ภาคที่ 4 บทที่ 36 เผยไพ่ทั้งหมด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 36 เผยไพ่ทั้งหมด

เมื่อยืนขึ้นอีกครั้ง ซูเฉินก็เห็นว่าตนถูกคนทั้งสี่ยืนล้อมเอาไว้

จูไป๋อวี่ จูเซียนเหยา จ้าวจิ่งเหวินและปาเลี่ยหยวน

“พวกท่านทำอะไร ?” ซูเฉินถามขึ้น

“เจ้าไม่ใช่โหยวเทียนหย่าง เจ้าเป็นใครกันแน่ ?” จ้าวจิ่งเหวินเอ่ยเสียงต่ำ

ซูเฉินหรี่ตาลง “จ้าวจิ่งเหวิน เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอะไร ?”

ปาเลี่ยหยวนเอ่ยเสียงน่าขนลุก “ข้ามั่นใจว่าตระกูลหลงไม่มีวิชาที่สามารถควบคุมปีศาจทมิฬได้ อีกทั้งข้ายังไม่เคยเห็นนายน้อยฝึกวิชาจิตลับมาก่อน”

ซูเฉินอ่ยเสียงเหยียด “เจ้าไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่ได้ฝึกนี่ เจ้าโง่”

ปาเลี่ยหยวนตอบ “นายน้อยโหยวเองก็ไม่พูดจากับข้าเช่นนั้นเหมือนกัน”

ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็น “น้ำเสียงเจ้าทำเอาข้าเกือบคิดว่าเจ้าเป็นเจ้านายเสียแล้ว”

ถึงตอนนี้ซูเฉินร็แล้วว่าตนถูกเปิดโปง ดังนั้นการพูดจึงเริ่มเปลี่ยนไปด้วย เขาไม่แสร้งทำเป็นโหยวเทียนหย่างอีก แต่อย่างไรก็ยังไม่ยอมรับ

จูไป๋อวี่กล่าวขึ้น “พอแล้ว ก่อนเราจะเข้ามาที่นี่ ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ใช่โหยวเทียนหย่าง”

“โอ๋ ? แล้วท่านมีหลักฐานหรือ ?” ซูเฉินโต้กลับ

“หลักฐานคือผลึกแก้วต้นกำเนิดนั่น” จูไป๋อวี่ชี้ไปที่เข็มขัดของซูเฉิน

“ผลึกแก้วต้นกำเนิด ? มีผลึกแก้วต้นกำเนิดแล้วผิดตรงไหน ? ข้ามีผลึกแก้วต้นกำเนิดประเภทพลังจิตไว้ไม่ได้หรือ ?”

“แน่นอนว่ามีได้ แต่เจ้าก็น่าจะเอาออกมาตั้งแต่ก่อนจะใช้โอสถปลุกวิญญาณ 3 ขวด” จูไป๋อวี่หัวเราะเสียงเย็น “โอสถปลุกวิญญาณนั้นเป็นยากิน ใช้แล้วก็หมดไป แต่ผลึกแก้วต้นกำเนิดเอากลับมาใช้ซ้ำได้เรื่อย ๆ เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าใครที่สติสมประกอบย่อมต้องเอาผลึกแก้วที่ใช้ซ้ำได้ออกมาใช้ก่อนจะใช้ยาและคัมภีร์ทั้งนั้น แต่เจ้า ? เจ้าใช้ยาก่อน จากนั้นถึงได้เอาผลึกแก้วออกมาเมื่อเห็นว่าใช้ยาแล้วยังไม่พอ ที่เจ้าทำเช่นนั้นก็เพราะไม่อยากเผยว่าตนมีผลึกแก้วต้นกำเนิดประเภทพลังจิต เพราะเจ้ารู้ดีว่ายิ่งเผยความสามารถที่โหยวเทียนหย่างไม่อาจทำได้ เจ้าก็ยิ่งเสี่ยง”

“เช่นนั้นท่านก็สงสัยข้ามาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว” ซูเฉินยิ้มบาง “ข้าไม่แปลกใจนักหรอก นับตั้งแต่ที่ข้าขอเปิดคลังสมบัติลับแทนจูเซียนเหยา ข้าก็รู้แล้วว่าเลี่ยงความสงสัยไม่ได้”

“แต่เจ้าก็ยังทำ”

“ใช่แล้ว ข้าไม่มีทางเลือก อย่างไรการเปิดคลังสมบัติลับก็สำคัญที่สุด หากข้าไม่ยอมเสี่ยงทำตัวเด่น พวกเราก็คงไม่ได้เข้ามาอยู่ในนี้หรอก”

“เช่นนี้คือเจ้าไม่ปฏิเสธว่าเจ้าไม่ใช่โหยวเทียนหย่าง ?” จูเซียนเหยาถามขึ้นขณะพยายามข่มความโกรธ

ซูเฉินยิ้มแผ่ว “ก็ไม่ใช่ เจ้าดูไม่ชอบคำตอบนั้นเท่าไหร่สินะ ? อ้อใช่ ! จูบนั่น…… เจ้าคิดว่าเจ้าจูบโหยวเทียนหย่างล่ะสิ ?”

