ภาคที่ 4 บทที่ 33 วิญญาณไร้ชีพ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 33 วิญญาณไร้ชีพ

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามา ซูเฉินก็รู้สึกว่ามีบางอย่างลากร่างเขาผ่านห่วงอากาศไป

มันเป็นความรู้สึกประหลาดมาก ราวกับร่างกายแบนราบเหมือนแผ่นไม้ รอบข้างบิดเบี้ยวกลายเป็นรูปประหลาด คล้ายกับโลกรอบข้างเองก็ถูกทำให้แบนราบไปพร้อมกัน

โชคดีที่ความรู้สึกนี้อยู่เพียงแวบหนึ่ง พริบตาต่อมาเขาก็มาอยู่ในห้องมืดสลัวแล้ว

ในนั้นทั้งมืดทั้งอับชื้น ไร้แสงใดให้เห็น แต่ก็ยังพอจะเห็นรอบข้างได้บ้าง อาทิเช่น ห้องเป็นทรงเหลี่ยม ที่มุมมีเตีงหลังหนึ่ง ข้าง ๆ มีโต๊ะ ใต้โต๊ะมีพรม บนโต๊ะมีตะเกียง

ไม่ว่าจะเป็นเตียง โต๊ะ หรือแสงตะเกียง ทุกอย่างเป็นสีเทาทั้งหมด

ห้องทั้งห้องราวกับถูกวาดด้วยหมึกดำ มีแต่คนที่มีสีสัน

ใช่แล้ว ชุดที่ซูเฉินและคนอื่น ๆ สวมใส่ยังคงมีสี ทำให้พวกเขากลายเป็นสีสันแห่งเดียวในพื้นที่สีเทาแห่งนี้

“เราเข้ามาในภาพฉายพลังงานสูญแล้วหรือ ?” ทหารคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงฉงน

“เรียกว่าเป็นภาพฉายของโลกจริงจะตรงกว่า สิ่งไร้ชีวิตทั้งหลายจะมีตัวตนขึ้นในสถานที่นี้ ดังนั้นพวกมันจึงถูกเรียกว่าวิญญาณไร้ชีพ” จูไป๋อวี่ว่า

“วิญญาณไร้ชีพ ? เช่นนั้นวิญญาณของสิ่งที่ยังมีชีวิตเล่า ?” มีคนหนึ่งถามขึ้น

“อย่างนั้นก็อยู่ในแดนฝันแล้วล่ะเจ้าโง่”

ทุกคนหัวเราะเบา ๆ

“ไม่รู้สึกบ้างหรือว่าที่นี่มันคุ้น ๆ?” คนหนึ่งถามขึ้น

“เหมือนจะห้องสวี่กวง ข้าจำกางเกงในเขาได้”

ทุกคนหัวเราะขึ้นอีกครั้ง

ทหารหนุ่มตระกูลจูนามสวี่กวงหน้าแดงก่ำ เขารีบวิ่งไปที่เตียง กำลังจะคว้ากางเกงในภาพฉายขึ้นมา

แต่ซูเฉินคว้ามือเขาไว้ “อย่าแตะ”

“ก็แค่กางเกงในตัวหนึ่งเอง” สวี่กวงว่า

เขาไม่ฟังคำซูเฉิน เอื้อมไปคว้ามันขึ้นมา

ทันใดนั้น เจ้ากางเกงในก็พลันดีดตัวขึ้น อ้าปากกว้างออกมาแล้วงับเข้าที่มือสวี่กวง

“อ๊าก !” สวี่กวงร้องโหยหวนสุดเสียง

แรงกัดของเจ้ากางเกงในทั้งแรงทั้งโหดเหี้ยม กัดคราหนึ่งมือขาดไปเลย

ทุกคนจึงโจมตีเข้าไปพร้อมกัน ปล่อยวิชาเข้าใส่มันไม่ยั้ง

เจ้ากางเกงในดีดตัวขึ้นอีกแล้วร้องเสียงแหลมขึ้น “ไม่ !”

