ตอนที่ 51-2 ไข้หวัด

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

ถึงแม้จะอยู่ในช่วงฤดูร้อน ทว่าบนเตียงนอนกลับมีผ้านวมผืนนุ่มปูอยู่ หน้าต่างถูกเปิดรับอากาศสดชื่น แต่เพื่อป้องกันลมก็ได้กางมุ้งไว้ด้วย ผ้าไหมผืนบางแขวนไว้หลายทบ กโยซึลนั่งฟังเสียงฝนที่ได้ยินอยู่แว่วๆ อยู่บนเตียงนอนนิ่งๆ นางได้ยินเสียงสายฝนเย็นชุ่มฉ่ำ ทว่าร่างกายกลับร้อนรุ่ม 

 

 

“แฮ…ชิ! ฮัดชิ แฮชิ!” 

 

 

เสียงประหลาดถูกเปล่งออกมาพร้อมกับการจามอยู่หลายครั้ง แก้มของกโยซึลที่แดงเพราะความร้อนยิ่งแดงขึ้นไปอีก 

 

 

“จะอัญเชิญแฮชิ[1]มาหรือขอรับ กระหม่อมเองก็ชอบแฮชิ เพราะเป็นสัตว์ที่เปิดเผยสิ่งถูกผิดอย่างยุติธรรม” 

 

 

กโยซึลได้ยินคำหยอกล้อเป็นนัยเพราะเสียงที่ตนจามออกมา นางเหลือบตามองไปทางด้านข้างด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ทันใดนั้นช้อนที่มีข้ามต้มอยู่ครึ่งหนึ่งก็ถูกยื่นมาตรงหน้า 

 

 

“หากทรงต้องการเป็นผู้พิทักษ์ความยุติธรรรม พระองค์ทรงต้องมีพระวรกายที่แข็งแรงก่อน และหากต้องการหายจากอาการประชวร มีพระวรกายที่แข็งแรงแล้ว ต้องเสวยอาหารให้มากนะขอรับ” 

 

 

ยังคงเป็นน้ำเสียงติดเล่นอยู่ ครั้งนี้กโยซึลหันไปทางต้นเสียงด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ที่ด้านข้างเตียงนั้นมีรูแฮที่ถือชามข้าวต้มนั่งอยู่ 

 

 

“ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด” 

 

 

หลังจากที่กินข้าวต้มที่รูแฮป้อนให้ กโยซึลก็เบะปากบ่น 

 

 

“เราตากฝนด้วยกันแท้ๆ เหตุใดรูแฮถึงไม่เป็นอะไร มีเพียงเราที่ป่วยอยู่คนเดียว” 

 

 

แล้วกโยซึลก็นำมือไปอังที่หน้าผาก มันยังคงร้อนด้วยพิษไข้ รูแฮหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่าฟัง หลังจากนั้นก็ตักข้าวต้มขึ้นมาอีกช้อนหนึ่ง เขาตักมันขึ้นมาเพียงครึ่งหนึ่งของช้อน แล้วเป่าเบาๆ อย่างเอาใจใส่ให้พอไม่ร้อนจนเกินไป หลังจากนั้นก็ยื่นไปตรงหน้ากโยซึลแล้วป้อนให้นาง 

 

 

“หากป่วยด้วยกันทั้งคู่เราก็จะไม่ได้พบกันมิใช่หรือ เพราะข้าสบายดีเช่นนี้ถึงได้มาหากโยซึลได้อย่างไรเล่า” 

 

 

ทุกครั้งที่รูแฮพูด ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะไม่เอ่ยถ้อยคำหวาน นั่นทำให้หัวใจของกโยซึลสั่นไหวอยู่ทุกครั้งไป ถึงแม้จะไม่พอใจที่ตนต้องล้มป่วยอยู่คนเดียว ทว่าหลังจากได้ฟังรูแฮพูด ก็เป็นความจริงที่ว่าความไม่พอใจนั้นได้จางหายไปโดยไม่รู้ตัว และกโยซึลก็หน้าแดงก่ำ นางไม่อาจสบตารูแฮได้ จึงทำเพียงแค่กินข้าวต้ม กระนั้นก็ยังไม่วายบ่นพึมพำออกมา 

 

 

“เช่นนี้เราก็เหมือนคนขี้โรคน่ะสิ” 

 

 

รูแฮเอ่ยตอบเพื่อปลอบใจกโยซึล แน่นอนว่าเขาตอบกลับด้วยคำพูดล้อเล่นที่กวนอารมณ์ของกโยซึลให้ยิ่งขุ่นหมองมากขึ้น 

 

 

“พระชายากโยซึลผู้อ่อนแอของกระหม่อม” 

 

 

“ไม่ใช่นะ! รู้หรือไม่ว่าเราเป็นองค์หญิงแก่นแก้วที่ร่างกายแข็งแรงเพียงใด ตอนอยู่ฮวากุก เราไม่เคยเจ็บป่วยแม้เพียงเล็กน้อย” 

 

 

กโยซึลเดือดพล่าน และรูแฮก็หัวเราะกับท่าทางเช่นนั้นอีกครั้ง เขาชอบปฏิกิริยาเช่นนี้ของกโยซึลจึงได้หยอกล้อนาง รูแฮหัวเราะน้อยๆ พร้อมกับพยักหน้า 