ซูเฉินพูดขึ้นแล้วก็แลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนหัวเราะเสียงเบา

“บัดซบ !” จูเซียนเหยาโกรธจนแทบคุมสติไม่อยู่

พอนางเริ่มเปิดใจให้โหยวเทียนหย่างกลับมาพบว่าโหยวเทียนหย่างคนนี้ไม่ใช่โหยวเทียนหย่างตัวจริง แล้วนางจะไม่โกรธได้หรือ ?

อีกทั้งนางยังใช้จูบนั้นหว่านเมล็ดดอกรักไปแล้วด้วย

แล้วตอนนี้นางกลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่นางใช้วิชานั่นด้วยเป็นใครกันแน่ !

แล้วจะไม่ให้นางแทบบ้าได้อย่างไร ?

“ข้าจะฆ่าเจ้า !” นางกรีดเสียงขึ้นพร้อมกระแทกฝ่ามือเข้ามา

“ข้าว่าเรื่องสำคัญที่สุดของเจ้าตอนนี้คงไม่ใช่การสังหารข้ากระมัง” ซูเฉินส่งหนึ่งฝ่ามือเข้าปะทะ จากนั้นกระโดดถอยหลังไปหาจูเซียนเหยา

“กล้าดีนัก !” จูไป๋อวี่ร้องขึ้น เขากำลังจะเข้าไปช่วย แต่กลับได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “จูไป๋อวี่ คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า !”

หยาดฝนพลันปรากฏ ดูเหมือนหยดน้ำทั้งหลายจะแข็งค้างอยู่กลางอากาศ และเมื่อลมพัดเข้ามา หยาดฝนน้ำแข็งก็เริ่มโปรยลงมา

จูไป๋อวี่กลับรับมือหยาดฝนเหล่านี้อย่างจริงจัง เขาถูกบีบให้ต้องถอนกระบวนท่าหมายโจมตีซูเฉิน ก่อนจะคำรามออกมา ปล่อยพลังทั้งหมดในร่างเพื่อสร้างเป็นคลื่นพลัง ต้านหยาดฝนเอาไว้ไม่ให้พวกมันโปรยลงมาได้

“ฉือหมิงเฟิง !” เขาคำรามขึ้น

“ข้าเอง” ฉือหมิงเฟิงปรากฏตัวขึ้นพร้อมรอยยิ้มบาง หยาดพิรุณยังคงโปรยปรายลงมา ซึมลึกเข้าร่างหนาวเย็นถึงกระดูก ทำให้จูไป๋อวี่รู้สึกตกใจอยู่บ้าง

เขาไม่ได้ตกใจกลัวฉือหมิงเฟิง แต่เพราะแผนการถูกล่วงรู้ต่างหาก หมายความว่าอีกฝ่ายคงเตรียมการมาดีเป็นแน่

และแน่นอนว่าหลังจากฉือหมิงเฟิงปรากฏขึ้นมา พวกคนจากอารามนิรันดร์ก็ค่อย ๆ ปรากฏตัวตามมาทีละคน

จูเซียนเหยาจ้องซูเฉินเขม็ง “เจ้าเป็นพวกอารามนิรันดร์สินะ !”

นางแผดเสียงจบก็ส่งท่าดัชนีเข้ามา

ดัชนีจิ้งจอกสวรรค์ !

นางเปิดมาด้วยกระบวนท่าสังหาร เห็นได้ชัดว่าเกลียดชังซูเฉินเพียงไหน

ไม่ใช่เพียงเพราะที่ซูเฉินหลอกลวงนางเท่านั้น แต่เป็นเพราะวิชาดอกรักเสียส่วนมาก

ด้วยวิธีการขุดรากถอนโคนนั้นคือการสังหารคนที่นางใช้วิชาไปเท่านั้น

“หวังว่าจะไม่ทำให้เจ้าขุ่นข้องหมองใจนะ” ซูเฉินหัวร่อ

เขากำหมัดแน่น ก่อนจะส่งกำปั้นเข้าปะทะท่าดัชนี หมัดธรรมดาหมัดนี้คล้ายกับถูกครอบด้วยภาพมายาล่องหน นั่นคือภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดนั่นเอง แต่เขาสามารถควบคุมมันได้ดีกว่าเดิมจนสามารถรวมมันไว้ที่อวัยวะส่วนหนึ่งได้แล้ว

ตูม !