จากนั้นมันก็กลายเป็นเศษผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วลอยหายไป

เศษผ้าเหล่านั้นล่องลอยไปเรื่อง คล้ายกลับเงาแถบหนึ่งที่ค่อย ๆ จางหายไป

“ไอ้ตัวบ้านั่นมันอะไรกัน ?” ปาเลี่ยหยวนร้องขึ้น

“อย่างที่ข้าบอกไป คือวิญญาณไร้ชีพ !” จูไป๋อวี่เอ่ยย้ำ “ในเมื่อเป็นวิญญาณไร้ชีพ ปกติแล้วก็จะมีจิตนึกคิดของตนเอง เจ้าจะใช้หลักเหตุผลกับที่นี่ไม่ได้ ดังนั้นก็ระวังตัวด้วย ข้าไม่รู้ว่าจู่ ๆ จะมีสิ่งใดมีชีวิตขึ้นมาแล้วกระโดดกัดเจ้าอีกหรือไม่”

เขาเดินไปหาสวี่กวง “เป็นอะไรหรือไม่ ?”

สวี่กวงเหงื่อชุ่มหน้าผาก “ข้าไม่เป็นไร”

“ต่อไปอย่างแตะอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าอีก” จูไป๋อวี่ผลักข่าเล่อไปด้านหน้า “ให้เผ่าเกล็ดทรายนำไปก่อน”

ทุกคนจึงผลักคนเผ่าเกล็ดทรายให้เดินนำหน้าออกจากห้องเล็กนั่นไป

ที่นี่คือภาพฉายของโลกจริง ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ในปราสาทไหลน่าตะวันตก หากแต่ทั้งปราสาทได้กลายเป็นสีเทา ราวกับเป็นสถานที่เก่าแก่ที่ถูกทิ้งร้างมานาน หากเพิ่มเสียงหัวเราะที่ดังกังวานและเงาที่ลอยผ่านไปมาด้วย มันก็คือปราสาทผีสิงดี ๆ นี่เอง

แต่ในปราสาทภาพฉายพลังงานสูญแห่งนี้ไม่มีผี แต่ก็ไม่ขาดสิ่งประหลาดน่าพิศวงเช่นกัน

พวกเขาเพิ่งจะเดินออกมาจากห้องก็เห็นไม้กวาดลอยอยู่ในอากาศ มันมีสองแขนงอกออกมา มีหนึ่งตาอยู่ที่ด้ามจับ เมื่อมันเห็นคนก็ร้องลั่นออกมาด้วยความตกใจ “พระเจ้าช่วย !”

จากนั้นมันก็หมุนตัววิ่งหนีไปทันที ทิ้งไว้เพียงเศษฝุ่นที่ไล่หลัง

ฝุ่นคลุ้งขึ้นไป แต่กลับไม่ลอยลงมาดังเดิม มันรวมกลุ่มกัน กลายเป็นใบหน้าคนที่จ้องมองผู้มาเยือน ก่อนจะกลายเป็นศรฝุ่นที่ยิงออกไปยังมุมหนึ่งของตัวปราสาท

บนผนังมีรูปภาพหลายรูปแขวนอยู่ คนในภาพวาดต่างมีชีวิตขึ้นมา เริ่มร้องเสียงดังขึ้นว่า “ดูสิ ! มีพวกมนุษย์ด้วย”

“มันแปลกตรงไหน ? พวกเราก็มนุษย์ไม่ใช่หรือ ?”

“เจ้าบ้าหรือ ! พวกเราไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นงานศิลป์ต่างหาก !”

“เราเป็นมนุษย์ในภาพวาด ก็นับว่าเราเป็นมนุษย์นั่นล่ะ”

“ไม่ใช่ มนุษย์ในภาพวาดไม่นับว่าเป็นมนุษย์”

“เป็นสิ !”

“ไม่เป็น !”

“บอกว่าเป็น !”

“ก็บอกว่าไม่เป็น !”

เสียงถกเถียงยิ่งรุนแรงขึ้น คนจากภาพวาดทั้งสองพลันก้าวออกมาจากภาพวาดแล้วเริ่มทะเลาะวิวาทกัน

ชายชราในภาพแขวนใกล้ ๆ กันกำลังสูบยากล้องได้แต่ถอนหายใจ “สองคนนี้ชอบตีกันเสียจริง”

“ก็ไม่ใช่ความผิดพวกเขาหรอก ‘บาทหลวง’” ในรูปวาดใกล้ ๆ กันตอบ “ใครใช้ให้เข่าเค่อลวงเอากิจการตระกูลเขาไปกันเล่า ?”