 

 

“เข้าใจแล้ว” 

 

 

“ท่านไม่เชื่อเราใช่หรือไม่” 

 

 

“เชื่อสิ ข้าเชื่อท่าน ดังนั้นรีบกินข้าวต้มเถิด ทำเช่นนี้ไข้จะขึ้นเอาได้” 

 

 

กโยซึลจ้องรูแฮเขม็ง พร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น ไม่ว่านางจะจ้องมองอย่างไรก็ไม่อาจทำให้สะทกสะท้านได้เลย กลับกันมันเป็นสีหน้าที่แสนน่าเอ็นรักเสียจนต้องแย้มยิ้มออกมา รูแฮปลอบใจนาง พร้อมกับป้อนข้าวต้มให้ ถึงแม้กโยซึลจะยังคงมีสีหน้าไม่พอใจ แต่นางก็อ้ารับข้าวต้มเข้าปากแต่โดยดี 

 

 

เป็นเช่นนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว 

 

 

ถึงจะต้องนอนป่วย แต่หากมีรูแฮอยู่ข้างๆ การที่ต้องนอนอยู่ที่เตียงเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน กโยซึลรู้สึกมีความสุขจนไม่แน่ใจว่าตนสามารถอารมณ์ทั้งที่ป่วยอย่างนี้ได้ด้วยหรือ ขณะที่ตนกำลังมีช่วงเวลาแห่งความสุขที่แสนราบเรียบ ขณะที่ตนกำลังอ้าปากรับข้าวต้มที่รูแฮเป่าให้อย่างตั้งใจ และกำลังงับช้อนอยู่นั้น พลันประตูห้องก็ถูกเปิดออก ปรากฏร่างหนึ่งที่เดินเข้ามาในห้อง 

 

 

เพล้ง ชามข้าวต้มที่อยู่ในมือของรูแฮกลิ้งตกลงที่พื้น ข้าวต้มที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งกระจายเต็มพื้น รูแฮลุกพึ่บจากเก้าอี้ที่ไม่มีพนักพิง เก้าอี้ตัวนั้นหมุนเคว้งก่อนจะล้มลงไป หลังจากเสียงดังวุ่นวายหยุดลง ความเงียบสงบที่แสนตึงเครียดก็ปรากฏขึ้น 

 

 

เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเพียงไม่กี่วินาที รอยยิ้มกว้างบนหน้าของรูแฮหายไป เหลือเพียงใบหน้าเรียบเฉย เขาเอ่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อราวกับไม่เต็มใจ  

 

 

“ขอทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี เข้าเฝ้าฝ่าพระบาทฮวางแทจาพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ผู้ที่เปิดประตูเข้ามาอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียงคือบีพาอัน สายตาเย็นเยียบของบีพาอันเลื่อนไปที่รูแฮ ข้าวต้มที่ตกอยู่ที่ปลายเท้าของรูแฮ และไปหยุดอยู่ที่ช้อนที่กโยซึลคาบอยู่ กโยซึลที่หน้าซีด เบิกตากว้าง เม้มปากแน่น ด้ามจับของช้อนที่อยู่ในปากนางลอยคว้างอยู่กลางอากาศ มือทั้งสองข้างของนางสอดอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา เห็นได้ชัดว่ามือที่ใช้จับช้อนเมื่อครู่เป็นมือของผู้ใด บีพาอันที่หลับตาลงช้าๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับพูดเบาๆ ว่า 

 

 

“เราก็คิดว่าเราอยู่วังตะวันออกเสียอีก ที่แท้กลับอยู่ที่วังใต้หรือนี่” 

 

 

“กระหม่อมขอตัวพ่ะย่ะค่ะ ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี ขอทรงพระวรกายแข็งแรง” 

 

 

รูแฮเอ่ยคำลาหวังจะจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ พร้อมทั้งแอบส่งสายตาอาลัยอาวรณ์ให้แก่กโยซึล บีพาอันที่ยืนอยู่ตรงหน้าเห็นสายตานั้นของรูแฮอย่างชัดเจน ขณะที่รูแฮกำลังเดินผ่านบีพาอัน ทันใดนั้นบีพาอันก็จับแขนของเขาไว้ มือที่คว้าจับเข้าที่ข้อมือที่ไม่อยู่ในสถานะพร้อมต่อต้านนั้นแข็งกร้าว รูแฮหันกลับมามองบีพาอัน แววตาลุกโชนสบเข้ากับสายตาเรียบนิ่ง ขณะที่สะเก็ดไฟกำลังจะปะทุ รูแฮก็เอ่ยขึ้นมาก่อน 

 

 

“ฝ่าพระบาทฮวางแทจา” และก่อนที่รูแฮจะได้พูดอะไรต่อ บีพาอันก็แทรกขึ้นมา 

 

 

“ครั้งหน้าหากเราเห็นอะไรเช่นนี้อีก เราจะไม่อยู่เฉยอีกเป็นแน่ จำเอาไว้” 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] แฮชิ สัตว์ในประมวลเรื่องปรัมปราของเอเชียตะวันออก เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี เชื่อกันว่า สามารถแยกแยะถูกผิดได้โดยสัญชาตญาณ จึงถือกันเป็นสัญลักษณ์แห่งกระบวนการยุติธรรม