ภาคที่ 4 บทที่ 32 ตั๊กแตนจับจักจั่น ไม่ทันระวังนกขมิ้น

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 32 ตั๊กแตนจับจักจั่น ไม่ทันระวังนกขมิ้น

“พลังจิตอีก 130 หน่วยหรือ ?” จูเซียนเหยาชะงักไป

นางจ้องซูเฉินที่ยืนอยู่ใจกลางค่ายกล ลมพัดร่างเขาอย่างรุนแรง นางกัดริมฝีปากเอ่ยขึ้น “ขาดเพียง 130 หน่วยหรือ ?”

“ใช่ ข้ามั่นใจ !” ซูเฉินเอ่ยเสียงเฉียบ “หากมีวิธีเพิ่มก็รีบใช้เสีย หากเราพลาดโอกาสนี้ก็คงไม่อาจมีโอกาสแล้ว !”

เขาสัมผัสได้ว่าเขาใกล้จะเปิดมันได้แล้ว

“ก็ได้ ! ข้าจะมอบให้เจ้าเอง !” จูเซียนเหยาตะโกนบอก

นางพลันดีดตัวเข้าไปหาซูเฉิน

“เซียนเหยา !” จูไป๋อวีรู้ว่านางคิดจะทำอะไรจึงเรียกไว้ เอื้อมมือหมายจะคว้าตัว แต่จูเซียนเหยาก็บิดตัวหลบไปได้ ก่อนจะโผไปหาซูเฉินแล้วรั้งคอเขาไว้

นางจ้องตาเขานิ่ง

จากนั้นก็ประทับจูบลง

ทั้งยังเป็นจูบลึกล้ำดูดดื่มยิ่ง !

ซูเฉินถูกจูบของนางทำเอาตกตะลึงงัน อยากเอ่ยคำแต่กลับไร้คำพูด จึงทำได้แต่จ้องมองจูเซียนเหยาด้วยความมึนงง

หากแต่ก็สัมผัสได้ว่านางได้ส่งพลังงานจิตประหลาดเข้าร่างเข้าผ่านจูบ มันคละเคล้าไปด้วยความรู้สึกนึกคิดของนาง ทั้งยังความทรงจำบางส่วนของนาง……

อารมณ์ทั้งหลายรุดเข้ามาสู่ใจซูเฉิน

ซูเฉินเข้าใจว่านางคงใช้วิชาพิเศษบางอย่างที่สามารถส่งพลังจิตในร่างมาให้เขาได้

พลังจิตและพลังวิญญาณนั้นมีค่าเท่ากัน

สิ่งที่เรียกว่าพลังจิตนั้นจริง ๆ แล้วก็คือพลังวิญญาณของแต่ละคนนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ เมื่อนางส่งพลังจิตมาให้ ซูเฉินจึงสัมผัสถึงอารมณ์ ความอ่อนเยาว์ และอารมณ์ทั้งหลายส่วนหนึ่งของจิตนางได้ มันมากมายเสียจนไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูด สิ่งเหล่านี้ไม่ชัดเจน ทั้งยังซับซ้อน แต่มันหลั่งไหลเข้าสู่จิตใจซูเฉินไม่หยุด ทำให้เขารู้สึกราวกับตนกลายเป็นจูเซียนเหยาอยู่พริบตาหนึ่ง

พริบตาต่อมา จูเซียนเหยาก็ผละออกไป ใบหน้านางแดงก่ำเอ่ยคำว่า “เร็วเข้า !”

