ตอนที่ 175 ที่สุดแห่งความโปรดปราน

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

มีบางคนเกิดมา ไม่ต้องเติมเสริม เพียงแต่งหน้าอย่างเบาบางก็งดงามอยู่แล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันก็เป็นเช่นนี้ 

 

 

ยามปกตินางมิได้แต่งหน้า ก็งดงามดุจนางฟ้านางสวรรค์ ยามนี้เมื่อแต่งตัวมาอย่างเพียบพร้อม ต่อให้ซูเม่ยดูงดงามเย้ายวนเพียงไร ก็ยังไม่อาจเปรียบเทียบกับนางได้ 

 

 

เมื่อฮ่องเต้กับไทเฮาประทับยืนเคียงข้างกัน ผู้อื่นก็ได้แต่ต้องถอยไปอยู่ด้านข้างกลายเป็นเพียงไม้ประดับเท่านั้น 

 

 

หวงกุ้ยเฟยซูเม่ยที่กลายเป็นไม้ประดับ ยามนี้ดูไปแล้วก็เป็นเพียงแค่ภรรยาน้อยเท่านั้น 

 

 

เขาจดจ้องมองดูตู๋กูซิงหลัน นับตั้งแต่ที่เขากลับเข้าวังมา ก็แทบจะไม่มีโอกาสได้เห็นตู๋กูซิงหลันแต่งกายเช่นนี้ แต่ไม่ว่าจะแต่งกายเช่นไร นางก็ดูงดงามที่สุดอยู่เสมอ 

 

 

เพียงแต่…….ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ข้างกายนั้น ดูไปแล้วช่างบาดลูกนัยตานัก 

 

 

ผู้อื่นต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน ตู๋กูซิงหลันนั้นเป็นไทเฮาแท้ๆ ทำไมพวกเขาดูอย่างไรก็รู้สึกว่านางคือฮองเฮาที่แท้จริงต่างหาก 

 

 

ฉลองพระองค์ของทั้งสองพระองค์เป็นสีเดียวกัน ราวกับว่าผ่านการนัดแนะกันมาอย่างดี ดูเหมาะสมกันเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

ผู้คนทั้งหมดล้วนจดจ้องไปที่ทั้งสองพระองค์ ด้วยเกรงว่า หากไม่ระมัดระวัง ภาพที่งดงามเบื้องหน้านี้ก็อาจจะมลายหายไป 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนั้น’บังเอิญ’ได้พบจีเฉวียนเสด็จมาถึงที่ด้านนอกของตำหนักจิ่นซิ่วพอดี 

 

 

ยามที่มองเห็นเขานั้นนางเองก็ตะตกลึงไปเช่นกัน พวกเขาแต่งกายเช่นนี้ดูแล้วคล้ายกับคู่รักที่ใจตรงกันเกินไปแล้ว 

 

 

เดิมทีตู๋กูซิงหลันคิดจะกลับไปเปลี่ยนชุด แต่กลับถูกเขาคว้าข้อมือเอาไว้จูงไปที่ตำหนักจิ่นซิ่วในทันที ” ไทเฮา วันนี้งามสง่านัก” 

 

 

พระพักตร์ที่เย็นชาเป็นภูเขาน้ำแข็งอยู่เสมอแย้มสรวลออกมา รูปลักษณะภายนอกของเจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี่ มีแต่ทำให้ผู้คนต้องหลงใหลจนคนตายไป! “ 

 

 

” นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นเจ้าแต่งกายอย่างเต็มพิธีการ ” ตลอดทางที่เสด็จมา จีเฉวียนทรงกุมข้อมือของนางเอาไว้ไม่ยอมปล่อย คนทั้งสองเดินผ่านทางเดินยาวที่ประดับประดาด้วยดอกไม้งดงาม ดูราวกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่กำลังจะเข้าไปกราบไหว้ฟ้าดินด้วยกัน 

 

 

” หลายวันมานี้อยู่ในตำหนักเฟิ่งหมิงได้พักผ่อนอย่างดี น้ำแกงไก่ตุ๋นนั้นถูกปากดีหรือไม่? “ 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน ” ติ๊งต๊องถูกท่านจับตุ๋นไปแล้วหรือ? “ 

 

 

จีเฉวียน ” เจ้ามิใช่ว่าดื่มกินอย่างเอร็ดอร่อยหรอกหรือ? “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “……..” 

