บทที่ 34 พิธีกรรมโบราณ
เวลาคล้ายกับหยุดลง ณ ตรงนั้น
ทุกคนหันไปมองสวี่กวงด้วยสายตาแปลก ๆ
สวี่กวงหน้าแดงฉ่า
“ข้าจะฆ่าเจ้า !” เขาร้องลั่นขึ้นก่อนจะโจมตีเข้าไปอย่างดุเดือด
พลังลมจากหมัดพุ่งทะยานโดยแรง ฉีกเจ้ากางเกงในเป็นชิ้น ๆ หากแต่พริบตาต่อมามันก็กลับมาก่อร่างใหม่แล้วหัวเราะเยาะเย้ยใส่สวี่กวง
จูเซียนเหยาเองก็หน้าแดงเช่นกัน
นางอยากกล่าวคำ แต่ซูเฉินจับมือนางไว้ “ช่างเขาเถอะ จะรักจะชอบใครไม่ใช่อาชญากรรม”
จูเซียนเหยาเหลือบมองอีกฝ่าย ดูฉงนอยู่บ้าง แต่ก็รู้สึกว่าซูเฉินมีเหตุผล
นางจึงพยักหน้า “เช่นนั้นครั้งนี้ข้าจะปล่อยเขาไป”
นางตวัดสายตาเข้มมองสวี่กวงแล้วเอ่ยขึ้น “เลิกทะเลาะเรื่องไร้สาระได้แล้ว ตอนนี้เราต้องหาสิ่งที่ขาปี่เอ๋อซือทิ้งไว้ให้ได้”
“ขาปี่เอ๋อซือ ? พวกเจ้าว่าขาปี่เอ๋อซือหรือ ?” ชายชราถามเสียงตะลึง ปากยังคงสูบยาสูบต่อ
“อะไร ? ท่านรู้เรื่องเขางั้นหรือ ?”
“ย่อมรู้ ! หลายปีที่ผ่านมานี้ มีผู้มาเยือนจากโลกจริงแค่ 2 กลุ่มเข้ามาเท่านั้น เจ้าเป็นกลุ่มที่สอง ขาปี่เอ๋อซือเป็นกลุ่มแรก ตอนนั้นร่างวิญญาณเขายังมีกำลังวังชา ข้าสัมผัสความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่จากเขาได้เลย”
“เจ้าก็เป็นแค่ภาพวาดนะตาแก่ จะไปรู้อะไรกัน” คนในภาพวาดแถว ๆ นั้นเอ่ยแทรก
“แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าขาปี่เอ๋อซือทิ้งอะไรไว้ ?” จูเซียนเหยารีบถาม
“ข้าจะรู้หรือ ?” ชายชรากลอกตาตอบ “ข้าเป็นเพียงภาพวาด นอกจากที่นี่ข้าก็ไปไหนไม่ได้อีก”
ทุกคนถอนหายใจ
พวกเขาเกือบได้ทางลัดเพื่อหาสมบัติแล้วเชียว เช่นนี้พวกเขาก็ได้แต่ตามหามันเองแล้ว
“เจ้าลองถามไม้กวาดตรงนั้นดู มันชื่อไม่เอ่อร์ เป็นสิ่งที่เคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้มากที่สุดในปราสาท เพราะมันต้องทำความสะอาดทั้งปราสาททุกเช้า ถึงข้าจะคิดว่าที่นี่ไม่มีอะไรให้มันปัดกวาดก็เถอะ ฮ่า ๆ” ชายชราหัวเราะกับมุกตลกฝืดของตน
เจ้าไม้กวาดโผล่ออกมาจากมุมหนึ่ง ตาที่มีอยู่เพียงดวงเดียวของมันมองไปมาไม่หยุด
จูเซียนเหยาเดินเข้าไป กำลังจะเอ่ยคำกับมัน มันกลับพุ่งขึ้นไปในอากาศแล้วกรีดร้องขึ้น “ข้าไม่บอกหรอกนะ !”
