ตอนที่ 176 โรคหัวใจของเราซึมลึกถึงกระดูกแล้ว

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เขาฉวยเอาจานกระดูกเล้งตุ๋นซอสเปรี้ยวที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา ลากชุดกระโปรงยาวเดินไปจนถึงเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน ” อา….” 

 

 

คำว่าหลันยังไม่ทันได้เรียกออกมา เขาก็เปลี่ยนใหม่เป็นว่า ” ไทเฮาเพคะ กระดูกเล้งนี้เป็นเนื้อล้วน ท่านสามารถชิมได้สักเล็กน้อย “ 

 

 

กลิ่นหอมโชยเตะจมูก ปลุกจิตวิญญาณให้ตื่นขึ้นมา 

 

 

ท้องของตู๋กูซิงหลันส่งเสียงร้องโครกคราก นางยังไม่ทันได้ขยับตะเกียบ ก็ได้ยินจีเฉวียนกล่าวเสียงเย็นชาที่ริมหูว่า ” กุ้ยเฟย หากว่าเจ้าไม่อยากกินเนื้อละก็ นับตั้งแต่วันนี้ไปตำหนักชุ่ยเวยก็งดเว้นอาหารจำพวกเนื้อสัตว์แล้วกัน “ 

 

 

สีหน้าซูเม่ยเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู พลางมองดูอาหลันอย่างสงสาร ขนาดจะกินอะไรยังต้องถูกฮ่องเต้คุมเข้มอย่างเคร่งครัด 

 

 

อยู่ในวังหลวง นางไม่มีอิสระใดๆ เลยแม้แต่น้อย 

 

 

” ถอยไปเสีย” จีเฉวียนทอดพระเนตรจดจ้องมายังซูเม่ย ” อย่าให้เราต้องกล่าวซ้ำ “ 

 

 

ภายใต้การจับจ้องของผู้คนมากมาย ซูเม่ยก็ไม่กล้าโต้แย้งกับเขาต่อไป 

 

 

” เสี่ยวซูเฟย ความหวังดีของเจ้า เรารับรู้ด้วยใจแล้ว ” ตู๋กูซิงหลันยิ่งเกิดความสงสารเห็นใจซูเม่ยมาอีก 

 

 

พอคิดถึงว่าตนเองหยิบยืมชื่อของนางเข้าไปพักผ่อนในพระตำหนักตี้หัวมาคืนหนึ่ง ทำให้ซูเม่ยตกอยู่ภายใต้ความเกลียดชัง ในใจของนางก็ยิ่งรู้สึกสำนึกผิด 

 

 

ซูเม่ยมองดูสายตาของนาง ก็คิดแต่อยากจะโอบกอดนางเข้ามาปลอบประโลมในอ้อมอก ตอนนี้ฮ่องเต่ทรงหมายตาอาหลันเอาไว้แล้ว ดูท่าพระองค์คงจะต้องคิดหาหนทางให้ได้ตัวอาหลันไปแน่ เขาจะต้องไม่ปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้เป็นอันขาด! 

 

 

หย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยามองขึ้นมาจากด้านล่าง ด้วยระยะที่ห่างไกลกัน จึงไม่มีโอกาสได้ยินว่าเจ้าลูกทรพีกล่าวอะไรกับไทเฮา เพียงรู้สึกว่าเจ้าลูกทรพียามอยู่ต่อหน้าไทเฮาช่างรู้จักประจบสอพลอนัก 

 

 

คนภายนอกต่างลือกันว่าเขาเข้ากับไทเฮาไม่ได้ อยู่ในวังต่างก็แก่งแย่งช่วงชิงหึงหวงกันอยู่มิได้ขาด ทำไมพวกเขาดูแล้วกลับรู้สึกว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย? 

