ภาคที่ 4 บทที่ 35 ปีศาจทมิฬ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 35 ปีศาจทมิฬ

ไม่ว่าตัวที่อัญเชิญออกมาจะเป็นตัวอะไรกันแน่ การเชิญอสูรแห่งความมืดย่อมไม่ก่อให้เกิดเรื่องดีเป็นแน่

เสียงคำรามลั่นดังสะท้านแผ่ไอสังหารโหดเหี้ยมของอสูรแห่งความมืดออกมา คลื่นพลังมืดมิดพล่านออกมาจากร่างยามมันตะโกน “จงกลายเป็นอาหารให้ความมืดเสียเถอะ !”

“ระวัง ! ทุกคนถอยก่อน !” จูไป๋อวี่ตะโกนบอก

พลังงานสีเลือดพุ่งขึ้นมาปะทะกับพลังมืด คลื่นพลังทั้งสองเข้าห้ำหั่นกัน ปล่อยพลังสะท้านสะเทือนออกมา ทุกสิ่งอย่างที่คลื่นพลังแตะผ่านจะสลายไปทันที แต่จากนั้นมันก็จะก่อร่างขึ้นใหม่

สถานที่นี้เหมาะกับการต่อสู้ไม่น้อย ไม่ว่าจะถูกโจมตีอย่างไรมันก็จะกลับสู่สภาพเดิมโดยเร็ว

“พวกหนอนแมลงไร้ค่าเอ๋ย จงจำชื่อของข้าไว้ให้ดี ! ข้าคือปีศาจทมิฬ !” อสูรแห่งความมืดที่ถูกอัญเชิญมาคำรามลั่น หมอกดำเริ่มมารวมตัวกัน กลายเป็นหอกสองหน้าเสือกเข้าไปยังจูไป๋อวี่

“โอหังนัก !” จูไป๋อวี่คำรามแล้วส่งท่าดัชนีออกไป

ท่าดัชนีนี้มีทั้งพลังเสน่ห์ของดัชนีจิ้งจอกสวรรค์และพลังของจักรพรรดิอสูรกาย มันพุ่งเข้าใส่ปีศาจทมิฬ เมื่อมันปะทะเข้ากับหอกยาวก็ระเบิดออกมาเป็นแสงสว่างจ้า

“อ๊ากกก !” ปีศาจทมิฬร้องโหยหวน หอกยักษ์ถูกท่าดัชนีทำลายสิ้น สลายกลับคืนเป็นหมอกดำ แสงสว่างเช่นนี้ก็เหมือนกับยาพิษ ด้วยมันกร่อนร่างของปีศาจทมิฬได้ ทำให้ร่างมันเล็กลงมาก

“บัดซบ !” ปีศาจทมิฬคำรามโกรธ ก่อนที่คลื่นพลังสีทะมึนจะสาดออกมาอีกครั้ง

แขนข้างหนึ่งของทหารตระกูลจูคนหนึ่งถูกหมอกมืดนั่นปกคลุม มันกลายเป็นหมอกดำแล้วพลันสลายไป

“ไม่ ! ช่วยด้วย !” เขาร้องขึ้น ทว่าก็ได้แต่มองภาพความมืดที่ค่อย ๆ กลืนกินร่างตนเองจนทั้งร่างสลายหายไป

ความกลัวเริ่มแผ่ขึ้นในใจคนทั้งหลายเมื่อเห็นภาพคนถูกความมืดกลืนกินไปเช่นนั้น

“ทุกคน เปิดใช้เกราะพลังเสีย โจมตีในระยะพอ อย่าเข้าไปประชิดตัวมัน !” จูเซียนเหยาตะโกนบอก

นับเป็นวิธีต่อสู้กับปีศาจทมิฬที่ดีที่สุดแล้ว

มีแต่ซูเฉินที่ตาเป็นประกาย

สสารเงา !