“คิดหนีหรือ ?” จูไป๋อวี่คำราม เขาเงื้อมือขึ้นสะบัดไปทางมัน ไม่เอ่อร์ลอยกลับมาอยู่ในเงื้อมมือจูไป๋อวี่ทันที
“บอกสิ่งที่รู้มาดีกว่า ไม่เช่นนั้น……” จูไป๋อวี่เอ่ย
“ไม่เช่นนั้นจะอะไร ? จะฆ่าหรือ ? ข้าไม่กลัวตายหรอก” ไม่เอ่อร์ว่า
“ไม่ แต่ข้าจะมัดเจ้าไว้ต่างหาก เจ้าจะไม่อาจเคลื่อนตัวได้อีกตลอดไป” จูเซียนเหยาพูดพลางดึงผ้าคลุมออกมาผืนหนึ่ง ทำท่าจะเข้ามามัดตัวมันไว้
ซึ่งก็ได้ผลชะงัด ไม่เอ่อร์ร้องลั่น “ก็ได้ ๆ ข้าพูดแล้ว ! บนยอดปราสาทมีห้องหนึ่งที่ปิดตายไว้อยู่ สิ่งที่เจ้าต้องการอาจอยู่ที่นั่น”
“ก็น่าจะบอกแต่แรก !” จูไป๋อวี่ว่าพลางปล่อยตัวมันไป
พวกเขารู้ทิศทางในปราสาทไหลน่าตะวันตกดี ทุกคนจึงเดินทางไปได้โดยไม่จำเป็นต้องให้ไม่เอ่อร์นำทาง
ไม่เอ่อร์มองทุกคนเดินจากไปพลางคำรามโกรธ “กล้าขู่ข้าหรือ ? พวกเจ้าต้องชดใช้”
“ในห้องนั้นมีอะไรหรือ ?” ชายชราในภาพวาดถามขึ้น
“ฝันร้ายอย่างไรเล่า !” ไม่เอ่อร์ตอบกลับ
——————————————
พวกเขาเดินผ่านทางเดินยาว ก่อนจะมาถึงห้องบนยอดปราสาทโดยง่าย
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงห้องที่ไม่เอ่อร์พูดถึง
มันเป็นห้องที่อยู่สุดมุมทางเดิน ประตูสีขาวมีขนาดใหญ่มาก มีหัวอสูรที่ทำจากสัมฤทธิ์ประดับอยู่
“แปลกจริง” ซูเฉินพึมพำเมื่อเห็นประตู
“อะไรหรือ ?” จูเซียนเหยาถาม
“ข้าไม่เคยเห็นห้องนี้ในปราสาทไหลน่าตะวันตกเลย” ซูเฉินว่า
เมื่อซูเฉินพูด ทุกคนจึงคิดได้
ภายในปราสาทไหลน่าตะวันตก ตรงนี้มีเพียงกำแพง แต่ไม่มีประตู
แต่ภาพฉายปราสาทกลับมีประตูสู่ห้องที่ไม่มีตัวตนอยู่ในโลกจริงเสียได้
ปาเลี่ยหยวนหัวเราะ “เช่นนี้ยิ่งทำให้รู้ว่าเจ้าไม้กวาดไม่ได้โกหกหรอกหรือ ? ที่นี่น่าจะเป็นคลังสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือจริง ๆ สมบัติที่ซ่อนไว้ไม่ใช่ภาพฉาย ดังนั้นในโลกจริงก็คงไม่มีของที่เหมือนกันอยู่หรอก”
ทุกคนเองก็คิดเช่นนั้น ต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย
ทว่าจูเซียนเหยาก็ยังผลักเผ่าเกล็ดทรายคนหนึ่งให้เดินไปเปิดประตู
เผ่าเกล็ดทรายผู้นั้นเดินไปลองผลักประตู แต่กลับพบว่าทำไม่ได้ ไม่ทันรู้ว่าจะทำอย่างไร หัวอสูรสัมฤทธิ์ก็ลืมตาโพลง
จากนั้นก็เอ่นเสียงดังกังวานออกมา “ประตูจะไม่เปิดออกหากไร้เครื่องสังเวย”
จูเซียนเหยาก้าวไปข้างหน้า “แล้วเจ้าอยากได้เครื่องสังเวยอะไร ?”
“เลือดสดและวิญญาณ”
จูเซียนเหยาพยักหน้า “คนตรงหน้าเจ้าคือเครื่องสังเวย”
เผ่าเกล็ดทรายผู้นั้นกลัวจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง เขาอยากหนี แต่จูไป๋อวี่จับเขาไว้แน่น มีหรือจะหนีไปได้ ?
