ภาคที่ 4 บทที่ 38 ต่อรอง (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 38 ต่อรอง (2)

ความคิดที่จะร่วมมือกับตระกูลจูเพื่อรับมือเผ่าเกล็ดทรายนั้นไม่ใช่ว่าซูเฉินคิดเอาปุบปับ เขาวางแผนเรื่องนี้ไว้นานแล้ว

ด้วยซูเฉินสงสัยตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่าตระกูลจูจะสามารถลวงปัวเอ่อร์ได้สำเร็จงั้นหรือ ? และเมื่อเห็นท่าทางและการตัดสินใจของข่าเล่อแล้ว ชายหนุ่มก็รู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายดูจะถูกหลอกง่ายเกินไป

หากปัวเอ่อร์มั่นใจให้เขาเป็นคนเฝ้าปราสาทยามตนไม่อยู่ เช่นนั้นข่าเล่อก็คงไม่ไร้สมอง หากจะมีท่าทีโง่เขลาก็เป็นเพราะได้รับคำสั่งให้แสร้งทำเท่านั้น

ซึ่งก็หมายความว่าปัวเอ่อร์คงไม่ได้ไปไหนไกลด้วย

แต่ตามแผนเดิมของซูเฉิน อารามนิรันดร์จะรอลงมือหลังปัวเอ่อร์ปรากฏตัว ตระกูลจูเป็นฝ่ายประมือกับปัวเอ่อร์ก่อน จากนั้นให้อารามนิรันดร์เข้ามาฉวยผลประโยชน์

ทว่าสุดท้ายเขาก็ดันทำความลับแตกตอนรับมือกับปีศาจทมิฬ บีบให้ฉือหมิงเฟิงกับคนอื่น ๆ ต้องเผยตนออกมาช่วยเหลือ

ดังนั้นจึงต้องปรับแผนจากทำตัวเป็นนกขมิ้น(1) กลายเป็นร่วมมือกันต่อสู้แทน

เมื่อจูไป๋อวี่ได้ยินคำซูเฉิน เขาก็หรี่ตาลง “ร่วมมือกับพวกเจ้าหรือ ? น่าขันสิ้นดี !”

ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบ “สุดท้ายท่านก็ต้องตกลง”

“ทำไมเล่า ? ปัวเอ่อร์แค่นั้นไม่ทำให้เรากลัวได้หรอก !” จูเซียนเหยาหัวเราะเสียงเย็น

“แล้วโหยวเทียนหย่างเล่า ? อย่าลืมว่าเขาอยู่ในกำมือข้า” ซูเฉินว่า

ยามได้ยินชื่อนั้น ทุกคนก็เงียบไปทันที

ฉือหมิงเฟิงเอ่ยขึ้น “แม้ตระกูลจูกับอารามนิรันดร์จะมีความแค้นต่อกันบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจัดการไม่ได้ สุดท้ายที่เราสู้กันก็เพื่อผลประโยชน์ เผ่าเกล็ดทรายพวกนั้นมันคนละเผ่ากับเรา เผชิญหน้ากับคนต่างเผ่า เราก็ควรร่วมมือกัน”

ปาเลี่ยหยวนมุ่นคิ้ว “อย่าคิดจะขู่เราเชียว ข้ายอมให้คลังสมบัติตกไปอยู่ในมือเผ่าอื่น ยังดีกว่าให้อารามนิรันดร์ได้ไป”

“ปาเลี่ยหยวน อย่าคิดจะใช้แผนเช่นนี้เลย อารามนิรันดร์ไร้ความแค้นกับตระกูลโหยวของเจ้า เจ้าก็หุบปากลงเสียบ้าง ถือเสียว่าทำเพื่อคุณชายของเจ้าก็แล้วกัน” ฉือหมิงเฟิงมองท่าเสแสร้งของปาเลี่ยหยวนออกทันที

ปาเลี่ยหยวนจึงเงียบไป

ซูเฉินเอ่ย “ข้ารับปากว่าหากเราร่วมมือกันจัดการปัวเอ่อร์ เรื่องจบแล้วข้าจะปล่อยโหยวเทียนหย่างทันที”

“เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเป็นใคร แล้วทำไมต้องเชื่อคำเจ้า ?” จ้าวจิ่งเหวินหัวเราะเสียงเย็น

“ใช่แล้ว หากอยากให้เชื่อ อย่างน้อยก็ควรเผยตัวตนที่แท้จริงกระมัง ?” จูไป๋อวี่กล่าว

“เรื่องนั้น……” ซูเฉินลังเล จากนั้นยิ้มขื่นตอบ “เพื่อให้การร่วมมือเป็นไปได้ด้วยดี ข้าว่าอย่ารู้ตัวตนข้าจะดีกว่า”

หมายความว่าอย่างไร ?

