทองคำประกาศดังลั่นก่อนที่จะสะบัดมือ จากนั้นธงของสำนักโยวฉุยที่อยู่ข้างเฉินเฉินก็ค่อยๆถูกลดธงลงอย่างช้า ๆ หลังจากนั้นธงสีเหลืองของสำนักโฮ่วตู่ก็ถูกชักขึ้นมาแทน

 

ในขณะที่มองธงของสำนักตัวเองถูกแทนที่ โยวหลานชินก็อดกลั้นเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วหลั่งน้ำตาออกมา

 

ผู้สืบทอดของทั้ง 36 สำนักไม่สามารถหัวเราะกับเหตุการณ์ตรงนี้ได้เลย

 

ซึ่งมันก็เข้าใจได้ สำนักที่อยู่บนแท่นสูงทั้งหมดนั้นต่างก็ได้รับสืบทอดต่อๆกันมาอย่างน้อยหนึ่งพันปี

 

และทั้ง 36 สำนักก็ได้อยู่ในอันดับของพวกเขามาเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีแล้ว

 

สถานะที่สำนักของเธอรักษาไว้มาเป็นเวลาหนึ่งร้อยปีได้ถูกทำลายลงเพราะความอ่อนแอของเธอ แค่นี้มันก็พอจะจินตนาการได้แล้วว่าเธอรู้สึกเครียดถึงขนาดไหน

 

ถ้าพวกเขาเป็นเธอ พวกเขาก็อาจจะร้องไห้เหมือนกันหรืออาจจะถึงขั้นฆ่าตัวตายเลยก็ได้ถ้าทำได้

 

พวกเขารู้สึกอับอายเกินกว่าที่จะกลับสำนักไปเจออาจารย์และศิษย์ร่วมสำนักของตัวเองจริงๆ

 

“เซียนหญิงแห่งสำนักโยวฉุยจงกลับไปยังที่ของเจ้า”

 

ผู้อาวุโสแก่นทองคำชี้ไปยังที่นั่งที่อยู่ใต้แท่นสูงแล้วพูดอย่างเย็นชา

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ โยวหลานชินก็ปาดน้ำตาของเธอแล้วไปนั่งกับ 18 สำนัก

 

ผู้สืบทอดของ 18 สำนักนั้นไม่ได้รู้สึกเห็นใจเธอแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาอดใจรอที่จะเข้าไปแทนที่ใน 36 สำนักไม่ไหวแล้ว

 

ด้วยเหตุนี้เอง ในตอนที่พวกเขาเห็นความเสียใจของโยวหลานชิน พวกเขาก็เย้ยหยันเธออย่างไร้ความปราณี

 

โยวหลานชินที่นั่งอยู่ในกลุ่มพวกเขานั้นเหมือนกับแกะตัวเล็กๆที่อยู่ในฝูงหมาป่า

 

อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่ได้อ่อนแอโดยสิ้นเชิง ในตอนที่เธอได้ยินเสียงนินทารอบๆ เธอก็หยุดร้องไห้ แล้วลุกขึ้นสุดตัว จากนั้นใบหน้าที่เรียบเฉยและเย็นชาก็กลับมาอีกครั้ง ท่าทีที่สำรวมของเธอกำลังฟื้นฟูกลับมาแล้ว

 

“ผู้หญิงคนนี้คงจะล้างสมองตัวเองอีกแล้วสินะ”

 

เฉินเฉินพูดไม่ออกเล็กน้อย

 

โยวหลานชินไม่ได้เก่งอะไรเลยนอกจากการหลอกตัวเอง จะเรียกว่าเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการออกจากวิกฤตก็ว่าได้ เขาได้เห็นวิธีการที่เธอแสดงในตอนที่เธอสอนพวกผู้หญิงที่โรงเตี๊ยมหยี่หลานมาแล้ว

 

โยวหลานชินนั่งลงข้างล่างมันก็เป็นธรรมดาที่จูตี่จะขึ้นไปบนแท่นสูงและนั่งลงใกล้เฉินเฉิน

 

“เห้อ ความรู้สึกที่ได้ดูถูกคนอื่นนี่มันยอดเยี่ยมจริงๆ”

 

จูตี่เอนตัวพิงเก้าอี้เหมือนกับเฉินเฉินและมองมาทางเฉินเฉินอย่างยั่วยุเป็นพักๆ

 

“เจ้าควรจะดื่มดำกับช่วงเวลานี้ให้เต็มที่นะ มันอาจจะเป็นจุดสูงสุดของชีวิตเจ้าแล้วก็ได้”