หัวอสูรสัมฤทธิ์ร้องเสียงก้องคล้ายโลหะออกมา มันอ้าปากกว้าง ก่อนจะกัดแขนเผ่าเกล็ดทรายผู้นั้น
เลือดสด ๆ ไหลอาบปากมัน จากนั้นก็ไหลลงมาที่ผิวประตู สุดท้ายประตูก็เต็มไปด้วยเลือดที่ไหลนองลงมา
“ยังไม่พอ !” หัวอสูรสัมฤทธิ์สูบเลือดเผ่าเกล็ดทรายผู้นั้นจนร่างแห้งเสร็จก็ตะโกนลั่น
“เช่นนั้นก็เอาไปอีก !” จ้าวจิ่งเหวินคว้าเผ่าเกล็ดทรายอีกคนมาแล้วโยนร่างเขาไป
เลือดสด ๆ มากมายถูกดูดเข้าปากมันไป ภาพสลักเปื้อนเลือดบนประตูยิ่งหนาขึ้นเรื่อย ๆ เกิดเป็นอักขระลวดลายลึกลับซับซ้อนขึ้น
ลวดลายนี้ แท้จริงแล้วคือค่ายกลซับซ้อนแห่งหนึ่งที่พลันเปิดการทำงานขึ้นมา
หลังจากดูดเลือดเผ่าเกล็ดทรายคนที่สองแล้ว อสูรสัมฤทธิ์จึงเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเจ้าเอาเครื่องสังเวยมาก เช่นนั้นพิธีกรรมโบราณก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว ข้าจะยอมทำตามคำขอ เปิดทางเดินให้เจ้า !”
“อะไรนะ ?” จูเซียนเหยาชะงักไป
พิธีกรรมโบราณอะไรกัน ?
อสูรสัมฤทธิ์แหงนหน้าขึ้นพลางส่งเสียงคำรามโหยหวน ประตูพลันเปิดออกช้า ๆ เผยให้เห็นพื้นที่สีดำสนิทด้านใน
จากนั้น พลังที่ทะมึนพลันพุ่งออกมาราวกับน้ำหลาก ปล่อยกลิ่นอายน่าขวัญผวาออกมา
“นั่นมันอะไร ?” จูเซียนเหยาเริ่มส่งเสียงกรีดร้อง
“รีบถอยก่อน !” ซูเฉินคว้าจูเซียนเหยาไว้แล้วกระโดดถอยออกมา
คลื่นพลังทะมึนนั้นกลืนร่างเผ่าเกล็ดทรายโชคร้ายคนนั้นไว้แล้ว เขาร้องโหยหวนก่อนจะหายไปไม่เหลือร่องรอย
ทุกคนเห็นแล้วก็ตกใจ รีบถอยเต็มกำลัง คลื่นพลังมืดยังรุดหน้าเขามามิหยุดหย่อน กลืนกินทางเดินไปกว่าครึ่งมันถึงจะหยุดการเคลื่อนไหวลงได้
จากนั้นมันก็กลายร่างเป็นยักษ์แล้วเอ่ยเสียงก้อง “ความตาย ความวิบัติ หมดสิ้นซึ่งการมีอยู่ ! ข้าได้กลิ่นหายนะอีกครั้งแล้ว ฮ่า ๆ!
“บัดซบ ! นี่ไม่ใช่คลังสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือ นี่มันพิธีเรียกปีศาจ !” จูเซียนเหยาร้องขึ้น
ไม่มีใครคิดว่าประตูบานนั้นจะเปิดไปสู่พื้นที่ประหลาด เจ้าตัวประหลาดน่าขนลุกนั่นพลันพุ่งออกมาทันทีที่บานประตูถูกเปิดออก
พิธีเรียกปีศาจนี้ต้องใช้เครื่องสังเวยเพื่อเรียกสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายออกมา ไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นตัวอะไรที่ถูกเรียกมากันแน่ ด้วยเมื่ออยู่ต่างโลก พวกมันก็จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป
พิธีเรียกปีศาจที่ดำเนินขึ้นภายในภาพฉายพลังงานสูญนี้ย่อมดึงเอาสสารประเภทความมืดมาไม่ผิดแน่ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหมาะกับภาพฉายพลังงานสูญพอดิบพดี
ไอ้ไม้กวาดเวรนั่นมันหลอกพวกเขา
มีเพียงซูเฉินเท่านั้นที่นัยน์ตาเป็นประกายอยู่เงียบ ๆ
นั่นก็เพราะชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคยมาจากร่างของปีศาจที่ถูกอัญเชิญมานั่นเอง !