ภาคที่ 4 บทที่ 37 ต่อรอง (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 37 ต่อรอง (1)

หากผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณปกติก็คงถูกท่าดาบอำมหิตนี้แยกร่างไปแล้ว

เคราะห์ดีที่ปาเลี่ยหยวนและจ้าวจิ่งเหวินไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณธรรมดา

ทั้งสองเป็นลูกน้องฝีมือดีของสองตระกูล แน่นอนว่าต้องมีสายเลือดของตระกูลอยู่ในร่าง แม้จะเป็นเลือดผสม แต่ก็นับเป็นสายเลือดผสมที่ใกล้เคียงกับเลือดบริสุทธิ์ที่สุด

ดังนั้นเมื่อดาบซูเฉินตวัดเข้าใส่คนทั้งคู่ด้วยแรงดุดัน ร่างกายทั้งสองจึงแผ่แสงเรืองดั่งเลือดออกมา

จากนั้นจิ้งจอกอสูรสีเลือดก็พลันปรากฏ นัยน์ตาลวงเล่ห์ของมันจ้องตรงทางซูเฉิน ซัดท่าดัชนีหนึ่งเข้าใส่ ผสานเข้ากับการโจมตีของจ้าวจิ่งเหวิน นี่คือหอกจิ้งจอกสวรรค์ของจ้าวจิ่งเหวินที่เขาพัฒนาขึ้น ทุกสายเลือดจะมีวิชาหลักของตนเอง แตกแขนงออกมาเป็นวิชาอื่น ๆ อยู่บ้าง อย่างหลังอาจไม่ทรงพลังที่สุด แต่ก็มีความยืดหยุ่นสูงที่สุด

ในเวลาเดียวกันนั้น มังกรกุนพุงพลุ้ยก็พลันปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังปาเลี่ยหยวน ร่างขนาดใหญ่ของมันเริ่มปลดปล่อยพลังจำนวนมากราวกับอสูรดึกดำบรรพ์ได้ฟื้นตื่นขึ้นอีกครั้ง กลิ่นอายมันทรงพลังมากจนทำให้สิ่งมีชีวิตรอบข้างดับสลาย พลังนี้เคลื่อนเข้าไปควบรวมกับดาบเพลิงโลกันตร์ของปาเลี่ยหยวน เกิดเป็นกลิ่นอายแห่งความตายน่าขวัญผวา

หอกจิ้งจอกสวรรค์ หอกเขี้ยวมังกรกุน !

ทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดทั้งสองพุ่งเข้ามาปะทะกับภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดของซูเฉิน

พริบตาต่อมาก็เกิดแสงสว่างแสบตา แรงระเบิดรุนแรงสั่นสะเทือนไปทั้งปราสาท ส่วนหนึ่งถึงกับถล่มลงมาจนผิดรูป

ใครที่ไม่รู้คงคิดว่ามีคนด่านสู่พิสดารสองคนประมือกันกระมัง

ซูเฉินถูกบีบให้ถอยไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่อาจหลบหนีโดยง่าย ที่มุมปากพลันมีเลือดสายหนึ่งหยดลงมา

ปาเลี่ยหยวนและจ้าวจิ่งเหวินเองก็บาดเจ็บเล็กน้อยเช่นกัน

คนทั้งสามเหลือบมองกัน สองฝั่งดูประหลาดใจไม่ใช่น้อย

“มันเป็นใครกันแน่ ?” จ้าวจิ่งเหวินโพล่งขึ้นมา

ผู้เชี่ยวชาญมือฉกาจที่มีสายเลือดจักรพรรดิอสูรสองคนกลับไม่อาจเอาชนะศัตรูตัวคนเดียวได้ พวกเขาตกตะลึงนัก

ศัตรูยังไม่ได้ใส่เต็มกำลังด้วยซ้ำ

พวกเขารู้ได้ง่ายมาก นั่นก็เพราะซูเฉินยังอยู่ในร่างโหยวเทียนหย่างนั่นเอง

อีกฝ่ายยังมีแรงเหลือไว้คงร่างแปลงอยู่ !

ซูเฉินส่ายหน้า ความตื่นเต้นฉายชัดในดวงตา “สายเลือดจักรพรรดิอสูร…… ไม่ธรรมดาจริง ๆ ข้ารับมือคนด่านทะลวงลมปราณธรรมดาเป็นสิบได้โดยไร้ปัญหา แต่พวกท่านสองคนกลับยั้งข้าไว้ได้ นี่มันเสพติดยิ่งนัก ! แต่ข้ายังไม่ถึงขีดสุด เช่นนั้นก็ลิ้มรสดาบอีกสักหน่อยแล้วกัน !”