ทุกคนชะงักไปทันที

จูเซียนเหยายิ่งจ้องเขม็ง “ดูเหมือนว่าเขาจะมีหนี้เลือดกับตระกูลจูของเรา”

ทุกคนจึงเข้าใจเหตุผลทันที

หากแต่ตระกูลจูกับอารามนิรันดร์ปะทะกันหลายครา มีหนี้เลือดมาหลายหน แม้จะไม่รู้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญคนใดที่เก่งกาจวิชาจิตและสังหารคนตระกูลจูไปมาก แต่การที่มองว่าซูเฉินเป็นคนจากอารามนิรันดร์ จึงไม่มีใครคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นซูเฉินไปได้ด้วยซ้ำ

จูไป๋อวี่คำรามต่ำ “ข้าเองก็สังหารคนอารามนิรันดร์ไปไม่น้อย แต่เจ้าก็ยังขอสงบศึกกับข้านี่ ? หากไม่เผยตนแล้วข้าจะเชื่อใจเจ้าได้อย่างไร ?”

ซูเฉินพลันเอ่ย “ประการแรก ข้าไม่ได้ขอสงบศึก นี่คือการต่อรอง ประการที่สอง ที่ข้าไม่เผยตัวตน นั่นก็เพราะอยากให้การต่อรองเป็นไปได้ด้วยดี อารามนิรันดร์นั้นใจกว้าง พวกเรามองข้ามเรื่องที่พวกเจ้าเคยสังหารคนของเราไปมากมายได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงจะใจกว้างเช่นเดียวกัน ประการที่สาม หากท่านไม่เชื่อใจข้า เช่นนั้นก็ให้ปรมาจารย์หยาดพิรุณใช้ผลึกพลังต้นกำเนิดสาบานแทนข้าก็แล้วกัน หลังจากจบเรื่อง ข้าย่อมปล่อยตัวโหยวเทียนหย่างในสภาพสมบูรณ์ไร้รอยบาดเจ็บกลับมาให้ท่าน”

ซูเฉินเอ่ยได้ครบครัน คนอื่น ๆ ได้แต่นิ่งเงียบไป

เมื่อลองคิดดูแล้ว จูเซียนเหยาจึงถามขึ้น “เช่นนั้นเรื่องคลังสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือเล่า ? จะแบ่งของกันอย่างไร ?”

เดิมทีนางคิดว่าซูเฉินจะคิดหาทางแบ่งผลประโยชน์ แต่เขากลับเอ่ยไม่ลังเล “มันเป็นของพวกข้า”

อะไรนะ ?

ทุกคนจากตระกูลจูพลันโกรขึ้นมา

ซูเฉินเอ่ย “คุณหนูจู เจ้าอยากได้คลังสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือเพราะต้องการฟื้นความทรงจำใช่หรือไม่ ?”

จูเซียนเหยาหน้าแดงฉ่า “เจ้าปลอมเป็นเขาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”

จูเซียนเหยาบอกซูเฉินถึงเหตุผลที่นางอยากตามหาคลังสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือหลังจากถูกลอบสังหารไป ตอนนี้ซูเฉินเอ่ยออกมาเช่นนี้ นางย่อมรู้ว่าซูเฉินปลอมเป็นโหยวเทียนหย่างมานานแล้ว หรือก็คือ โหยวเทียนหย่างที่นางค่อย ๆ ตกหลุมรักนั้นไม่ใช่โหยวเทียนหย่างตัวจริง แล้วมีหรือที่นางจะไม่รู้สึกขุ่นข้องหมองใจ ?

ซูเฉินเอ่ย “ข้ารู้หลายวิธีที่จะทำให้เจ้าจำความจริงได้ หากเจ้ายอมปล่อยสมบัติของขาปี่เอ๋อซือ ข้าก็ช่วยให้เจ้าจำความจริงนั่นอีกครั้งได้”

ฉือหมิงเฟิงถึงกับพูดไม่ออก

ซูเฉินเอ๋ย ท่านนี่หน้าไม่อายจริง ๆ

เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับนางเมื่อตอนนั้นก็เป็นเพราะซูเฉิน ฉะนั้นเขาย่อมแก้ปัญหาได้

แต่คำที่เขาใช้คือ ‘ข้าช่วยให้เจ้าจำความจริงได้’

เขาเน้นว่าเป็น ‘ความจริง’ ไม่ใช่ ‘ความทรงจำ’

จะอย่างไรก็ยังต้องเป็นความจริงที่ออกจากปากเขา ไม่ว่าเขาพูดอะไร จูเซียนเหยาก็มีแต่ต้องฟัง !