เขามั่นใจแล้วว่าร่างของปีศาจทมิฬตัวนี้เต็มไปด้วยสสารเงาทั้งสิ้น

ซูเฉินนั้นได้สสารเงามาจากหินก้อนดำเมื่อครั้งก่อน และเพราะที่มาของมันลึกลับนัก เขาจึงไม่อาจหาทางสกัดมันมาจากที่ใดได้อีก ได้แต่เอามันกลับมาใช้ใหม่ให้ได้มากที่สุดเท่านั้น

แต่หากไม่มีสสารเงาใหม่ ๆ เข้ามา ซูเฉินก็จะสร้างข้ารับใช้เงาเพิ่มขึ้นได้ยาก กระทั่งจะทำให้ข้ารับใช้เงาในปัจจุบันแกร่งขึ้นยังยากไม่ใช่น้อย

แต่ตอนนี้เจากลับพบกับสิ่งมีชีวิตที่ร่างมันสร้างมาจากสสารเงาเข้า

แล้วเขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร ?

ในตอนนี้ ทุกคนต่อสู้พัวพันอยู่กับปีศาจทมิฬ ซูเฉินยืนอยู่ข้าง ๆ มองการต่อสู้ของปีศาจทมิฬอยู่

ปีศาจทมิฬนั้นทรงพลังเป็นพิเศษ คล้ายกับมีพลังงานมืดไร้ที่สิ้นสุดที่สามารถกัดกร่อนสุดสิ่งอย่างได้ ไม่ว่าใครที่ถูกหมอกดำ แม้จะเพียงเล็กน้อย ก็จะสลายไปโดยเร็ว

เปรี๊ยะ !

เกราะพลังต้นกำเนิดของจ้าวจิ่งเหวินแตกกระจายออก ยังไม่ทันสร้างเกราะใหม่ขึ้นมา พลังต้นกำเนิดมืดของปีศาจทมิฬก็ถูกร่างเขา เขาเองก็ใจเด็ด เฉือนเนื้อบนไหล่ทิ้งไปทันที เนื้อก้อนนั้นค่อย ๆ สลายกลายเป็นหมอกมืด จากนั้นก็หายไปไม่เหลือร่องรอย

พลังกัดกร่อนของพลังมืดนี้ช่างน่ากลัวจริง ๆ

ในสายตาซูเฉิน มันเป็นเพียงสสารเงาเข้มข้นกลุ่มหนึ่งที่หมายจะตาเป้าหมายมาเพื่อกัดกร่อนให้สิ้นไปเท่านั้น

นับเป็นคุณสมบัติกัดกร่อนอย่างพิเศษของสสารเงา ซูเฉินค้นพบมันมานานแล้วยามที่เอามันมาผสานเข้ากับเปลวเพลิงเพื่อสร้างเพลิงเงายักษ์ขึ้น แต่จำนวนสสารเงาในมือเขามีจำกัด เช่นเดียวกับความสามารถในการกัดกร่อนของเจ้ายักษ์ เขาไม่คิดเลยว่าเมื่อมารวมตัวกันหนาแน่นมากพอ สสารเงาจะมีฤทธิ์กัดกร่อนได้รุนแรงเช่นนี้

การมีสสารต้นกำเนิดอยู่หนาแน่นมากเช่นนี้นับเป็นของล้ำค่าหายากในสายตาซูเฉิน !

นัยน์ตาเขาฉายแววโลภขึ้นมา

“เทียนหย่าง ทำอะไรของเจ้า !” จูเซียนเหยาร้องขึ้นเมื่อเห็นซูเฉินมีท่าทีแปลก ๆ

ซูเฉินในตอนนี้กำลังปลดเกราะลงแล้วเดินเข้าไปใกล้มันด้วยตนเอง

เขาอยากตายหรือไร ?

ฟ้าว !

ปีศาจทมิฬตวัดแขนเข้าใส่ซูเฉิน

ซูเฉินเงื้อมีดขึ้น แขนของปีศาจทมิฬไม่ได้แข็งแรงมากนัก ถูกฟันขาดไปทันที

หากแต่แขนที่ขาดนั้นก็ยังโจมตีโดนร่างซูเฉิน ความมืดจำนวนมากโอบร่างเขาไว้ จูเซียนเหยากรีดเสียงออกมาราวกับเป็นตนเองที่กำลังจะตาย

หากแต่พริบตาต่อมา ความมืดทั้งหลายดูเหมือนจะถูกซูเฉินควบคุมไว้ได้ สุดท้ายก็มารวมตัวกันอยู่แถวมือซ้าย ก่อนที่พวกมันจะหายไปไม่เหลือร่องรอย

“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?” ปีศาจทมิฬร้องขึ้นเสียงตะลึง

มันสัมผัสได้ว่าที่มือซ้ายของมนุษย์ผู้นี้มีบางอย่างที่มีอำนาจควบคุมมันอยู่สูงทีเดียว

เหมือนกับหิมะที่เจอแสงจ้าแล้วละลาย

สสารเงาจำนวนมากลอยเข้าถุงมือเพลิงเงาไป ของพิเศษชิ้นนี้พลันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และเพราะเลือดของซูเฉินเชื่อมต่อกับมัน เขาจึงรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ดูดมันเข้ามา !