ว่าแล้วภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดก็พลันเปี่ยมไปด้วยพลังพลุ่นพล่าน สูงใหญ่ขึ้นอีกหลายสิบจั้ง

หรือก็คือนี่คือร่างขนาดแท้จริงของมันนั่นเอง หลายปีที่ผ่านมานี้ พื้นฐานพลังของซูเฉินไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นเท่าไร แต่การพัฒนาในด้านวิชานั้นไม่ได้หยุดตามไปด้วย ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดเองก็พัฒนาเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน

จังหวะนั้นดาบหั่นภูผาเองก็ขยายใหญ่ขึ้นตาม

ยิ่งมีขนาดใหญ่ มันก็ยิ่งแกร่ง เหมาะสมกับภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดของเขานัก อีกทั้งตัวดาบในตอนนี้ยังอาบไปด้วยเพลิงเงาอีกต่างหาก

แม้ทั้งสองจะไม่เคยเห็นเพลิงเงาของซูเฉินมาก่อน แต่ก็รู้ดีว่ามันไม่ได้มีไว้ประดับงดงามเฉย ๆ เป็นแน่

จูเซียนเหยาสีหน้าผันเปลี่ยน นางตะโกนขึ้น “ทุกคนระวังด้วย !”

จากนั้นนางก็วาดมือ เกิดเป็นกลิ่นธูปหอมหอบหนึ่งพัดออกจากมือไป

กลิ่นหอมนี้มีสสารลวงจิต ใช้ได้ดีกับวิชาลวงเสน่ห์ของจิ้งจอกร้อยเล่ห์มาก มันสามารถยังผลให้ศัตรูรู้สึกสับสนมึนงงได้

โชคร้ายที่ซูเฉินรู้อุบายของตระกูลจูหมดแล้ว วิธีนี้จึงใช่ไม่ได้ผล

ซูเฉินสูดลมหายใจเข้าลึก สูดเอากลิ่นธูปหอมเข้าไปราวกับวาฬดูดน้ำ จากนั้นก็ส่ายหัวพลางเอ่ยเสียง “กลิ่นหอมดี !”

“เจ้า……” จูเซียนเหยาร้องเสียงตกใจ

ซูเฉินยังสายตากระจ่างแจ้ง ไม่เห็นร่องรอยถูกลวงจิตสักนิด

เขาจ้องคนทั้งสามด้วยสายตาสงบนิ่ง “สามคนรวมกลุ่มกันเข้ามาดีกว่า พวกเรามาสู้กันให้สะใจไปเลย !”

ว่าแล้วก็ตวัดดาบหั่นภูผาออกไป

กระทั่งคนด่านสู่พิสดารยังต้องรับมือกับท่าดาบนี้อย่างจริงจัง

เมื่อสัมผัสถึงกลิ่นอายขวัญผวาที่แผ่ออกจากตัวดาบได้ จูเซียนเหยา ปาเลี่ยหยวน และคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกวูบอยู่ภายใน

พวกเขาไม่รู้ว่าจะรับมือมันได้หรือไม่ แต่ก็ไร้ทางอื่นแล้ว ! มีแต่ต้องป้องกันเท่านั้น !

หากแต่จู่ ๆ แขนซูเฉินกลับชะงักอยู่เช่นนั้น ส่วนดาบก็ค้างอยู่กลางอากาศขึ้นมา

เขาเอียงคอราวกับกำลังฟังอะไรบางอย่างอย่าง จากนั้นก็เอ่ยคำ “แขกมาแล้ว”

พูดจบเขาก็เก็บดาบไป

เขาสามารถเก็บมันกลับไปได้ในพริบตาโดยไม่ถูกพลังตีกลับแต่อย่างใด ซึ่งก็หมายความได้อย่างเดียวว่า นั่นยังไม่ใช่ท่าเต็มกำลังของเขา แต่ทั้งสามกลับแทบไม่มีหวังที่จะต่อกรกับกระบวนท่าเมื่อครู่แล้ว

จูเซียนเหยาและคนอื่น ๆ ต่างมีสีหน้าตกตะลึง

เขาเป็นใครกันแน่ ?

ทำไมถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ ?

และเมื่อได้ยินคำซูเฉิน ฉือหมิงเฟิงจึงถามขึ้น “พวกเขาหรือ ?”

“ใช่” ซูเฉินตอบ

ฉือหมิงเฟิงกระแทกหนึ่งฝ่ามือออกไป หยาดฝนกระเซ็นจากฝ่ามือ หลอมรวมกันเป็นกำแพงวารี มันไม่ใช่กำแพงตั้งตรงแต่กลับมีจุดคดเคี้ยวหลากหลาย คล้ายกับกระจกผิวไม่เรียบ สามารถแยกเหล่าคนที่กำลังต่อสู้ออกจากกันได้เป็นอย่างดี นับเป็นความเชี่ยวชาญด้านการคุมพลังต้นกำเนิดประเภทน้ำของปรมาจารย์หยาดพิรุณอีกตัวอย่างหนึ่ง

ทั้งสองฝ่ายเข้าพัวพันกันไปนานกลับต้องบีบให้แยกกัน ฉือหมิงเฟิงจึงเอ่ยคำอธิบาย “ปัวเอ่อร์มาแล้ว ทุกคนหยุดก่อน !”