 

 

ในงานเลี้ยงนอกจากจะมีเสียงดนตรีแล้ว ยังมีการแสดงอื่นๆ อีกด้วย 

 

 

กุลธิดาไม่น้อยต่างก็แย่งชิงกันออกมาแสดงพรสวรรค์ในด้านต่างๆ โดยเฉพาะพวกที่ก่อนหน้านี้ตระเตรียมจะส่งบุตรสาวเข้ามาคัดเลือกนางสนม แต่เพราะฝ่าบาททรงยกเลิกไปอย่างกระทันหัน พวกเขาจึงได้แต่คิดอ่านหาหนทางเอาในงานเลี้ยงพระราชทานสิ้นปีนี้แล้ว 

 

 

ไม่ว่าจะเป็นดีด สี ตี เป่า ร่ายกลอนหรือร้องเพลงใดๆ ล้วนมีหมด ตู๋กูซิงหลันชมดูอย่างสำราญใจ 

 

 

พออารมณ์ดีขึ้นมาก็ดื่มสุราติดต่อกันไปสองถ้วย ดื่มสุราจีเฉวียนกลับมิได้หวงห้ามนาง เพียงตรัสว่าสุราดีต่อร่างกายของนาง 

 

 

ฮ่องเต้มิได้ทรงสนพระทัยในระบำรำฟ้อน สายพระเนตรของพระองค์มักจะทอดลงไปยังร่างของสาวน้อยข้างพระองค์อย่างไม่อาจจะบังคับได้อยู่ตลอดเวลา 

 

 

สุราผ่านไปสามรอบ หยวนเฟยก็ลุกขึ้นมา 

 

 

นางถวายคำนับจีเฉวียน ค่อยกล่าวด้วยเสียงเล็กๆ ว่า ” ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันหาพ่อหมอเจอแล้วและได้นำเข้าวังมา จะทรงโปรดให้เขาเข้าเฝ้าและถวายการรักษาไหมเพคะ? “ 

 

 

ถึงแม้ว่าช่วงนี้นางจะยุ่งกับการดูแลตู๋กูจุน แต่ว่ารเรื่องที่ฝ่าบาททรงมอบหมายเอาไว้ นางก็มิกล้าลืมเลือน ในที่สุดก็เจออยู่คนหนึ่ง 

 

 

จีเฉวียนหันไปทอดพระเนตรมองนางแวบหนึ่ง ก็ตรัสตอบว่า ” โรคหัวใจของเราซึมลึกถึงกระดูก เกรงว่าไม่อาจรักษาหายแล้ว “ 

 

 

มิว่าอย่างไรเขาก็ไม่อยากจะยอมรับ ทั้งยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงว่าตอนนี้เขาห่วงใยตู๋กูซิงหลันเป็นอย่างมาก 

 

 

หยวนเฟยมีสีหน้าตระหนกไป ” ฝ่าบาท พระองค์อย่าได้สวรรคตนะเพคะ! “ 

 

 

ก็เขาเคยสัญญาแล้ว ว่ารอให้เขาได้เป็นฮ่องเต้ เขาจะเป็นอู่ข้าวอู่น้ำตลอดกาลของนาง หากว่าเขาอยู่ๆ ก็มาสิ้นไป แล้วนางจะไปหาข้าวสารอาหารแห้งมาจากไหน? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันได้ฟังที่ทรงตรัส ในใจก็ตระหนกขึ้นมาบ้าง ถึงแม้ในร่างของจีเฉวียนจะมีไอหยินที่แปลกประหลาดแทรกอยู่ แต่ว่าจะอย่างไรก็ไม่สมควรจะถึงขั้นทำให้สวรรคตไปได้นี่น่า 

 

 

” ปีใหม่ทั้งทีเจ้าแช่งเราเพื่ออะไร? ” จีเฉวียนทรงเสวยสุราลงไป พระพักตร์ที่เคยเย็นชาอยู่เสมอก็ปรากฎสีแดงระเรื่อขึ้นมาบ้าง เดิมที่พระองค์ก็ทรงงดงามเกินผู้อื่นอยู่แล้ว ยามนี้จึงยิ่งเพิ่มพูนเสน่ห์ขึ้นมาอีก 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน หันหน้าไปมอง นางดื่มไปหลายถ้วยติดๆ กัน ยามนี้ใบหน้าจึงแดงก่ำขึ้นมา นางจดจ้องไปยังจีเฉวียนและหยวนเฟย ” โรคหัวใจอะไรกัน? “ 

 

 

จีเฉวียนหันกลับมาทอดพระเนตรมองนาง แต่มิได้ตรัสสิ่งใดออกมาจากพระโอษฐ์ 

 

 

หยวนเฟยนวดคลึงขมับขึ้นมาบ้าง นางรู้สึกว่า ฝ่าบาทเป็นผู้ที่ซับซ้อนเหลือเกิน นางซึ่งมีมันสมองอยู่อย่างจำกัด ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ 

 

 

หมอผีผู้นั้น…….. ตกลงแล้วยังจะต้องการหรือไม่? 