หากไม่จำเป็นนางก็คงไม่ทำเช่นนี้

หากเจ้าอ้วนนี่ไม่ทำให้นางมองเขาเปลี่ยนไป นางก็คงไม่ทำ

แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ทำไปแล้ว จังหวะนั้น จิตใจจูเซียนเหยาก็ตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้ง

ซูเฉินไม่รู้ว่าวิชาที่จูเซียนเหยาใช้คือวิชาดอกรักผลิดอก

เมื่อความรักเริ่มผลิดอก รากเริ่มหยั่งลึก ไม่ว่าจะต้องผ่านกี่พายุฝนก็จะรักมั่นเพียงคนคนเดียว

วิชาดอกรักผลิดอกนั้นจะส่งความรู้สึกรักออกไปเป็นหลัก พลังจิตนั้นเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น

และตอนนี้ เพื่อจะเสริมพลังจิตให้ซูเฉิน จูเซียนเหยาจึงถูกบังคับให้ต้องยึดติดความรู้สึกกับซูเฉิน

นางคิดว่าตนเองเลือกโหยวเทียนหย่าง ไม่รู้เลยว่านางกลับตกหลุมรักคนคนเดียวกันถึงสองครั้งสองครา

หลังจากถูกจับจูบไปแล้ว พลังจิตของซูเฉินก็พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง เส้นสายพลังจิตนับหมื่นผงาดขึ้นไปในอากาศ พากันพุ่งเข้าใส่หลุมนั้นเรื่อย ๆ ซูเฉินสัมผัสได้ว่าตัวตนไร้รูปร่างกำลังจะเผยออกมาแล้ว จู่ ๆ พลันมีขุมพลังวนสีน้ำเงินปรากฏขึ้นที่เพดานในห้องโถงใหญ่

ขุมพลังวนค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงมา ก่อนจะหยุดอยู่ด้านบนเตาผิงไฟ มันกะพริบลิบ ๆ ก่อนจะปล่อยแสงสีน้ำเงินสว่างจ้าออกมา

ชั่วอึดใจหนึ่ง แสงนั้นก็หายไป มีทางเดินปรากฏขึ้น มันทอดยาวเข้าไปในเตาผิงไฟไม่เห็นปลายทาง ไม่รู้ว่ามันจะนำพาไปที่ใดกันแน่

“ประตูเปิดออกแล้ว !” จูไป๋อวี่เอ่ยเสียงตื่นเต้น

“คลังสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือมีอยู่จริง ๆ” ซูเฉินพึมพำ

วิธีที่ขาปี่เอ๋อซือเลือกใช้นั้นทั้งเรียบง่ายและได้ผล คลังสมบัติลับอาจจะถูกเก็บเอาไว้ในพลังงานสูญแยกไปอีกที ส่วนทางเข้านั้นถูกใส่ไว้ในเตาผิง แต่ถูกพลังงานจิตจำนวนมากซ่อนเอาไว้ ต้องใช้พลังจิต 1,500 หน่วยเช่นนี้ทำให้เผ่าพันธุ์อื่น ๆ ส่วนมากไม่อาจเปิดมันได้ เว้นเสียแต่จะเป็นเผ่าวิญญาณ

แต่ไม่มีกลไกใดที่ทำลายไม่ได้ แม้จะต้องใช้พลังจิตถึง 1500 หน่วย แต่เพราะทุกคนช่วยกันก็ทำให้ถึงได้เช่นกัน

พวกเขามองทางเข้าเปิดออกมา แต่ละคนมีสีหน้าตื่นเต้นยินดีนัก

“พวกเจ้าตามหาสิ่งนี้อยู่งั้นหรือ ?” ข่าเล่อพึมพำขึ้น “ปราสาทนี่มีความลับที่ข้ายังไม่ค้นพบจริง ๆ แต่จะเปิดทางเข้าต้องทำเช่นนี้เองหรือ”

“ถึงรู้ก็สายไปแล้ว” จูไป๋อวี่ลากข่าเล่อเดินไปหน้าเตาผิง พลังต้นกำเนิดเริ่มแผ่เข้ามาทั่วร่างข่าเล่อ ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็ยกมือขึ้น เกิดเป็นเชือกพันธนาการอีกฝ่ายไว้แน่นหนา จากนั้นก็ใช้นิ้วจิ้มลงที่กลางหน้าผากข่าเล่อ แสงเส้นหนึ่งแล่นทะลุผ่านหน้าผากไป

ข่าเล่อไม่สน เขาเพียงหัวเราะเสียงทะมึนออกมา ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบ

เมื่อจัดการเสร็จ จูไป๋อวี่จึงโยนข่าเล่อเข้าทางเข้าไป

ทางเข้าบนเตาไฟกระเพื่อม เกิดเป็นแสงสีน้ำเงินจาง ๆ แผ่ออกมา จากนั้นข่าเล่อหายไป

ภาพไม่ชัดเจนนักพลันปรากฏขึ้นบนฝ่ามือจูเซียนเหยา มันเป็นภาพห้องมืดสลัวแห่งหนึ่ง

“ไร้อันตราย รอบข้างปกติดี ความผันผวนเชิงพื้นที่ไม่มั่นคงบ้าง เพราะฉะนั้นมันต้องนำทางไปยังพลังงานสูญแน่”

จูไป๋อวี่ยิ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม “ดูท่ามันจะเป็นภาพฉายพลังงานสูญ”

“ภาพฉายพลังงานสูญ ?” จูเซียนเหยาชะงักไป “เจ้าจะบอกว่าขาปี่เอ๋อซือมาเปิดภาพฉายพลังงานสูญไว้ที่นี่หรือ ?”

จูไป๋อวี่พยักหน้าจริงจัง

ภาพฉายพลังงานสูญคือการฉายภาพของโลกจริง

มันไม่ใช่พื้นที่พลังงานสูญที่มีอยู่จริง แต่เป็นโลกมายาเสียมากกว่า

แต่มันไม่เหมือนกับพวกแดนฝันที่เป็นพลังงานสูญประเภทจิตเพียงอย่างเดียว ภาพฉายพลังงานสูญนั้น เป็นวิธีการที่ทำให้โลกมายาจับต้องได้ขึ้นมา เป็นเหรียญอีกด้านของพลังงานสูญที่แท้จริง

การจะเข้าใจหลักการของภาพฉายพลังงานสูญนั้นซับซ้อนนัก หากคิดอยากรู้เรื่องราวก็ต้องมีความรู้ในด้านหลักการทางพื้นที่ในระดับลึกซึ้ง

เผ่าวิญญาณนั้นมีชื่อในด้านการมีพลังจิตสูงส่ง ไม่มีใครคิดว่าขาปี่เอ๋อซือจะเชี่ยวชาญในวิชาเชิงพื้นที่เช่นนี้ด้วย ทั้งยังสามารถใช้ภาพฉายพลังงานสูญอีก

“ในภาพฉายพลังงานสูญมีอันตรายตามธรรมชาติหรือไม่ ?” ซูเฉินเอ่ยถาม

“พูดยาก” จูไป๋อวี่เอ่ยเสียงเข้ม “ภาพฉายพลังงานสูญเป็นเหมือนเงาของพลังงานสูญ พวกมันเป็นภาพจริง แต่ก็ตั้งอยู่โดยใช้กฎเกณฑ์ของมันเอง สิ่งที่เกิดขึ้นในนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามหลักเหตุผล ดังนั้นยามสำรวจต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ”

“เช่นนั้นก็ยิ่งต้องใช้ทหารเดนตายแล้ว” ซูเฉินว่า

“ถูกต้อง” จูไป๋อวี่หัวเราะ จากนั้นหันไปทำท่ามือ ลูกน้องข่าเล่อลอยละลิ่วปลิวเข้าเตาเผาไปด้วยท่าสะบัดมือ

เสร็จเรื่องแล้ว จูไป๋อวี่จึงเอ่ย “ไปเถอะ เราเองก็เข้าไปกันได้แล้ว”

ทุกคนจึงเริ่มเข้าไปทีละคน

ไม่นานหลังจากคนตระกูลจูเข้าไปแล้ว ฉือหมิงเฟิงกับคนอื่น ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในปราสาทไหลน่าตะวันตก

ในเมื่อทั้งคนตระกูลจูและคนของข่าเล่อไม่อยู่แล้ว คนจากอารามนิรันดร์จึงสามารถเข้ามาโดยไร้ภัย