ภาพวาดส่วนมากที่แขวนเอาไว้ที่นี่คือเหล่าเจ้าของคนเก่าของปราสาทแห่งนี้ สถานที่นี่เปลี่ยนเจ้าของมาหลายครา บ้างก็ไม่สะอาดบริสุทธิ์เท่าไร ดังนั้นคนในภาพบางคนจึงมีความแค้นต่อกันอยู่บ้าง

ซูเฉินกับคนอื่น ๆ พักในปราสาทไหลน่าตะวันตกมาหลายวัน รู้เรื่องราวของปราสาทอยู่ไม่น้อย

แต่พวกเขาไม่คิดว่าเมื่อเข้าโลกภาพฉายพลังงานสูญมาแล้ว ประวัติศาสตร์เช่นนั้นจะฉายให้เห็นอย่างน่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้ ได้เปิดหูเปิดตากว้างไกลกว่าเดิมแล้ว

คนในภาพทั้งสองยังเถียงกันไม่หยุด ภาพวาดอื่น ๆ ต่างก็มองคนทะเลาะกันแล้วหันไปซุบซิบกัน พวกเขาไม่มีวี่แววคิดอยากโจมตีคนแปลกหน้าที่เข้ามาแม้สักนิด

ชายชราที่สูบยาสูบชิงเอ่ยขึ้นว่า “ยินดีต้อนรับแขกจากโลกจริง”

“ยินดีต้อนรับหรือ ? ข้านึกว่าพวกท่านจะไล่ข้ากลับไปเสียอีก” จูไป๋อวี่กล่าว

“ทำไมต้องไล่เล่า ?” ชายชราชะงักไป “พวกเราอยู่ในสถานที่น่าเบื่อเช่นนี้มานานนม เบื่อจนไม่รู้จะเบื่ออย่างไรแล้ว ได้แต่หวังว่าจะมีเรื่องใหม่เกิดขึ้นให้ดูน่าสนใจบ้าง แต่ที่นี่ก็มีแต่ภาพฉาย แล้วจะมีอะไรใหม่ ๆ ให้ดูได้หรือ ตอนนี้มีแขกเข้ามา ทำไมพวกข้าจะไม่ต้อนรับ ?”

“แต่ดูท่าว่าจะไม่ใช่ทุกคนที่คิดเหมือนท่านนะ ท่านดูนี่ เมื่อครู่กางเกงในตัวหนึ่งกัดมือเพื่อนข้าขาดเลยนะ”

“อ้อ เจ้าพูดถึงเจ้าตัวที่มาใหม่สินะ” ชายชราพลันเข้าใจ

เขาพยักหน้า ก่อนที่กางเกงในตัวหนึ่งจะปรากฏขึ้นกลางอากาศ

มันเป็นตัวเดียวกันกับที่กัดมือสวี่กวงนั่นเอง

พวกเราสังหารมันแล้วไม่ใช่หรือ ? ทำไมมันยังอยู่เล่า ? ทุกคนอึ้งไป

“ไม่ต้องตกใจไป ! ไม่ต้องตกใจ !” ชายชราหัวเราะ “อย่าลืมสิว่าที่นี่เป็นภาพฉายของโลกจริง ทุกอย่างนั้นเลียนมาจากโลกจริง เพราะฉะนั้นหากสิ่งของในโลกจริงยังคงมีตัวตนอยู่……”

“เช่นนั้นภาพฉายก็จะไม่หายไป” ซูเฉินตอบ

“ถูกต้อง !” ชายชราหัวร่อ

“ฉะนั้นหากเรากลับไปโลกจริงแล้วเผามันทิ้งเสีย เจ้านี่ก็จะตายใช่หรือไม่ ?” ซูเฉินว่า

รอยยิ้มชายชราพลันแข็งค้าง เจ้ากางเกงในคลั่งก็นิ่งไป

จากนั้นมันก็ร้องขึ้น “ไม่ เจ้าทำเช่นนั้นไม่ได้ !”

“แต่เจ้าโจมตีข้าก่อนนะ !” สวี่กวงเอ่ยเสียงโกรธ “ข้ากลับไปได้เมื่อไหร่ข้าจะเผาเจ้าทิ้งเสีย !”

“เอาเลย เผาเลย ! ข้ายอมโดนเผาเป็นเถ้าดีกว่าเป็นกางเกงในเจ้า !” เจ้ากางเกงในร้องโหยหวน “เจ้าใช้ข้าทำเรื่องต่ำช้าตลอด ทุกครั้งที่เจ้าจินตนาการถึงนายหญิงผู้นั้นของเจ้า เจ้าก็ปล่อยไอ้สิ่งชั่วร้ายนั่นออกมา แล้วยังไม่เคยเอาข้าไปซักอีก ! สุดท้ายข้าก็เปื้อนมันไปทั่ว พอแล้ว พอกันที ข้าบอกเจ้าไว้ตรงนี้เลย !”