ปัวเอ่อร์ ?

เมื่อได้ยินชื่อนี้ ทุกคนก็ชะงักไป

หัวหน้าเผ่าเกล็ดทรายกลับปราสาทอาลี่ไปแล้วนี่ ? แล้วทำไมตอนนี้มาอยู่ที่นี่ได้ ?

ซูเฉินกล่าวขึ้น “หากไม่เชื่อก็ถามเขาสิ”

เขาใช้ดาบหั่นภูผาชี้ข่าเล่อ

ข่าเล่อยิ้มเหี้ยม “ท่านหัวหน้าไม่เคยเชื่อลมปากมนุษย์อย่างพวกเจ้าอยู่แล้ว รู้ว่าพวกเจ้าอย่างไรก็คงมีจุดประสงค์ซ่อนเร้น ดังนั้นจึงหลอกให้ช่วยหาคลังสมบัติลับแล้วจะได้ชิงของไปทีหลังได้ ตอนนี้ท่านหัวหน้ามาแล้ว พวกเจ้าไม่รอดแน่”

จูเซียนเหยาได้ยินแล้วก็อึ้งไป นางตวัดสายตามองซูเฉิน “พวกเจ้ารู้เรื่องนี้มาก่อนหน้าแล้ว ?”

ซูเฉินยักไหล่ “เป็นเพียงข้อสงสัยเท่านั้น แต่ตอนนี้ได้รับการยืนยันแล้ว”

“ยืนยันแล้วมันอย่างไรกัน ?” จูไป๋อวี่เอ่ยเสียงกรรโชก “เจ้ากล้าหลอกใช้ตระกูลจู แย่งชิงผลประโยชน์จากตระกูลจูงั้นหรือ ? เจ้าไม่รอดแน่ !”

ฉือหมิงเฟิงหัวเราะ “แย่งชิงผลประโยชน์จากตระกูลจู ? จูไป๋อวี่ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เจ้าได้ข่าวเรื่องปราสาทไหลน่าตะวันตกจากอารามนิรันดร์ ฝั่งเจ้าต่างหากที่พยายามชิงผลประโยชน์ของเรา เหตุใดเจ้าถึงกลับเรื่องไปเช่นนั้นได้ ?”

“……เรื่องนั้น” จูไป๋อวี่อึ้งไป เป็นตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งนึกได้ว่าพวกเขารู้ข่าวเรื่องสมบัติลับในปราสาทไหลน่าตะวันตกมาจากอารามนิรันดร์

หลังจากปะทะกันไปหลายครั้ง สรุปคือไม่ใช่อารามนิรันดร์ที่ชิงของจากตระกูลจู แต่เป็นตระกูลจูชิงมาจากอารามนิรันดร์หรือ ?

ฉือหมิงเฟิงกล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็หมดคำจะกล่าวไปทันที

จะใช้เหตุผลเข้าช่วยได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเกี่ยวพันกับคนประเภทใด จังหวะเวลา ทั้งยังสถานการณ์ในตอนนั้น ๆ

การใช้เหตุผลในบางสถานการณ์บางคราจึงไม่ได้ผล

แต่ในบางสถานการณ์มันกลับได้ผลดียิ่ง

นี่ก็นับเป็นตัวอย่างหนึ่ง เดิมทีตระกูลจูคิดว่าคนจากอารามนิรันดร์คิดลอบโจมตีเพื่อหมายชิงผลประโยชน์ ดังนั้นจึงรู้สึกว่าพวกตนไม่พอใจนั้นก็ถูกต้องแล้ว ย่อมเตรียมพร้อมห้ำหั่นกันให้ตายไปข้างหนึ่ง

ทว่าตอนนี้ฉือหมิงเฟิงกลับโยนเหตุผลเข้าใส่ แท้จริงแล้วเป็นตระกูลจูต่างหากที่ชิงผลประโยชน์จากอารามนิรันดร์ ดังนั้นจะโต้กลับก็ไม่แปลก ไฟแค้นในใจทุกคนพลันมอดลงไปมาก

เมื่อไร้ความแค้นแล้ว แม้จะยังเป็นศัตรู แต่ก็ไม่ถึงขั้นยอมตายดีกว่าให้อีกฝ่ายได้เปรียบ ดังนั้นการพูดคุยต่อรองจะง่ายดายขึ้นกว่าเดิมมาก

ซูเฉินเอ่ย “ปัวเอ่อร์มาแล้ว ไม่นานก็คงมาถึงที่นี่ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารห้าแท่นบงกช ทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญในมืออีกมาก ปล่อยไว้เช่นนี้มีแต่พวกเราจะถูกกวาดล้างในคราเดียว”

จูไป๋อวี่จ้องตาเขม็ง “เจ้าหมายความว่า ?”

“เราควรร่วมมือกันกำจัดศัตรูก่อน !” ซูเฉินตอบกลับ