ฉือหมิงเฟิงเหลือบมองเตาผิงแล้วหัวร่อออกมา “ภาพฉายพลังงานสูญ…… ใครจะคิดว่าขาปี่เอ๋อซือจะสร้างภาพฉายพลังงานสูญขึ้นมาได้ เคราะห์ดีที่ตระกูลจูมาด้วย ไม่เช่นนั้นก็คงต้องลำบากอีกมาก เราเข้าไปดูกันเถอะ”

เขาเดินนำเข้าไปทันที

เตาไฟยังคงกระเพื่อมไปมา ปล่อยแสงสีน้ำเงินออกมาไม่หยุดยามที่คนอารามนิรันดร์เดินเข้าไป

พวกเขาเข้าไปไม่นาน คนอีกกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในห้องโถงใหญ่ปราสาทไหลน่าตะวันตก

ผู้ที่เดินนำมาคือหัวหน้าเผ่าเกล็ดทราย ปัวเอ่อร์

ปัวเอ่อร์มองเตาผิงไฟแล้วหัวเราะ “ดูสิว่าแขกผู้มีเกียรติของเรานำอะไรมาให้ ? คลังสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือ…… ฮ่า ๆ ข้าพูดไว้นานแล้วว่ามนุษย์มันเชื่อใจไม่ได้ เคราะห์ดีที่ข้าไม่หลงกลพวกมันตั้งแต่ต้น ถึงจะไม่คิดว่ามีพวกมนุษย์ถึงสองกลุ่มที่คิดจะชิงเอาสมบัติข้าไปก็ตามที”

“พวกนั้นไม่ใช่พวกเดียวกัน เรารอให้พวกมันฆ่ากันเองแล้วค่อยลงมือดีกว่าขอรับ” เผ่าเกล็ดทรายคนหนึ่งว่า

“ความคิดไม่เลวเลยตู้เก๋อ”

เผ่าเกล็ดทรายตาเหยี่ยวด้านหลังปัวเอ่อร์เอ่ยขึ้น “แต่หัวหน้าข่าเล่ออยู่ในมือพวกมันนะขอรับ”

“ข้ารู้ แต่เจ้าก็เห็นแล้วซาเค่อ ว่าพวกมันมีสองกลุ่ม เราจะรอให้พวกมันห้ำหั่นกันเองแล้วค่อยลงมือ”

“เช่นนั้นข่าเล่อ ?”

“ขอให้สวรรค์คุ้มครองเขา การเสียสละของน้องชายเจ้าจะไม่สูญเปล่าแน่” ปัวเอ่อร์ว่าพลางตบไหล่ตาเหยี่ยว

ว่าแล้วพวกเขาก็เดินเข้าภาพฉายพลังงานสูญไปเช่นกัน

ไม่มีใครรู้ว่าที่ภายใต้ห้องโถงใหญ่กำลังเกิดอะไรขึ้นแม้แต่น้อย

ภายในคุกใต้ดิน

เฮ่อซื่อเหลือบมองไปที่เพดาน

เขายิ้มบางแล้วเอ่ยกับตนเอง “ซูเฉินพูดไว้ไม่ผิด เผ่าเกล็ดทรายพวกนั้นหลอกไม่ง่ายเลย ได้เวลาข้าเอาอิสระคืนมาแล้วสินะ”

พูดจบเขาก็ล้วงแหวนต้นกำเนิดออกมาจากกางเกงแล้วหยิบยาขวดหนึ่งออกมา จากนั้นกระดกลงคอทันที

พลังที่ถูกกดไว้พลันพลุ่งพล่าน เสียงลั่นเปรี๊ยะดังขึ้นทั่วร่างเฮ่อซื่อ

เขาปล่อยฝ่ามือหนึ่งกระแทกกรงขังจนมันหักครึ่ง จากนั้นเฮ่อซื่อจึงเดินออกมาจากคุกแล้วมุ่งหน้าไปยังเตาไฟทันที

แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่สังเหตุเห็นนัยน์ตาคู่หนึ่งที่ส่องประกายอยู่ในเงามืดเช่นกัน มันกำลังมองดูทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นอยู่