 

 

ภายใต้สายตาที่ของผู้คนที่คุกเข่าลงถวายความเคารพ จีเฉวียนยังคงเกาะกุมข้อมือของนางเอาไว้ นำเสด็จนางไปยังเบาะนั่งข้างที่ประทับของฮ่องเต้ 

 

 

วันนี้ยามที่ทุกคนเข้ามาในงานนั้น ต่างก็มองเห็นที่นั่งอันนั้นอยู่แล้ว หากจะบอกว่าเป็นที่นั่งที่ใกล้ฮ่องเต้มากที่สุด มิสู้บอกว่าประทับนั่งลงด้วยกันจะดีกว่า 

 

 

 

 

 

ก่อนหน้านี้ พระตำหนักจิ่นซิวไม่เคยมีที่ประทับเช่นนี้มาก่อน! 

 

 

เดิมทีตอนแรกยังไม่มีผู้ใดเข้าใจว่าที่ประทับเช่นนั้นมีไว้เพื่อการใด ยามนี้พอเห็นไทเฮาน้อยประทับนั่งลงไป อีกทั้งยังเกิดจากการที่ฝ่าบาททรงนำเสด็จมาด้วยพระองค์เอง พวกเขาต่างก็ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่แล้ว 

 

 

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? 

 

 

ถึงกับเลือกที่จะแสดงออกในงานเลี้ยงพระราชทานที่สำคัญเช่นนี้! 

 

 

ตู๋กูจุนเองก็มองดูอยู่ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ว่าทำไมจีเฉวียนถึงได้ทรงทำเช่นนี้ 

 

 

ท่านปู่อยู่ที่แดนเป่ยเจียงได้รับชัยชนะอย่างต่อเนื่อง จีเฉวียนนั้นแต่ไหนแต่ไหนก็ชำนาญเรื่องการรักษาหน้าตาอยู่แล้ว ก็เหมือนกับตอนที่เขาพึ่งจะกลับตอนนั้น อย่างน้อยๆ เขาจะต้องไม่ปล่อยให้พวกตนรู้สึกว่าเขาละเลยน้องเล็ก 

 

 

อันหร่วนมองดูตู๋กูซิงหลัน หลังจากที่กลับเข้าวังมานี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เจอตู๋กูซิงหลัน 

 

 

นางได้ยินชื่อเสียงความงามนี่มาตั้งนานแล้ว ยามนี้เมื่อได้มาพบตัวจริงก็ยังอดที่จะประหลาดใจจนชะงักไปไม่ได้ 

 

 

ความงามที่เย้ายวนของซูเม่ยเดิมทีก็เพียงพอให้ผู้คนตื่นตะลึงอยู่แล้ว แต่ความงามของสตรีผู้นี้ราวกับนางเซียนที่มีอยู่แต่ในสรวงสวรรค์เท่านั้น 

 

 

นางหรี่ดวงตาลง จิบน้ำชาในมืออย่างช้าๆ หลังกลับเข้าวังมา เรื่องราวที่สมควรจะสอบถามนางล้วนสืบความมาจนกระจ่างชัดแล้ว 

 

 

ทั้งเต๋อเฟยและ เสียนไท่เฟยก็ล้วนพ่ายแพ้ล้มลงด้วยฝีมือของสตรีผู้นี้ 

 

 

ทั้งที่เป็นเพียวสาวน้อยอายุสิบกว่าปีเท่านั้น แต่กลับมีจิตใจลึกซึ้งร้ายลึกจนสุดหยั่ง 

 

 

ว่าแต่น่าเสียดายตัวหมากอย่างเสียนไท่เฟยยิ่งนัก เดิมทีทุกอย่างล้วนเป็นไปตามที่นายท่านได้วางอุบายเอาไว้ แต่เพราะไทเฮาน้อยผู้นี้ ทุกสิ่งจึงวุ่นวายไปหมด 