แลกคลังสมบัติกับความทรงจำงั้นหรือ ? ไม่เลวเลยนี่

ฉือหมิงเฟิงยกนิ้วให้ซูเฉินอยู่ในใจ

กระทั่งจูเซียนเหยายังชะงักไป

นางจ้องซูเฉิน “เจ้า…… จะช่วยข้าค้นหาความจริงหรือ ?”

“ถูกต้อง ! ถึงจะเผยใบหน้าไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถให้ปรมาจารย์หยาดพิรุณเป็นพยานแทนข้าได้ หากข้าไม่ทำตามคำพูด ปรมาจารย์หยาดพิรุณก็จะตัดพลังตนเอง ยอมรับบทลงโทษจากสวรรค์ ทรมานเสียยิ่งกว่าตาย !”

“……”

ทุกคนนิ่งไปหลายอึดใจ

อย่าเอาชีวิตคนอื่นมาใช้สาบานง่าย ๆ เช่นนี้สิ ?

ฉือหมิงเฟิงจ้องซูเฉิน “เจ้าหนู นี่บีบให้ข้ายอมทิ้งชีวิตไว้ในกำมือหรือ ? หากท่านไม่ทำตามคำขึ้นมา เช่นนั้นข้านี่สิที่จะมีปัญหาใหญ่”

คำสาบานพลังนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก หากไม่ดีก็ร้ายไปเลย

สวรรค์นั้นมีความลับล้ำลึกอยู่มากมายที่ไม่อาจหาคำอธิบายได้

หากไม่ทำตามคำสาบาน นำไปใช้เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายอื่น ฉือหมิงเฟิงก็อาจถูกคำสาบานนี้สร้างปัญหาใหญ่ได้จริง ๆ

ฉือหมิงเฟิงจ้องซูเฉินด้วยสายตาขื่นขม

ซูเฉินยักไหล่ “ท่านไม่ทำก็ได้”

“……”

มารดาเจ้าสิ !

ฉือหมิงเฟิงสบถในใจ

เขาเลือกไม่ทำก็ได้ แต่ก็หมายความว่าการต่อรองก็คงเป็นไปได้ยาก

แต่หากยอมเอ่ยคำสาบาน ตระกูลจูก็จะยอมปล่อยมือจากสมบัติ ทั้งยังช่วยจัดการกับปัวเอ่อร์อีก

ฉือหมิงเฟิงเป็นคนดำเนินแผนการมาตั้งแต่ต้น เขาจึงไม่มีเหตุผลให้ต้องทำลายมันลงด้วยมือตนเอง

ดังนั้นจึงได้แต่จ้องหน้าซูเฉินเขม็งเท่านั้น “หากจบเรื่องท่านไม่ทำตามคำ ข้าถลกหนังท่านแน่ !”

ซูเฉินยิ้มบาง “ท่านพูดให้ดังอีกนิดสิ ข้าว่าพวกเขาก็อยากได้ยินเช่นกัน”

“ไสหัวไปเลย !” ฉือหมิงเฟิงส่งลูกเตะใส่ซูเฉินที่หัวเราะร่าแล้วกระโดดหลบไปโดยง่าย

ข่าเล่อเอ่ยเสียงเข้ม “ถึงพวกเจ้าร่วมมือกันก็ยังแกร่งไม่พอจะเอาชนะหัวหน้าได้หรอก !”

“อย่างน้อย ๆ ก่อนหน้านั้นเจ้าก็คงตายไปแล้ว” ซูเฉินว่า

ฟ้าว !

เขายกดาบในมือขึ้น ฟันศีรษะข่าเล่อกระเด็นไปในพริบตา

เมื่อการต่อสู้ใกล้เข้ามา ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อก็ไร้ประโยชน์ มีแต่จะเป็นภาระให้เท่านั้น

ถึงกระนั้น คนอื่น ๆ ก็ยังตกตะลึงกับความเด็ดขาดโหดเหี้ยมของท่าดาบนั้น

เหลือเวลาไม่มากแล้ว ฉือหมิงเฟิงจึงรีบสาบานทันที

มีเพียงจูเซียนเหยาที่ยังสังเกตุดูซูเฉินต่อ

ไม่รู้ทำไม แต่นางรู้สึกว่าคนตรงหน้านางให้ความรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง

พอไม่ได้แสร้งทำเป็นโหยวเทียนหย่างแล้ว การพูดจาของซูเฉินจึงกลับเป็นปกติ

(1)นกขมิ้น : มาจากคำว่าตั๊กแตนจับจักจั่น ไม่ทันระวังนกขมิ้น