หมัดกับท่าดัชนีเข้าปะทะ ทั้งซูเฉินและจูเซียนเหยาต่างคนต่างถอยหนึ่งก้าว

ดัชนีจิ้งจอกสวรรค์แห่งสายเลือดจิ้งจอกร้อยเล่ห์จักรพรรดิอสูรเป็นท่าสังหารที่แกร่งที่สุดของตระกูลจู แม้จูเซียนเหยาจะไม่ได้มีชื่อด้านการต่อสู้ แต่มันก็ไม่ใช่กระบวนท่าที่จะต่อกรได้ง่าย ถึงกระนั้นซูเฉินก็สกัดมันไว้ได้ไม่ยาก ไม่เสียเปรียบสักนิด ทั้งยังมีแรงโต้กลับอีกต่างหาก

พริบตาต่อมาเขาก็คว้าร่างจูเซียนเหยาไว้แล้ว

จูเซียนเหยารีบถอยด้วยความตกใจ ส่วนซูเฉินก็พุ่งเข้ามาไม่หยุด คนหนึ่งหนีคนหนึ่งไล่ล่า แลกกระบวนท่ากันไม่หยุดหย่อน

ถึงตอนนี้ก็เห็นชัดเจนแล้วว่าใครได้เปรียบ

แม้ดัชนีจิ้งจอกสวรรค์และภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดจะมีกำลังเท่ากัน แต่ดัชนีจิ้งจอกสวรรค์เป็นไพ่ตายของจูเซียนเหยา หากแต่หมัดของซูเฉินเป็นเพียงกระบวนท่าธรรมดา ยังไม่ได้ใส่เพลิงเงาไปด้วยซ้ำ

ดังนั้นทุกครั้งที่จูเซียนเหยาออกท่า นางจึงต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นพลังได้ เทียบกันแล้วซูเฉินสามารถออกหมัดได้ติดต่อกัน แต่ละหมัดยังทรงพลังดังเดิม จูเซียนเหยาจึงแทบไม่มีเวลาได้หยุดพักเลย

เขาแกร่งถึงเพียงนี้เลยหรือ ?

จูเซียนเหยาจ้องใบหน้าที่เหมือนกับโหยวเทียนหย่างด้วยความตกตะลึง

นางมีสายเลือดจักรพรรดิอสูร ทั้งยังอยู่ด่านทะลวงลมปราณ แต่กลับถูกหมัดที่เหมือนจะเป็นหมัดธรรมดายับยั้งเอาไว้ได้

มีหรือนางจะไม่แปลกใจ ?

เคราะห์ดีที่ปาเลี่ยหยวนและจ้าวจิ่งเหวินพุ่งเข้ามา

“นายน้อยข้าอยู่ที่ไหน ?” ปาเลี่ยหยวนคำรามลั่น กวาดขวานยักษ์เข้าใส่พร้อมกับหอกแยกเมฆาของจ้าวจิ่งเหวินพุ่งเข้ามา

“ย่อมต้องอยู่ในมือข้า” ซูเฉินตอบ ดาบหั่นภูผาปรากฏขึ้นในมือ

จากนั้นมันก็ตวัดผ่านอากาศ

ปาเลี่ยหยวนและจ้าวจิ่งเหวินรู้สึกราวกับอากาศเบื้องหน้าผิดรูปไป เช่นนี้มีแต่ท่าดาบที่คมกริบมากเท่านั้นจึงจะให้ความรู้สึกนี้ได้ หมายความว่าเกราะธรรมดาไม่อาจต้านมันได้เลย

ทั้งสองชะงักไป คนผู้นี้โผล่มาจากที่ใดกัน ? พวกเขารีบยับยั้งกระบวนท่าแล้วเปลี่ยนเป็นตั้งรับ แรงปะทะก่อเกิดเป็นแสงประกายจ้า ก่อนคนทั้งสามจะแยกออกจากกัน

หากแต่ซูเฉินถอยไปก้าวหนึ่งเท่านั้น ภาพมายารูปมนุษย์ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเบื้องหลังราวกับขุนเขา ภาพมายามนุษย์นี้ถอยไปก้าวหนึ่งก็ต้านพลังโจมตีของคนทั้งสองเอาไว้ได้ ดาบหั่นภูผาแทบจะขยายขนาดขึ้นในทันที ก่อนมันจะตวัดเข้าใส่ปาเลี่ยหยวนและจ้าวจิ่งเหวิน

ท่าดาบนี้เต็มไปด้วยแรงกดดันหนั่นแน่น กลืนภูเขาและแม่น้ำ เป็นพลังที่มีแต่ผู้เยี่ยมยุทธ์เท่านั้นจึงจะสำแดงออกมาได้

พริบตานั้น จูเซียนเหยาพลันรู้สึกว่าคู่ต่อสู้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญธรรมดา แต่เป็นคนด่านสู่พิสดารหรืออาจเป็นกระทั่งคนสายเลือดอสูรดึกดำบรรพ์เลยก็เป็นได้ !