 

เฉินเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบโดยไม่ได้หันไปมองจูตี่ด้วยซ้ำ

 

จูตี่มีเวลาคุ้มครองสองชั่วโมงหลังการต่อสู้ ซึ่งเขาสามารถใช้ช่วงเวลานี้เพื่อพักผ่อนและฟื้นพลังปราณของเขาได้

 

หลังจากสองชั่วโมงนี้ ใครก็ตามที่อยากท้าประลองกับจูตี่ก็สามารถขึ้นไปบนสังเวียนได้

 

“เฉินเฉิน ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่อย่าทำเป็นหยิ่งไปหน่อยเลย ถ้าเจ้าสามารถท้าประลองข้าได้ มันก็จะต้องมีคนที่ท้าประลองกับเจ้าได้เหมือนกัน ข้าหวังว่าเจ้าจะยังนั่งอยู่บนแท่นสูงนี้และคุยโวต่อไปได้ยันจบนะ!”

 

 

ในตอนนี้ ศิษย์อีกคนนึงของ 18 สำนักได้ขึ้นไปบนสนามประลองและท้าประลองกับสำนักดาบทองคำที่อยู่อันดับ 15 ใน 36 สำนัก

 

ศิษย์คนนี้ฝึกวิชาเพลิงและสามารถเอาชนะผู้สืบทอดสำนักดาบทองคำได้อย่างง่ายดาย และระเบิดเขาออกจากสังเวียนในเวลาไม่นาน

 

ผู้สืบทอดสำนักดาบทองคำที่พ่ายแพ้ได้เงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่พักใหญ่ๆ ความเศร้าหมองของเขาทำให้จิตใจของผู้สืบทอดคนอื่นหนักอึ้ง

 

ฉากการต่อสู้ต่อๆมาเองก็ไม่ได้ต่างไปจากสองศึกแรก และหลังจากที่ผ่านไปสองชั่วโมง แปดจาก 36 สำนักก็ได้ถูกสลับตำแหน่ง

 

เมื่อเห็นว่าผู้สืบทอดของ 18 สำนักตั้งใจจะท้าประลองต่อ เฉินเฉินก็มองโยวหลานชินที่อยู่ข้างสังเวียนประลอง และมุมปากของเขาก็ขยับเล็กน้อย

 

หลังจากได้รับข้อความของเฉินเฉิน โยวหลานชินก็ลุกขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดและตะโกนออกมา “ข้าขอท้าประลองผู้สืบทอดเฉินเฉินแห่งสำนักเทียนหยุน”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ พวกผู้สืบทอดก็รีบหันไปมองเฉินเฉินที่อยู่บนแท่นสูง

 

‘มันเริ่มแล้ว!’

 

‘ผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนคนนี้กำลังจะแก้แค้นจากการโดนดูถูก!’

 

แม้ว่าพวกเขาจะคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดขึ้น แต่ไม่มีใครคิดว่าผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุนจะลงมือตอนนี้

 

เขาไม่มีความลังเลเลยด้วยซ้ำแม้ว่าผู้สืบทอดของ 18 สำนักจะคว้าชัยชนะมาอย่างต่อเนื่องในการต่อสู้ก่อนๆก็ตาม

 

เขาต้องมั่นใจมากแน่ๆ!

 

ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่เคยได้เห็นผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุน ที่อยู่อันดับเจ็ดในกลุ่มยอดฝีมือโจมตีมาก่อนเลย และตอนนี้พวกเขาก็จะมีโอกาสได้เห็นมันแล้ว!

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินเฉินก็ลุกขึ้นแล้วโดดลงมาจากแท่นสูง

 

“ข้าขอยอมแพ้”

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้อาวุโสแก่นทองคำก็ส่งสัญญาณให้สำนักโยวฉุยขึ้นแทนที่สำนักเทียนหยุนในฐานะอันดับ 13 ของ 36 สำนัก

 

“ท่านผู้อาวุโส ข้าขอไม่พักได้ไหมครับ?” เฉินเฉินถาม

 

“ตามสบาย” ผู้อาวุโสแก่นทองคำตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

 

เมื่อได้รับคำตอบยืนยันแล้ว เฉินเฉินก็มองไปยังแท่นสูงที่ผู้สืบทอดสำนักโฮ่วตู่ประจำที่อยู่แล้วพูดขึ้น “ข้า เฉินเฉินแห่งสำนักเทียนหยุนอยากจะขอท้าประลองกับจูตี่ผู้สืบทอดของสำนักโฮ่วตู่”