เป็นความรู้สึกพึงพอใจยามได้กินเต็มอิ่ม

เห็นได้ชัดว่าซูเฉินไม่คิดจะปล่อยเรื่องไปเช่นนี้

เป้าหมายตรงหน้าเขาคือแหล่งสสารเงาจำนวนมาก หากเขาพลาดโอกาสนี้คงต้องเสียใจไปนานแน่

ซูเฉินยกมือซ้ายขึ้นแล้วหวดมันเข้าใส่ปีศาจทมิฬ

เกิดเสียงดังแควกขึ้น ซูเฉินกวาดเอาหมอกดำบนร่างปีศาจทมิฬออกมาได้กลุ่มใหญ่

ถุงมือบนมือซ้ายเขาส่งแสงเรืองอ่อน ๆ ก่อนจะดูดซับหมอกดำเข้าไปอย่างรวดเร็ว

พริบตาต่อมาซูเฉินก็หวดแขนเข้าไปอีก

ราวกับกำลังกินเนื้อแกะหรือวัวก็มิปาน ซูเฉินแยกร่างศัตรูด้วยหมัดครั้งแล้วครั้งเล่า กลืนกินมันไปทีละนิด สสารเงาจำนวนมากไหลเข้าสู่ถุงมือ เพิ่มพลังของถุงมือเพลิงเงาขึ้นเรื่อย ๆ

“ไม่ !” ปีศาจทมิฬร้องเสียงโหยหวนด้วยความหวาดกลัว

มันไม่รู้ว่าศัตรูทำเช่นนั้นได้อย่างไร แต่มันรู้ว่าทุกการโจมตีของซูเฉินสามารถทำให้มันอ่อนกำลังลงได้จนกระทั่งมันไม่เหลือแรงสู้อีก

ปีศาจทมิฬจึงเริ่มรู้สึกกลัวและเริ่มถอยในที่สุด

“อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้ !” ซูเฉินร้องขึ้น

คนอื่น ๆ เห็นว่าถุงมือซูเฉินสู้ปีศาจทมิฬได้จึงเริ่มโจมตีออกไป แล้วพยายามจำกัดการเคลื่อนไหวของมัน

ปีศาจทมิฬร้องโหยหวนไม่หยุดและคิดหาทางหนี มันไม่ดูน่ากลัวเหมือนเมื่อครู่แล้ว เอาแต่คลานกับพื้นอยู่ตอนนี้ดูคล้ายกับกองโคลนเสียมากกว่า หากแต่ซูเฉินก็ไม่หยุดมือ ยังคงโจมตีกลืนร่างมันต่อไป

และเมื่อซูเฉินกลืนสสารเงาก้อนสุดท้ายเข้าถุงมือไปแล้ว ปีศาจทมิฬก็ไม่อาจคงร่างไว้ได้อีก มันสลายหายไปทันที

หมอกดำจำนวนมากลอยคละคลุ้งไปทั่วพื้นที่ และเมื่อสลายไปก็เหลือไว้เพียงผงสีเทา

ซูเฉินหยิบผงนั่นขึ้นมาเล็กน้อย มันเป็นผงที่เต็มไปด้วยสสารเงาจำนวนมาก เมื่อเห็นดังนั้นก็ทำให้เขานึกถึงหินสีเทาที่เขาเคยได้มาเมื่อคราวก่อน

เขาจึงเริ่มเข้าใจที่มาของหินเหล่านั้นขึ้นมา

ซูเฉินจึงค่อย ๆ เก็บผงพวกนั้นไว้ไม่เหลือทิ้งให้เสียของ

พวกมันยังเอาไปค้นคว้าได้อีกมาก

และเมื่อเขาลุกขึ้นมา ก็เห็นว่าทุกคนมองเขาด้วยสายตาแปลก ๆ