 

 

นางมองดูเหตุการณ์โดยมิได้ส่งเสียง ทั้งมองไปยังตู๋กูซิงหลัน ทั้งเหลือบดูจีเฉวียน 

 

 

สิ่งที่ผู้อื่นล้วนมองไม่ออก แต่ว่านางกลับสังเกตเห็นแววตาที่ประหลาดไปของฝ่าบาทได้ 

 

 

แม้ว่าพระองค์จะยังทรงเย็นชาเหมือนดั่งยามปกติ แต่ว่ายามที่ทอดพระเนตรไปยังตู๋กูซิงหลัน สายพระเนตรนั้นแฝงความอบอุ่นอยู่เสมอ 

 

 

สายพระเนตรเช่นนั้น เทียบกับยามที่พระองค์ทอดพระเนตรไปยังซูเม่ยแล้วช่างแตกต่างกันอย่างยิ่ง 

 

 

ที่จริงแล้ว…..นับตั้งแต่ที่พระองค์เสด็จเข้ามาในตำหนักจิ่นซิ่วนั้น ก็มิได้ทรงทอดพระเนตรมายังซูเม่ยเลยด้วยซ้ำ 

 

 

นี่นะหรือสิ่งที่พระสนมผู้เป็นที่โปรดปรานได้รับ? 

 

 

ทันใดนั้นอันหร่วนก็เกิดความรู้สึกขึ้นมา…….พระสนมผู้เดียวที่ทรงโปรด หรือว่า เป็นเพียงหุ่นเชิด? 

 

 

ฮ่องเต้ทรงเป็นผู้ที่มีพระทัยลึกซึ้ง มิว่าจะทรงทำสิ่งใดผู้อื่นก็ไม่อาจจะคาดเดาได้โดยง่าย บางทีพวกเขาอาจจะถูกฝ่าบาทหลอกเข้าแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันย่อมรู้สึกถึงสายตาที่มองมายังตนเองของอันหร่วน ฮูหยินเฒ่าที่นั่งอยู่เสียใกล้ที่ประทับของฮ่องเต้ มีแต่นางเพียงผู้เดียว ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเจอตัวอันหร่วนมาก่อน แต่ว่าตนเองก็สามารถคาดเดาฐานะของนางได้ 

 

 

อันหร่วนมีรูปโฉมที่ดูเคร่งขรึมอยู่เสมอ มีราศีของผู้อาวุโส นางนั่งอย่างสง่า กิริยาการวางมือและเท้าล้วนไม่มีทีท่าของฮูหยินผู้เฒ่าเลยสักนิด เพียงมองดูก็รู้ว่าเป็นผู้ที่ฉลาดล้ำ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเพียงแต่กวาดสายตามองผ่านนาง 

 

 

เป็นฮูหยินเฒ่าที่ดูสุขุมลุ่มลึกจนไม่อาจคาดเดา นางรู้จักปรุงยา อีกทั้งยังเกี่ยวพันกับผู้ที่ลงมือกับองค์หญิงใหญ่ 

 

 

พวกนางอยู่ห่างกันพอสมควร ตู๋กูซิงหลันจึงไม่มีหนทางจะสัมผัสได้ว่าบนร่างขอนางมีไอหยินหรือว่ากลิ่นไออื่นใดอยู่อีกหรือไม่ 

 

 

ครั้งก่อนที่พยายามแยกร่างเนื้อและด้วยจิต เรื่องที่นางหยิบยืมพลังของหยกสรรพชีวิต เกรงว่าคงจะถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ยามนี้จึงไม่อาจวู่วามได้อย่างเด็จขาด 

 

 

อันหร่วนผู้นี้ อาจจะรับมือได้ยากยิ่งกว่าเสียนไท่เฟยเสียอีก 

 

 