 

 

เพื่อตามหาหมอผี คิดว่านางทำได้ง่ายๆ นักหรือ? ถูกคนซ้อมเสียน่วมไปรอบนึง ชีวิตนี้นางก็พึ่งจะเคยโดนเป็นครั้งแรก 

 

 

แต่พอเห็นท่าทางของฝ่าบาทก้มพระเศียรลงยกถ้วยสุราขึ้นมา โดยมิได้สนใจนางเลยสักนิด นางก็ได้แต่ยอมรับ และถอยกลับไป ไม่กล้ารบกวนอีก 

 

 

………………………. 

 

 

งานเลี้ยงผ่านไปได้ครึ่งหนึ่งท้องฟ้าก็มืดสนิทลง เมื่อมืดค่ำเช่นนี้ในวังก็จะจุดพลุ นับตั้งแต่สมัยของปฐมกษัตริย์เป็นต้นมามา การจุดพลุในยามขึ้นปีใหม่นับเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาในทุกรัชสมัย ทุกปีในยามนี้ ชาวบ้านในเมืองหลวงล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นอกวัง ร่วมฉลองปีใหม่กับโอรสสวรรค์ 

 

 

บนท้องฟ้าที่ใสกระจ่าง ดูงดงามดุจภาพวาด 

 

 

ผู้คนต่างออกมารวมตัวกันอยู่นอกพระตำหนักจิ่นซิ่ว ที่ด้านหน้าของตำหนักมีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง ยามที่พลุถูกจุดขึ้นไปกระจายอยู่บนท้องฟ้า เงาในน้ำก็สะท้อนภาพเดียวกันออกมา กลายเป็นความงดงามที่ยากจะบรรยาย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็ถูกหยวนเฟยลากออกไปชมดูพลุด้วยกัน 

 

 

ฮ่องเต้ยังคงประทับนั่งอยู่บนที่ประทับด้านบน เขาเองก็ดื่มสุราลงไปไม่น้อย หากว่าจู่ๆ ก็ออกไป รับลมเย็น เกรงว่า ฤทธิ์สุราจะกำเริบขึ้นมาทำให้เมาได้ง่าย 

 

 

” ฝ่าบาทเพคะ พระองค์เมาแล้ว” ในยามนั้นเองได้ยินเสียงนุ่มนวลของสตรีผู้หนึ่งดังแว่วมา 

 

 

จีเฉวียนลืมพระเนตรขึ้นมามองนาง 

 

 

อันหว่านจือก็ก้มศรีษะลงไป ” ฝ่าบาทเพคะ บ่าวต้มนำแกงสร่างเมาเอาไว้แล้ว ทรงเสวยสักหน่อยเถอะเพคะ” 

 

 

ทูลแล้ว นางก็วางถ้วยน้ำแกงสร่างเมาลงตรงเบื้องพระพักตร์ 

 

 

น้ำแกงสร่างเมายังมีความร้อนฉุยๆ มันร้อนเสียจนทำเอาพระพักตร์ที่แดงอยู่แล้วของจีเฉวียนยิ่งแดงขึ้นไปอีก เขายกถ้วยน้ำแกงนั้นขึ้นมา สูดดมอยู่ใต้จมูกคู่นึง ได้กลิ่นเปรี้ยวๆ หวานๆ อ่อนๆ ดมแล้วยิ่งรู้สึกสบายตัวนะ 

 

 

” ฝ่าบาทเพคะ น้ำแกงสร่างเมาต้องดื่มยามร้อนๆ จึงจะดี” 

 

 

อันหว่านจือทูลต่อไปอีก นางพยายามระงับความตื่นเต้นในใจของตนเอง นางเลือกช่วเวลาได้เหมาะสมอย่างที่สุด ผู้คนทั้งตำหนักจิ่นซิ่วต่างก็ออกไปกันจนหมด ท่านย่าเฝ้าอยู่ที่ปากประตู ก่อนที่เรื่องจะสำเร็จลงย่อมไม่ปล่อยให้ผู้ใดเข้ามาโดยง่าย 

 

 

จีเฉวียนทอดพระเนตรมองพระพักตร์ที่แดงก่ำของตนเองสะท้อนอยู่ในน้ำแกง ก็พลันฉุดคิดถึงตู๋กูซิงหลันขึ้นมา 

 

 

เมื่อครู่นางเองก็ดื่มไปไม่น้อย ตอนนี้ออกไปรับลมเย็นๆ เกรงว่าจะรู้สึกไม่สบาย 

 

 

” เจ้ามีน้ำใจมากแล้ว” พอพระองค์ตรัสประโยคนี้ หัวใจของอันหว่านจือก็ลิงโลดด้วยความยินดีขึ้นมา 

 

 

” ได้ทำเพื่อฝ่าบาท เป็นสิ่งที่บ่าวสมควรอยู่แล้วเพคะ ” อันหว่านจือทูลตอบด้วยใบหน้าแดงน้อยๆ พอคิดถึงเรื่องที่อีกเดี๋ยวก็จะเกิดขึ้นแล้ว ใบหน้าของนางก็ยิ่งร้อนผะผ่าวขึ้นไปอีก 

 

 

ยังไม่ทันได้รอให้นางได้เขินอายไปสักเท่าไร จีเฉวียนก็ประคองถ้วยน้ำแกงขึ้นมา เสด็จออกจากพระตำหนักจิ่นซิ่วไปในทันที 

 

 

” ฝ่าบาทเพคะ? ” สีหน้าของอันหว่านจือตกตะลึงไป นางรีบไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

ที่ปากประตูตำหนัก อันหร่วนประหลาดใจอยู่ไม่น้อย นางถวายคำนับครั้งหนึ่ง ” ฝ่าบาท พระองค์เสด็จออกมาทำไมเพคะ? “ 

 

 

” เราออกมาบ้าง หมัวมัวประหลาดใจมากหรือ? ” จีเฉวียนทอดพระเนตรดูนางครั้งหนึ่ง แม้จะเมามายอยู่บ้าง แต่รัศมีความกดดันที่อยู่ในพระองค์ของฮ่องเต้ไม่ได้จางหายไปไหน 

 

 

อันหร่วนถวายคำนับ ” บ่าวเพียงแต่กังวลว่าฝ่าบาททรงเมาแล้ว พอถูกลมโชยจะไม่สบายพระองค์ มิสู้ฝ่าบาททรงเสวยน้ำแกงสร่างเมาเสียก่อน ค่อยเสด็จออกไปก็ยังไม่สายนะเพคะ? “ 

 

 

” ใช่เพคะ ฝ่าบาท น้ำแกงนี้เย็นแล้วจะไม่อร่อย ” อันหว่านจือรีบว่าตาม 

 

 

ด้านนอกอากาศเย็น น้ำแกงร้อนๆ ชามเดียว ประเดี๋ยวก็จะกลายเป็นเย็นเฉียบแล้ว 

 

 

จีเฉวียนตรัสว่า ” ใช่ เย็นแล้วก็ไม่ดีแล้ว “ 

 

 

อันหว่านจือพึ่งวางใจลงได้อีกครั้ง ยังไม่ทันที่นางจะได้ถอนหายใจ ก็เห็นฝ่าบาททรงทรงนำน้ำแกงสร่างเมาของนางออกไป ตามหาตู๋กูซิงหลันท่ามกลางฝูงชนได้อย่างแม่นยำ 

 

 

จีเฉวียนพอเห็นนาง ก็คว้ามือของนางขึ้นมา วางชามน้ำแกงสร่างเหล้าลงไปในมือ ” นี่ ให้เจ้าดื่ม “