เสียงดนตรีดังขึ้น สร้างบรรยากาศรื่นเริงอยู่มิได้ขาด ไม่ช้าก็ชักจูงความสนใจของผู้คนจากองค์ฮ่องเต้และไทเฮาไป 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บนโต๊ะของตู๋กูซิงหลันล้วนเต็มไปด้วยอาหารรสเลิศมากมาย นางดื่มน้ำแกงไก่ติดต่อกันมาหลายวัน พอมองเห็นอาหารโอชามากมายตรงหน้า ก็คว้าตะเกียบคีบขาหมูขึ้นมาชิ้นหนึ่ง 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

แต่ยังไม่ทันได้ส่งเข้าปากก็ถูกพระหัตถ์ของจีเฉวียนมาฉกไปเสียก่อน ” อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดี ดื่มน้ำแกง กินโจ๊กไป “ 

 

 

ว่าแล้ว พระองค์ก็เสวยขาหมูชิ้นนั้นลงไปต่อหน้าต่อตาของตู๋กูซิงหลัน อีกทั้งยังไม่ลืมรับสั่งกับนางกำนัลไม่ให้ถวายอาหารเลี่ยนมันแก่ไทเฮา 

 

 

ยามนี้ ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าเขาก็คือราชามารดีๆ นี่เอง! 

 

 

เพียงแค่ครู่เดียว เหล่านางกำนัลก็ยกน้ำแกงไก่และโจ๊กมาถวาย อีกทั้งยังมีผลไม้สด 

 

 

ตู๋กูซิงหลันชมดูจนอยากจะอาเจียนออกมา 

 

 

นางมองไปยังจีเฉวียน เห็นบนริมฝีปากบางๆ ของเขายังคงมีคราบน้ำขาหมูอยู่ ก็นึกอยากจะชิมขึ้นมาคำหนึ่ง 

 

 

คิดแล้วนางก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง 

 

 

จีเฉวียนเห็นนางกลืนน้ำลายอยู่เช่นนั้น ก็ไม่รู้ว่าทำไม อดจะพระทัยอ่อนขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

ที่เบื้องหน้าของเขามีจานอยู่ใบหนึ่ง เขาสั่งให้คนยกน้ำสะอาดมา คีบเนื้อชิ้นเล็กๆ ลงไปล้างในจากใบนั้น พอเห็นว่าล้างน้ำมันๆ ออกไปจนหมดแล้ว จึงส่งให้นาง 

 

 

” กินเถอะ “ 

 

 

 

 

 

 

 

 

นี่เป็นเพียงเศษเนื้อชิ้นเล็กๆ เท่านั้น สำหรับตู๋กูซิงหลันที่เป็นตัวกินเนื้อแล้ว ไม่พอยาขี้ฟันเสียด้วยซ้ำ 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “………” ขอถามหน่อยเถอะที่เอาไปล้างอยู่หลายสิบครั้งนั้นนะ เอาจริงใช่ไหม? 

 

 

 

 

 

 

 

 

ฮ่องเต้ทรงรับสั่งว่า ” ซุนต้มยาบอกเอาไว้แล้ว เจ้าต้องงดเว้นของเลี่ยนมัน” 

 

 

” ไม่กินหรือ? หากไม่กิน เราจะกินละนะ” 

 

 

” เราจะกินจริงๆ แล้วนะ” 

 

 

ตรัสแล้ว พระองค์ก็ทำท่าจะเอาเนื้อชิ้นนั้นกลับมา 

 

 

พอพึ่งจะขยับตะเกียบคีบขึ้นมาได้ ตู๋กูซิงหลันก็พุ่งเข้ามาฉกกัดในทันที ท่าทางของนางประหนึ่งลูกสุนัขน้อยที่ไม่ได้กินเนื้อมาแล้วแปดชาติ 

 

 

ตะเกียบของจีเฉวียนกลายเป็นว่างเปล่า เห็นนางเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่ในแก้ม พระองค์เองก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่า ดูแล้วก็น่ารักดี 

 

 

 

 

 

อีกด้านหนึ่ง ซูเม่ยเอาแต่จดจ้องไปทางพวกเขา ฮ่องเต้ทรงให้ความสนิทสนมกับอาหลันถึงเพียงนี้ เพราะตั้งใจจะแสดงให้เขาเห็นหรือ?